No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 307 (เล่ม 35)

เป็นสัตว์สำเหนียก (การเอาใจใส่) ๑ กำจัด ๑ อดทน ไปได้เร็ว ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชาเป็นสัตว์สำเหนียกอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้ ย่อมเอาใจใส่
มนสิการถึงเหตุการณ์ที่นายควาญช้างจะให้กระทำ ที่ตนเคยทำก็ตาม ไม่เคยทำ
ก็ตาม ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ด้วยใจ คอยเงี่ยโสตสดับอยู่ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา เป็นสัตว์สำเหนียกอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชา เป็นสัตว์กำจัด
อย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้ เข้าสู่
สงครามแล้ว ย่อมกำจัดช้างบ้าง พลช้างบ้าง ม้าบ้าง พลม้าบ้าง รถบ้าง
พลรถบ้าง พลเดินเท้าบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา
เป็นสัตว์กำจัดอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชาเป็นสัตว์อดทน
อย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้ เข้าสู่
สงครามแล้ว เป็นสัตว์อดทนต่อการประหารด้วยหอก ต่อการประหารด้วยดาบ
ต่อการประหารด้วยหลาว ต่อเสียงระเบงเซ็งแซ่แห่งกลองบัณเฑาะว์สังข์และ
มโหระทึก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชาเป็นสัตว์อดทน
อย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชา เป็นสัตว์ไปได้
เร็วอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชาในโลกนี้
นายควาญช้างจะใช้ไปสู่ทิศใด ตนจะเคยไปหรือไม่เคยไปก็ตาม ย่อมเป็นสัตว์
ไปสู่ทิศนั้นเร็วพลันทีเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา
เป็นสัตว์ไปได้เร็วอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๔
นี้แล ย่อมเป็นสัตว์ควรแก่พระราชา เป็นช้างต้น ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะ.

307
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 308 (เล่ม 35)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ก็ฉันนั้น
เหมือนกันแล ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควร
แก่ทักษิณา เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็น
ผู้สำเหนียก ๑ กำจัด ๑ อดทน ๑ ไปได้เร็ว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุ
เป็นผู้สำเหนียกอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จดจำ กระทำธรรมวินัยนี้อัน
พระตถาคตประกาศแล้ว ทรงแสดงอยู่ไว้ในใจ ประมวลธรรมวินัยทั้งปวงไว้
ด้วยใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สำเหนียก
อย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้กำจัดอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมให้ตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี
ซึ่งกามวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้ตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อม
กระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันบังเถิดขึ้นแล้ว ย่อมให้
ตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมละ. ย่อมบรรเทา ย่อมกระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี ซึ่ง
วิหิงสาวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้ตั้งอยู่ไม่ได้ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อม
กระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี ซึ่งธรรมอันเป็นบาปอกุศล อันบังเกิดขึ้นแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้กำจัดอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้อดทนอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้อดทนต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย สัมผัสแห่ง
เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื่อยคลาน เป็นผู้มีปกติอดทนต่อคำกล่าว
อันหยาบคาย ร้ายกาจ ที่บังเกิดขึ้นแล้ว ต่อทุกขเวทนาเป็นไปทางสรีระ
กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบจะนำชีวิตไปเสีย ดูก่อน-

308
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 309 (เล่ม 35)

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้อดทนอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ไปได้เร็วอย่างไร ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ทิศใดที่ตนไม่เคยไป โดยกาลนานนี้ คือ ความระงับสังขารทั้งปวง
ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ
นิพพาน เป็นผู้ไปสู่ทิศนั้นได้เร็ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ไปได้เร็ว
อย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล
ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็น
ผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า.
จบนาคสูตรที่ ๔
อรรถกถานาคสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในนาคสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อฏฺฐิกตฺวา คือ เป็นประโยชน์. มโหระทึก ชื่อว่า ติณวะ
ในคำนี้ ว่า ติณวนินฺนาทสทฺทานํ. บทว่า นินฺนาทสทฺโท ได้แก่
เสียงดังผสมผสานเป็นอันเดียวกัน แม้ของเครื่องตีเป่าทุกอย่าง. ในบทว่า
ฑํสา เป็นต้น บทว่า ฑํสา ได้แก่ เหลือบ. บทว่า มกสา ได้แก่ ยุง.
บทว่า ขิปฺปญฺเญว คนฺตา โหติ ความว่า ภิกษุบำเพ็ญศีล สมาธิปัญญา
วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะแล้วไปเร็วพลัน.
จบอรรถกถานาคสูตรที่ ๔

309
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 310 (เล่ม 35)

๕. ฐานสูตร
เหตุแห่งความเสื่อมและความเจริญ ๔ ประการ
[๑๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๔ ประการนี้ ประการเป็นไฉน ?
คือ เหตุเพื่อ ทำสิ่งที่ไม่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อทำเข้า ย่อมเป็นไปเพื่อความ
ฉิบหาย ๑ เหตุเพื่อทำสิ่งที่ไม่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อทำเข้า ย่อมเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์ ๑ เหตุเพื่อทำสิ่งที่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อทำเข้า ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความฉิบหาย ๑ เหตุเพื่อทำสิ่งที่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อทำเข้า ย่อมเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเหตุ ๔ ประการนั้น เหตุเพื่อทำสิ่งที่
ไม่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อทำเข้าย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายนี้ บัณฑิตย่อม
สำคัญว่าไม่ควรทำโดยส่วนทั้งสองทีเดียว คือ บัณฑิตย่อมสำคัญว่า ไม่-
ควรทำแม้โดยเหตุเพื่อทำสิ่งที่ไม่พอใจ ย่อมสำคัญว่า ไม่ควรทำแม้โดยเหตุที่
เมื่อทำเข้าย่อมเป็น. ไปเพื่อความฉิบหาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุนี้ บัณฑิต
ย่อมสำคัญว่าไม่ควรทำโดยส่วนทั้งสองทีเดียว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเหตุเพื่อทำสิ่งที่ไม่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อ
ทำเข้า ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ พึงทราบคนพาลและบัณฑิตได้ ในเพราะ
กำลังของบุรุษ ในเพราะความเพียรของบุรุษ ในเพราะความบากบั่นของบุรุษ
คนพาลย่อมไม่สำเหนียกดังนี้ว่า เหตุนี้เพื่อทำสิ่งที่ไม่พอใจก็จริง ถึงอย่างนั้น
เหตุนี้เมื่อทำเข้าย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ ดังนี้ เขาย่อมไม่กระทำเหตุนั้น
เหตุนั้นอันเขาไม่การทำอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย ส่วนบัณฑิตย่อม
สำเหนียกดังนี้ว่า เหตุนี้เพื่อทำสิ่งที่ไม่พอใจก็จริง ถึงอย่างนั้น เหตุนี้เมื่อทำ
เข้าย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ดังนี้ เขาย่อมกระทำเหตุนั้น เหตุนั้นอันเขา
กระทำอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์.

310
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 311 (เล่ม 35)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในเหตุเพื่อทำสิ่งที่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อ
ทำเข้าย่อมเป็นไป เพื่อความฉิบหาย พึงทราบคนพาลและบัณฑิต ในเพราะ
กำลังของบุรุษ ในเพราะความเพียรของบุรุษ ในเพราะความบากบั่นของบุรุษ
คน พาลย่อมไม่สำเหนียกดังนี้ว่า เหตุนี้เพื่อทำสิ่งที่พอใจก็จริง ถึงอย่างนั้น
เหตุนี้เมื่อทำเข้าย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย ดังนี้ เขาย่อมกระทำเหตุนั้น
เหตุนั้นอันเขากระทำอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหาย ส่วนบัณฑิตย่อมสำเหนียก
ดังนี้ว่า เหตุนี้เพื่อทำสิ่งที่พอใจก็จริง ถึงอย่างนั้น เหตุนี้เมื่อทำเข้า ย่อม
เป็นไปเพื่อความฉิบหาย ดังนี้ เขาย่อมไม่กระทำเหตุนั้น เหตุนั้นอันเขา
ไม่กระทำอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุเพื่อทำสิ่งที่พอใจ และเหตุนั้นเมื่อทำเข้า
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ บัณฑิตย่อมสำคัญว่า ควรทำโดยส่วนทั้ง ๒ ทีเดียว
คือ ย่อมสำคัญว่า ควรทำโดยเหตุเพื่อทำสิ่งที่พอใจ และโดยเหตุที่เมื่อทำเข้า
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เหตุนี้ บัณฑิตย่อมสำคัญว่า ควรทำโดยส่วนทั้ง ๒
ทีเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๔ ประการนี้แล.
จบฐานสูตรที่ ๕
อรรถกถาฐานสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในฐานสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ฐานานิ ได้แก่ เหตุ. บทว่า อนตฺถาย สํวตฺตติ ความว่า
ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อมิใช่ความเจริญ. ก็ในคำนี้ พึงทราบ
กุศลกรรมที่สัมปยุตด้วยโสมนัส ในบทเป็นต้นอย่างนี้ว่า บาปกรรมมีทุกข์

311
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 312 (เล่ม 35)

มีความคับแค้นซึ่งต่างโดยขุดบ่อจับปลาตัดช่องของเขาเป็นต้น พึงทราบว่า
เป็นฐานะที่ ๑ การงานมีการทิ้งขยะดอกไม้เป็นต้น และการงานมีการโบก
ปูนขาว มุงเรือนและกวาดสถานที่ไม่สะอาดเป็นต้น สำหรับคฤหัสถ์ผู้เลี้ยงชีพ
โดยชอบ พึงทราบว่าเป็นฐานะที่ ๒ กรรมมีการดื่มสุราลูบไล้ของหอมและการ
ประดับดอกไม้เป็นต้น และกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้น ที่เป็นไปแล้วด้วย
อำนาจความยินดี พึงทราบว่า เป็นฐานะที่ ๓ กุศลกรรมที่ประกอบด้วย
โสมนัสในกิจกรรมเป็นต้นอย่างนี้ คือ การนุ่งห่มผ้าสะอาด ถือเอาดอกไม้
และของหอมเป็นต้นไปในเวลาไปฟังธรรม การไหว้พระเจดีย์ การไหว้ต้นโพธิ์
การฟังธรรมกถาอันไพเราะ การสมาทานศีล ๕ พึงทราบว่า เป็นฐานะที่ ๔.
บทว่า ปุริสถาเม ความว่า ในเรี่ยวแรงคือญาณของบุรุษ. แม้ในบทที่เหลือ
ก็นัยนี้แล.
จบอรรถกถาฐานสูตรที่ ๕
๖. อัปปมาทสูตร
ว่าด้วยความไม่ประมาทโดยฐานะ ๔ ประการ
[๑๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ควรทำความไม่ประมาทโดยฐานะ ๔
ประการ ๔ ประการเป็นไฉน ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละกาย-
ทุจริต จงเจริญกายสุจริต และอย่าประมาทในการละกายทุจริตและการเจริญ
กายสุจริตนั้น จงละวจีทุจริต จงเจริญวจีสุจริต และอย่าประมาทในการละ
วจีทุจิตและการเจริญวจีสุจริตนั้น จงละมโนทุจริต จงเจริญมโนสุจริต และ
อย่าประมาทในการละมโนทุจริตและการเจริญมโนสุจริตนั้น จงละมิจฉาทิฏฐิ

312
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 313 (เล่ม 35)

จงเจริญสัมมาทิฏฐิ และอย่าประมาทในการละมิจฉาทิฏฐิ และการเจริญสัมมา
ทิฏฐินั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุละกายทุจริต เจริญกายสุจริต
ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต ละมิจฉาทิฏฐิ
เจริญสัมมาทิฏฐิได้แล้ว ในกาลนั้น เธอย่อมไม่กลัวต่อความตาย อันจะมีใน
ภายหน้า.
จบอัปปมาทสูตรที่ ๖
อรรถกถาอัปปมาทสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอัปปมาทสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ยโต โข คือ เมื่อใดแล. บทว่า สมฺปรายิกสฺส นั้น
เป็นเพียงเทศนา. แต่พระขีณาสพไม่กลัวต่อความตายอันจะมีมาในกาลภายหน้า
ทั้งไม่กลัวต่อความตายอันจะมีในปัจจุบัน. ก็พระขีณาสพนั้นท่านประสงค์ในที่นี้
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ท่านประสงค์เอาพระอริยะทั้งหลายแม้ทั้งปวงตั้งต้น
แต่พระโสดาบัน เพราะพระบาลีว่า สมฺมาทิฏฐิ ภาวิตา เจริญสัมมาทิฏฐิ
แล้ว .
จบอรรถกถาอัปปมาทสูตรที่ ๖

313
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 314 (เล่ม 35)

๗. อารักขสูตร
ว่าด้วยความไม่ประมาทในฐานะ ๔ ประการ
[๑๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงกระทำความไม่ประมาท คือ
มีสติเครื่องรักษาใจโดยสมควรแก่ตน ในฐานะ ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ ภิกษุพึงกระทำความไม่ประมาท คือ มีสติเครื่องรักษาใจโดยสมควรแก่
ตนว่า จิตของเราอยู่กำหนัดในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ๑ จิตของเรา
อย่าขัดเคืองในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ๑ จิตของเราอย่าหลงในธรรม
เป็นที่ตั้งแห่งความหลง ๑ จิตของเราอย่ามัวเมาในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความ
มัวเมา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล จิตของภิกษุไม่กำหนัดในธรรม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะปราศจากความกำหนัด จิตของภิกษุไม่
ขัดเคืองในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง เพราะปราศจากความขัดเคือง
จิตของภิกษุไม่หลงในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความหลง เพราะปราศจากความหลง
จิตของภิกษุไม่มัวเมาในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา เพราะปราศจากความ
มัวเมา ในกาลนั้น เธอย่อมไม่หวาดเสียว ไม่หวั่น ไม่ไหว ไม่ถึงความสะดุ้ง
และย่อมไม่ไปแม้เพราะเหตุแห่งถ้อยคำของสมณะ.
จบอารักขสูตรที่ ๗

314
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 315 (เล่ม 35)

อรรถกถาอารักขสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอารักขสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อตฺตรูเปน ได้แก่ ตามอนุรูปคือตามควรแก่ตน อธิบายว่า
ตามความใคร่ประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า รชนีเยสุ ความว่า ในธรรมเป็น
ปัจจัยแห่งราคะ. บทว่า ธมฺเมสุ ความว่า ในสภาวะ คือ อารมณ์ที่น่า
ปรารถนา. นัยในบททั้งปวง พึงทราบอย่างนี้. บทว่า นจฺฉมฺภติ ความว่า
ย่อมไม่หวาดเสียวด้วยอำนาจทิฏฐิ. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้. บทว่า น จ ปน
สมณวจนเหตุปิ คจฺฉติ ความว่า ย่อมไม่เขวไปแม้เพราะเหตุแห่งถ้อยคำ
ของสมณะผู้กล่าววาทะที่เป็นปรปักษ์ คือไม่ละทิฏฐิของตนเขวไปด้วยอำนาจทิฏฐิ
ของสมณะเหล่านั้น. แม้ในที่นี้ก็ประสงค์เอาพระขีณาสพเท่านั้น.
จบอรรถกถาอารักขสูตรที่ ๗
๘. สังเวชนียสูตร
ว่าด้วยสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง
[๑๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวช
แห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้ ๔ แห่งเป็นไฉน ? คือ สถานที่ควรเห็น
ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธาว่า พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ ๑
พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตทรง
ประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิ-
เสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิด
ความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้แล.
จบสังเวชนียสูตรที่ ๘

315
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 316 (เล่ม 35)

อรรถกถาสังเวชนียสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสังเวชนียสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทสฺสนียานิ แปลว่า ที่ควรเห็น. บทว่า สํเวชนียานิ
ได้แก่ สถานที่ให้เกิดความสังเวช.
จบอรรถกถาสังเวชนียสูตรที่ ๘
๙. ปฐมภยสูตร
ว่าด้วยภัย ๔ ประการ
[๑๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย (สิ่งที่น่ากลัว) ๔ ประการนี้ ภัย ๔
ประการเป็นไฉน คือ ชาติภัย ๑ ชราภัย ๑ พยาธิภัย ๑ มรณภัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล ภัย ๔ ประการ.
จบปฐมภยสูตรที่ ๙
อรรถกถาปฐมภยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมภยสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
ภัยที่ปรารภชาติเกิดขึ้น ชื่อว่า ชาติภัย. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล.
จบอรรถกถาปฐมภยสูตรที่ ๙

316