No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 297 (เล่ม 35)

นอนเนื่องอยู่นาน อย่างนี้แล บุคคลเป็นดุจอสรพิษไม่แล่นพิษไม่ร้าย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสรพิษมีพิษไม่แล่นพิษไม่ร้าย แม้ฉันใด เรากล่าว
บุคคลนี้เปรียบฉันนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบด้วยอสรพิษ ๔ จำพวกนี้แล มี
ปรากฏอยู่ในโลก.
จบอาสีวิสสูตรที่ ๑๐
จบวลาหกวรรคที่ ๑
อรรถกถาอาสีวิสสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอาสีวิสสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อาคตวิโส น โฆรวิโส ความว่า พิษของอสรพิษแล่น
แต่ไม่ร้าย ไม่เบียดเบียนตลอดกาลนาน. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้แล.
จบอรรถกถาอาสีวิสสูตรที่ ๑๐
จบวลาหกวรรควรรณนาที่ ๑
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปฐมวลาหกสูตร ๒. ทุติยวลาหกสูตร ๓. กุมภสูตร ๔. อุทก-
รหทสูตร ๕. อัมพสูตร (สูตรที่ ๖ ขาดไป) ๗. มุสิกาสูตร ๘. พลิพัทท-
สูตร ๙. รุกขสูตร ๑๐. อาสีวิสสูตร และอรรถกถา.

297
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 298 (เล่ม 35)

เกสีวรรคที่ ๒
๑. เกสีสูตร
ว่าด้วยเรื่องนายเกสีผู้ฝึกม้า
[๑๑๑] ครั้งนั้นแล สารถีผู้ฝึกม้าชื่อเกสี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามว่า ดูก่อนเกสี ท่านอันใคร ๆ ก็รู้
กันดีแล้วว่าเป็นสารถีผู้ฝึกม้า ก็ท่านฝึกหัดม้าที่ควรฝึกอย่างไร สารถีผู้ฝึกม้า
ชื่อเกสีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ฝึกหัดม้าที่ควรฝึกด้วย
วีธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง ทั้งละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง.
พ. ดูก่อนเกสี ถ้าม้าที่ควรฝึกของท่านไม่เข้าถึงการฝึกหัดด้วยวิธี
ละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ท่านจะทำอย่างไรกะมัน ?
เกสี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าม้าที่ควรฝึกของข้าพระองค์ ไม่เข้าถึง
การฝึกหัดด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ก็ฆ่า
มันเสียเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะคิดว่าโทษมิใช่คุณอย่าได้มีแก่สกุล
อาจารย์ของเราเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสารถีฝึก
บุรุษชั้นเยี่ยม ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกบุรุษที่ควรฝีกอย่างไร.
พ. ดูก่อนเกสี เราแล ย่อมฝึกบุรุษที่ควรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง
รุนแรงบ้าง ทั้งละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง ดูก่อนเกสี ในวิธีทั้ง ๓ นั้น การฝึก
ดังต่อไปนี้ เป็นวิธีละม่อม คือ กายสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็น
ดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้

298
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 299 (เล่ม 35)

วิบากแห่งมุโนสุจริตเป็นดังนี้ เทวดาเป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้ การฝึกดังต่อ
ไปนี้เป็นวิธีรุนแรง คือกายทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายทุจริตเป็นดังนี้
วจีทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริตเป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบาก
แห่งมโนทุจริตเป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเป็นดังนี้ ปิตติวิสัย
เป็นดังนี้ การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง คือ กายสุจริต
เป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็นดังนี้ กายทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกาย
ทุจริตเป็นดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้ วจีทุจริต
เป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโน-
สุจริตเป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนทุจริตเป็นดังนี้ เทวดา
เป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเป็นดังนี้
ปิตติวิสัยเป็นดังนี้.
เกสี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของพระองค์ไม่เข้าถึง
การฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง พระผู้มี
พระภาคเจ้าจะทำอย่างไรกะเขา ?
พ. ดูก่อนเกสี ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของเราไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม
ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง เราก็ฆ่าเขาเสียเลย
เกสี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาณาติบาตไม่สมควรแก่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเลย ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้ว่า ฆ่า-
เขาเสีย ?
พ. จริง เกสี ปาณาติบาตไม่สมควรแก่ตถาคต ก็แต่ว่าบุรุษที่ควร
ฝึกใด ย่อมไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อม
ทั้งรุนแรง ตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกนั้นว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน

299
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 300 (เล่ม 35)

แม้สพรหมจารีผู้เป็นวิญญูชนก็ย่อมไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน
ดูก่อนเกสี ข้อที่ตถาคต ไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝีกว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน
แม้สพรหมจารีผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลายก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน
นี้เป็นการฆ่าอย่างดี ในวินัยของพระอริย.
เกสี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่พระตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า
ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารีผู้วิญญูชนก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว
ควรสั่งสอน นั่นเป็นการฆ่าอย่างดีแน่นอน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงาย
ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด
ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้
ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบเกสีสูตรที่ ๑

300
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 301 (เล่ม 35)

เกสีวรรควรรณนาที่ ๒
อรรถกถาเกสีสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในเกสีสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เกสี เป็นชื่อของนายสารถีผู้ฝึกม้า. ชื่อว่า สารถีผู้ฝึกม้า
เพราะทำม้าที่ควรฝึกให้เข้าใจจึงฝึก. ในบทว่า สณฺเหนปิ ทเมติ เป็นต้น
นายสารถีทำสักการะพอสมควรแก่ม้านั้น คือ ให้กินโภชนะอย่างดี ให้ดื่มน้ำ
อร่อย พูดด้วยถ้อยคำนิ่มนวลแล้วจึงฝึก ชื่อว่าฝึกด้วยวิธีละมุนละม่อม. เมื่อ
ฝึกด้วยผูกเข่าผูกปากเป็นต้น และแทงด้วยปฏัก เฆี่ยนด้วยแส้ พูดคำหยาบ
ชื่อว่าฝึกด้วยวิธีรุนแรง. ต้องทำทั้งสองวิธีนั้น ตามกาลอันควร ชื่อว่าฝึกทั้ง
วิธีละมุนละม่อมทั้งวิธีรุนแรง.
จบอรรกถาเกสีสูตรที่ ๑
๒. ชวสูตร
ว่าด้วยสมบัติ ๔ ของม้าอาชาไนยกับของภิกษุสงฆ์
[๑๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา
ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ ย่อมเป็นม้าควรแก่พระราชา เป็นม้าต้น ย่อม
ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะ องค์ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ชื่อตรงประการ ๑
ว่องไวประการ ๑ อดทนประการ ๑ สงบเสงี่ยมประการ ๑ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๔ํ ประการนี้แล

301
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 302 (เล่ม 35)

ย่อมเป็นม้าควรแก่พระราชา เป็นม้าต้น ย่อมถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้ควร
ของคำนับ ควรของต้อนรับ ควรแก่ทักษิณา ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญ
ของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า ฉันนั้นเหมือนกันแล ธรรม ๔ ประการ
เป็นไฉน คือ ซื่อตรงประการ ๑ ว่องไวประการ ๑ อดทนประการ ๑
สงบเสงี่ยมประการ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔
ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ ควรของต้อนรับ ควรแก่ทักษิณา
ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า.
จบชวสูตรที่ ๒
อรรถกถาชวสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในชวสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อาชฺชเวน คือซื่อตรง. บทว่า ชเวน คือฝีเท้าเร็ว. บทว่า
ขนฺติยา ได้แก่มีความอดทน คือ อดกลั้น. บทว่า โสรจฺเจน คือมีความ
แช่มชื่นเป็นปกติ. ในองค์แห่งคุณของบุคคล บทว่า ชเวน ได้แก่ด้วยกำลัง
เร็วแห่งญาณ. บทที่เหลือในสูตรนี้ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาชวสูตรที่ ๒

302
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 303 (เล่ม 35)

๓. ปโตทสูตร
ม้าอาชาไนยและบุรุษอาชาไนย ๔ จำพวก
[๑๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้ มี
ปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวใน
โลกนี้ พอเห็นเงาปฏักเข้าก็ย่อมสลด ถึงความสังเวชว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้า
จักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนย
ตัวเจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลกนี้.
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปฏัก
แล้ว ย่อมไม่สลด ไม่ถึงความสังเวชเลยทีเดียว แต่เมือถูกแทงด้วยปฏักที่
ขุมขนจึงสลด ถึงความสังเวชว่า วันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไร-
หนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญ
บางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๒ มีปรากฏ
อยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปฏัก
แล้วย่อมไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขนก็ไม่สลด
ไม่ถึงความสังเวช แต่เมื่อถูกแทงด้วยปฏักถึงผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวช
ว่าวันนี้นายสารถีผู้ฝึกม้าจักให้เราทำเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขา
อย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็น
ปานนี้ก็มี นี้เป็นม้าอาชาไนยตัวเจริญที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก.

303
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 304 (เล่ม 35)

อีกประการหนึ่ง ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ เห็นเงาปฏัก
ก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขนก็ไม่สลด ไม่ถึง
ความสังเวช แม้ถูกแทงด้วยปฏักถึงผิวหนังก็ไม่สลด ไม่ถึงความสังเวช
แต่เมื่อถูกแทงด้วยปฏักถึงกระดูก จึงสังเวช ถึงความสลดว่า วันนี้นายสารถี
ผู้ฝึกม้าจักให้เราเหตุอะไรหนอ เราจักตอบแทนแก่เขาอย่างไร ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญบางตัวในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นม้า
อาชาไนยตัวเจริญที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนย
ตัวเจริญ ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่
ในโลก ฉันนั้นเหมือนกัน ๔ จำพวกเป็นไฉน ? คือ บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ
บางคนในโลกนี้ได้ฟังว่า ในบ้านหรือในนิคมโน้นมีหญิงหรือชายถึงความทุกข์
หรือทำกาลกิริยา เขาย่อมสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว
เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้วซึ่งปรม-
สัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญ
พอเห็นเงาปฏักย่อมสลดถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนใน
โลกนี้ แม้เห็นปานั้นก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่า
ในบ้านหรือในนิคมโน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่
เขาเห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาเอง เขาจึงสลด ถึง
ความสังเวช เพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย
มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้ง
แทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนยตัวเจริญถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขนย่อมสลด

304
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 305 (เล่ม 35)

ถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรากล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี
นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่า
ในบ้านหรือในนิคมโน้น มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และ
ไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาเอง แต่ญาติหรือ
สาโลหิตของเขาถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา เขาจึงสลด ถึงความสังเวช
เพราะเหตุนั้น เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว
ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ม้าอาชาไนยตัวเจริญถกแทงผิวหนังจึงสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรา
กล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย
ผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๓
มีปรากฏอยู่ในโลก.
อีกประการหนึ่ง บุรุษอาชาไนยผู้เจริญบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ฟังว่า
ในบ้านหรือในนิคมโน้น. มีหญิงหรือชายถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยา และ
ไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ถึงความทุกข์ หรือทำกาลกิริยาเอง ทั้งญาติหรือ
ลาโลหิตของเขาก็ไม่ถึงทุกข์ หรือทำกาลกิริยา แต่เขาเองทีเดียว อันทุกข-
เวทนาเป็นไปทางสรีระ กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบ
จะนำชีวิตไปเสีย ถูกต้องแล้ว เขาจึงสลด ถึงความสังเวชเพราะเหตุนั้น เป็น
ผู้สลดแล้วเริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย มีใจเด็ดเดี่ยว ย่อมกระทำให้แจ้ง
ซึ่งปรมสัจจะด้วยนามกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ม้าอาชาไนย
ตัวเจริญถูกแทงด้วยปฏักถึงกระดูก จึงสลด ถึงความสังเวช แม้ฉันใด เรา
กล่าวบุรุษอาชาไนยผู้เจริญนี้เปรียบฉันนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนย

305
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 306 (เล่ม 35)

ผู้เจริญบางคนในโลกนี้ แม้เห็นปานนี้ก็มี นี้เป็นบุรุษอาชาไนยผู้เจริญที่ ๔
มีปรากฏอยู่ในโลก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏ
อยู่ในโลก.
จบปโตทสูตรที่ ๓
อรรถกถาปโตทสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปโตทสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปโตทจฺฉายํ ความว่า เงาแห่งปฏักที่ยกขึ้นเพื่อจะแทง.
บทว่า สํวิชติ ความว่า สะดุ้งด้วยกำหนดว่าเราต้องเร่งฝีเท้า. บทว่า สํเวคํ
อาปชฺชติ ความว่า แทงให้สะดุ้ง. บทว่า โลมเวธวิทฺโธ ความว่า พอ
ถูกปฏักแทงจ่อที่ขุมขน. บทว่า จมฺมเวธวิทฺโธ ความว่า เอาปฏักแทง
ตัดผิวหนัง. บทว่า อฏฺฐิเวธวิทฺโธ ความว่า เอาปฏักแทงทะลุถึงกระดูก.
บทว่า กาเยน คือด้วยนามกาย. บทว่า ปรมสจฺจํ คือนิพพาน. บทว่า
สจฺฉิกโรติ คือถูกต้อง. บทว่า ปญฺญาย คือมรรคปัญญาพร้อมด้วยวิปัสสนา.
จบอรรถกถาปโตทสูตรที่ ๓
๔. นาคสูตร
ว่าด้วยคุณสมบัติ ๔ ของช้างต้นกับของภิกษุสงฆ์
[๑๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ประกอบ
ด้วยองค์ ๔ ย่อมเป็นช้างควรแก่พระราชา เป็นช้างต้น ย่อมถึงการนับว่าเป็น
ราชพาหนะ องค์ ๔ เป็นไฉน คือ ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้

306