หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 494 (เล่ม 3)

บทว่า อนภิรทฺโธ คือ ไม่ประสบความสุข, อีกอย่างหนึ่ง ผู้ไม่ถึง
ความแจ่มใส; ฉะนั้น จึงชื่อว่า อนภิรัทธะ (ไม่พอใจ). จิตของเขานั้น
ถูกปฏิฆะกระทบแล้ว; เหตุนั้น เขาจึงชื่อว่า อาหตจิตตะ (แค้นใจ).
ตะปู คือ ปฏิฆะ กล่าวคือ ความที่จิตแข้งกระด้าง และจิตยุ่งเหยิงดุจ
หยากเยื่อ เกิดแล้วแก่บุคคลนั้น; เพราะฉะนั้น ผู้นั้น จึงชื่อว่า ขีลชาตะ
(เจ็บใจ).
บทว่า อปฺปตีโต ได้แก่ ไม่ถึงเฉพาะ (ไม่แช่มชื่น) คือเว้นจากปีติ
และสุขเป็นต้น, ความว่า อันปีติและสุขเป็นต้นไม่ซาบซ่าน. แต่ในบท
ภาชนะท่านพระอุบาลีกล่าวว่า เตน จ โกเปน เป็นต้น เพื่อแสดงธรรม
ทั้งหลายที่มีอำนาจทำให้ไม่แช่มชื่น.
บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า เตน จ โกเปน ได้แก่ เพราะความ
โกรธที่เป็นเหตุให้เรียกภิกษุนั้นว่า ผู้มีความขัดใจ และโกรธ. แท้จริง
คำทั้งสองนี้อาการเดียวกัน เพราะให้ละปกติภาพ.
คำว่า เตน จ โทเสน ได้แก่ เพราะโทสะที่เป็นเหตุให้เรียกภิกษุ
นั้นว่า มีโทสะ. ด้วยบททั้ง ๒ นี้ ท่านพระอุบาลีแสดงสังขารขันธ์
เหมือนกัน .
คำว่า ตาย จ อนตฺตมนตาย ได้แก่ เพราะความไม่ถูกใจที่เป็น
เหตุให้เรียกภิกษุนั้นว่า ผู้ไม่ถูกใจ.
คำว่า ตาย จ อนภิรทฺธิยา ได้แก่ เพราะความไม่พอใจที่เป็นเหตุ
ให้เรียกภิกษุนั้นว่า ผู้ไม่พอใจ. ด้วยคำทั้งสองนี้ท่านพระอุบาลีแสดง
เวทนาขันธ์.

494
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 495 (เล่ม 3)

[อธิบายเรื่องอธิกรณ์มีมูลและไม่มีมูล]
ในคำว่า อมูลเกน ปาราชิเกน นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
ปาราชิกนั้น ไม่มีมูล; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อมูลกะ. ก็ความที่ปารา-
ชิกนั้นไม่มีมูลนั้น ทรงประสงค์เอาด้วยอำนาจแห่งโจทก์ ไม่ใช่ด้วยอำนาจ
แห่งจำเลย เพราะฉะนั้น เพื่อทรงแสดงเนื้อความนั้น ในบทภาชนะ
ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวว่า ที่ชื่อว่าไม่มีมูล คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้
รังเกียจ.
ด้วยบทภาชนะว่า อหิฏฺฐํ เป็นต้นนั้น ท่านแสดงอธิบายนี้ไว้ว่า
ปาราชิกที่โจทก์ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ ในตัวบุคคลผู้เป็นจำเลย
ชื่อว่า ไม่มีมูล เพราะไม่มีมูล กล่าวคือการเห็น การได้ยิน และการ
รังเกียจนี้. ก็จำเลยนั้น จะต้องปาราชิกนั้น หรือไม่ต้องก็ตามที, ข้อที่
จำเลยต้องหรือไม่ต้องนี้ ไม่เป็นประมาณในสิกขาบทนี้.
ในบทว่า อทิฏฺฐํ เป็นต้นนั้น ที่ชื่อว่า ไม่ได้เห็น คือไม่ได้เห็น
ด้วยจักษุประสาท หรือด้วยทิพยจักษุของตน. ชื่อว่า ไม่ได้ยิน คือไม่ได้
ยินใคร ๆ เขาพูดกันเหมือนอย่างนั้น. ที่ชื่อว่า ไม่ได้รังเกียจ คือไม่ได้
รังเกียจด้วยจิต.
ที่ชื่อว่า ได้เห็น คือตนเองหรือคนอื่นได้เห็นด้วยจักษุประสาทหรือ
ด้วยทิพยจักษุ. ที่ชื่อว่า ได้ยิน คือได้ยินมาเหมือนอย่างที่ได้เห็นนั่นเอง.
ที่ชื่อว่า ได้รังเกียจ คือตนเอง หรือคนอื่นรังเกียจ. ในเรื่องได้เห็น
เป็นต้น ตนเองได้เห็นมา จึงชื่อว่า ได้เห็น. แต่ลักษณะทั้งหมดนี้ คือ
คนอื่นได้เห็น ตนเองได้ยิน คนอื่นได้ยิน คนอื่นได้รังเกียจ ตั้งอยู่ใน
ฐานที่ตนได้ยินมาเท่านั้น. ก็เรื่องที่รังเกียจ มี ๓ อย่าง คือรังเกียจด้วย

495
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 496 (เล่ม 3)

อำนาจได้เห็น ๑ รังเกียจด้วยอำนาจได้ยิน ๑ รังเกียจด้วยอำนาจได้ทราบ
๑. ในเรื่องรังเกียจ ๓ อย่างนั้น ที่ชื่อว่า รังเกียจด้วยอำนาจได้เห็น คือ
ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปยังพุ่มไม้แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน ด้วยการถ่ายอุจจาระและ
ปัสสาวะ, หญิงแม้คนใดคนหนึ่ง ก็เข้าไปยังพุ่มไม้นั้นด้วยกรณียกิจบาง
อย่างเหมือนกัน แล้วกลับไป, ทั้งภิกษุก็ไม่ได้เห็นผู้หญิง ทั้งผู้หญิงก็ไม่
ได้เห็นภิกษุ, ทั้งสองคนต่างก็หลีกไปตามชอบใจ ไม่ได้เห็นกันเลย, ภิกษุ
อีกรูปหนึ่งกำหนดหมายเอาการที่คนทั้งสองออกไปจากพุ่มไม้นั้น จึง
รังเกียจว่า ชนเหล่านี้กระทำกรรมแล้ว หรือจักกระทำแน่แท้ นี้ ชื่อว่า
รังเกียจด้วยอำนาจได้เห็น.
ที่ชื่อว่า รังเกียจด้วยอำนาจได้ยิน คือคนบางคนในโลกนี้ ได้ยิน
คำปฏิสันถารเช่นนั้นของภิกษุกับมาตุคาม ในโอกาสที่มืด หรือกำบัง คน
อื่นแม้มีอยู่ในที่ใกล้ ก็ไม่ทราบว่า มี หรือไม่มี, เขารังเกียจว่า ชน
เหล่านี้ทำกรรมแล้ว หรือว่า จักทำแน่นอน นี้ชื่อว่า รังเกียจด้วยอำนาจ
ได้ยิน.
ที่ชื่อว่ารังเกียจด้วยอำนาจได้ทราบ คือ ตกกลางคืนพวกนักเลง
เป็นอันมาก ถือเอาดอกไม้ของหอม เนื้อและสุราเป็นต้นแล้ว ไปยัง
วิหารชายแดนแห่งหนึ่งพร้อมกับพวกสตรี เล่นกันตามสบายที่มณฑป
หรือที่ศาลาฉันเป็นต้น ทิ้งดอกไม้เป็นต้นให้กระจัดกระจาย แล้วพากัน
ไป, ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเห็นอาการแปลกนั้นแล้วพากันสืบหาว่า นี้
เป็นกรรมของใคร ? ก็ในบรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางรูปลุกขึ้นแต่
เช้าตรู่ ปฏิบัติมณฑป หรือศาลาฉันด้วยมุ่งวัตรเป็นใหญ่ จำเป็นต้องจับ
ต้องดอกไม้เป็นต้น, บางรูปต้องทำการบูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น ที่ตนนำ

496
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 497 (เล่ม 3)

มาจากตระกูลอุปัฏฐาก, บางรูปต้องดื่มยาดองชื่ออริฏฐะเพื่อเป็นยา. ครั้ง
นั้น พวกภิกษุเหล่านั้นผู้สืบหาว่า กรรมนี้ของใคร ? จึงดมกลิ่นมือและ
กลิ่นปาก แล้วรังเกียจภิกษุเหล่านั้น, นี้ชื่อว่ารังเกียจด้วยอำนาจได้ทราบ.
ในเรื่องได้เห็นเป็นต้นนั้น เรื่องได้เห็นที่มีมูลก็มี ที่ไม่มีมูลก็มี,
เรื่องได้เห็นนั่นเอง มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญาก็มี ไม่มีมูลด้วยอำนาจ
แห่งสัญญาก็มี. แม้ในเรื่องได้ยิน ก็นัยนี้. แต่ในเรื่องที่รังเกียจ เรื่องที่
รังเกียจด้วยอำนาจได้เห็น มีมูลก็มี, ไม่มีมูลก็มี, เรื่องที่รังเกียจด้วย
อำนาจได้เห็นนั้นเอง มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญาก็มี, ไม่มีมูลด้วยอำนาจ
แห่งสัญญาก็มี. ในเรื่องที่รังเกียจ ด้วยการได้ยิน และการได้ทราบก็นัยนี้.
ในคำว่า มีมูลเป็นต้นนั้น เรื่องได้เห็นที่ชื่อว่ามีมูล คือเขาได้เห็น
ภิกษุต้องปาราชิกจริง ๆ แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็น. ที่ชื่อว่า ไม่มีมูล
คือเขาเห็นภิกษุออกมาจากโอกาสกำบัง แต่ไม่เห็นการล่วงละเมิด กล่าวว่า
ข้าพเจ้าเห็น. เรื่องที่เห็นนั่นเอง ชื่อว่า มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญา คือ
เขาเพียงแต่ได้เห็นเท่านั้น เป็นผู้มีความสำคัญว่าได้เห็น แล้วโจท. ที่
ชื่อว่า ไม่มีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญา คือในเบื้องต้น เขาเห็นการล่วง
ละเมิดด้วยปาราชิก ภายหลังกลับเกิดมีความสำคัญว่า ไม่ได้เห็น. ผู้นั้น
ทำให้ไม่มีมูลด้วยสัญญา แล้วโจทว่า ข้าพเจ้าเห็น. แม้เรื่องที่รังเกียจ
ด้วยอำนาจแห่งการได้ยิน และได้ทราบ ก็พึงทราบโดยพิสดารตามนัยนี้
แล. ก็ในสิกขาบทนี้ เมื่อภิกษุโจทภิกษุที่ตนเห็น แม้โดยอาการทุกอย่าง
ด้วยปาราชิกที่มีมูล หรือมีมูลด้วยอำนาจแห่งสัญญา ไม่เป็นอาบัติ. เป็น
อาบัติแต่เฉพาะภิกษุผู้โจท ด้วยปาราชิกอันหามูลมิได้ หรือไม่มีมูลด้วย
อำนาจแห่งสัญญา.

497
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 498 (เล่ม 3)

บทว่า อนุทฺธํเสยฺย ได้แก่ พึงกำจัด คือพึงขจัด ขมขู่ ครอบงำ.
ก็เพราะภิกษุโจทด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นโจทก็ดี ชื่อว่า ย่อมทำการ
กำจัดนั้นทั้งนั้น; ฉะนั้น ในบทภาชนะ ท่านพระอุบาลี จึงกล่าวว่า
โจทเองก็ตาม ใช้ให้ผู้อื่นโจทก็ตาม.
ในสองบทว่า โจเทติ วา โจทาเปติ วา นั้น บทว่า โจเทติ มี
ความว่า ภิกษุโจทเองด้วยคำเป็นต้นว่า ท่านเป็นผู้ต้องธรรมถึงปาราชิก
ดังนี้ เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุนั้น ทุก ๆ คำพูด.
บทว่า โจทาเปติ มีความว่า สั่งภิกษุอื่นผู้ยืนอยู่ใกล้ๆ กับตน,
ภิกษุผู้รับสั่งนั้นโจทภิกษุนั้น ตามคำของภิกษุผู้สั่งนั้น, เป็นสังฆาทิเสส
แก่ภิกษุผู้สั่งให้โจททุก ๆ คำพูดเหมือนกัน. ที่นั้นฝ่ายภิกษุผู้รับสั่งนั้นโจท
ว่า เรื่องที่ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยินมีอยู่ ดังนี้ ก็เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ
ทั้งสองรูปทุก ๆ คำพูดเหมือนกัน.
[อธิบายลักษณะแห่งการโจทต่าง ๆ]
ก็แล เพื่อความฉลาดในประเภทแห่งการโจท ในสิกขาบทนี้
บัณฑิตพึงทราบจตุกกะเป็นต้นว่าวัตถุอย่างเดียว และผู้โจทย์ก็คนเดียว
ก่อน. บรรดาจตุกกะเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งโจทภิกษุรูปหนึ่งด้วยวัตถุอัน
หนึ่ง. การโจทนี้ มีวัตถุเดียว ผู้โจทก์ก็คนเดียว. ภิกษุมีจำนวนมาก
ด้วยกัน โจทภิกษุรูปหนึ่งด้วยวัตถุอันหนึ่ง ดุจพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ๕๐๐
รูป มีภิกษุเมตติยะ และภิกษุภุมมชกะเป็นหัวหน้า โจทท่านพระทัพพ-
มัลลบุตร ฉะนั้น การโจทนี้ มีวัตถุเดียว มีผู้โจทก์ต่าง ๆ กัน. ภิกษุ
รูปหนึ่ง โจทภิกษุรูปหนึ่ง ด้วยวัตถุมากหลายด้วยกัน, โจทนี้มีวัตถุต่าง ๆ

498
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 499 (เล่ม 3)

กัน มีผู้โจทก์คนเดียว. ภิกษุมีจำนวนมากด้วยกัน การโจทภิกษุมากรูป
ด้วยกัน ด้วยวัตถุมากหลาย, การโจทนี้ มีวัตถุต่างกัน มีผู้โจทก์ต่างกัน.
ถามว่า ก็ใครย่อมได้เพื่อจะโจท ใครย่อมไม่ได้ ?
ตอบว่า ภิกษุบางรูปเชื่อคำของโจทก์ที่เพลา ย่อมไม่ได้เพื่อจะโจท
ก่อน.
ที่ชื่อว่า โจทก์เพลา คือเมื่อพวกภิกษุมากด้วยกัน นั่งประชุม
สนทนากัน ภิกษุรูปหนึ่งพูดถึงวัตถุปาราชิก ปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งไม่
เจาะจงตัว. ภิกษุอื่นได้ยินคำของภิกษุนั้น จึงไปบอกแก่ภิกษุเจ้าตัวนอก
นี้. ภิกษุรูปนั้น จึงไปหาเธอ กล่าวว่า ได้ยินว่า ท่านพูดอย่างนี้ ๆ ถึง
ผมหรือ ? เธอจึงตอบว่า ผมไม่รู้รูปการณ์จะเป็นอย่างนี้, แต่ในขณะที่
พูด มีถ้อยคำที่ผมพูดไม่เจาะจง, หากผมรู้ว่าคำพูดนี้ จะเกิดทุกข์แก่ท่าน,
ผมจะไม่พึงพูดถ้อยคำแม้เท่านี้เลย. นี้ชื่อว่า โจทก์เพลา. โจทก์บางรูป
ถือเอาคำพูดสนทนานั้นของเธอ ไม่ได้เพื่อจะโจทภิกษุนั้น. แต่พระมหา-
ปทุมเถระไม่เชื้อถ้อยคำนี้ กล่าวว่า ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมได้เพื่อ
จะโจทภิกษุ หรือภิกษุณี และภิกษุณีผู้มีศีลสมบูรณ์ ย่อมได้เพื่อจะโจท
เฉพาะภิกษุณีเท่านั้น ดังนี้. ฝ่ายพระมหาสุมเถระกล่าวว่า สหธรรมิกทั้ง ๕
ย่อมได้ ดังนี้. ฝ่ายพระโคทัตตเถระกล่าวว่า ใคร ๆ จะไม่ได้เพื่อจะโจท
หามิได้ แล้วอ้างสูตรนี้ว่า ฟังคำของภิกษุแล้วจึงโจท, ฟังคำของภิกษุณี
แล้วจึงโจท, ฯลฯ ฟังคำของพวกสาวกเดียรถีย์แล้วจึงโจท. ในวาทะ
ของพระเถระทั้ง ๓ รูป พึงปรับตามปฏิญญาของจำเลยเท่านั้น.
ก็ธรรมดาการโจทนี้ เมื่อภิกษุแม้ส่งทูตก็ดี หนังสือก็ดี ข่าวสาสน์
ก็ดี ไปโจท ยังไม่ถึงที่สุดก่อน. แต่เมื่อบุคคลยืนอยู่ในที่ใกล้ ๆ โจท

499
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 500 (เล่ม 3)

ด้วยหัวแม่มือ หรือด้วยการเปล่งวาจาเท่านั้น จึงถึงที่สุด. จริงอยู่ การ
บอกลาสิกขาบทอย่างเดียว ไม่ถึงที่สุดด้วยหัวแม่มือ ส่วนการตามกำจัด
นี้ และการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริง ย่อมถึงทีเดียว. ภิกษุใด หมาย
โจทภิกษุรูปหนึ่งในสถานที่ภิกษุสองรูปยืนอยู่ด้วยกัน, ถ้ารูปที่เขาหมาย
โจทนั้นรู้ตัว, การโจทนั้น ย่อมถึงที่สุด, อีกรูปหนึ่งรู้ยังไม่ถึงที่สุด. ผู้
โจทหมายโจททั้งสองรูป, รูปหนึ่งรู้ หรือว่า รู้ทั้งสองรูปก็ตาม ย่อม
ถึงที่สุด. ในโจทก์มากรูปด้วยกัน ก็นัยนี้. อันธรรมดาว่า จะรู้ได้ใน
ทันทีทันใดนั้น ทำได้ยาก. แต่เมื่อคิดคำนึงตามความรูปปกติ* จึงรู้ ก็จัด
ว่าเป็นอันรู้ได้เหมือนกัน. ถ้ารู้ได้ในภายหลัง ยิ่งไม่ถึงที่สุด. จริงอยู่
สิกขาบทเหล่านี้ คือการบอกลาสิกขา อภูตาโรจนสิกขาบท ทุฏฐุลลวาจา-
สิกขาบท อัตตกามสิกขาบท ทุฎฐโทสสิกขาบท และภูตาโรจนสิกขาบท
ทั้งหมดมีข้อกำหนดอย่างเดียวกันทั้งนั้น.
[อรรถกถาธิบายการโจท ๒ และ ๔ อย่างเป็นต้น]
ก็การโจททั้ง ๒ นี้ ด้วยอำนาจกายและวาจาอย่างนั้น ยังแยกเป็น
๓ อย่างได้อีก คือ โจทตามที่ได้เห็น โจทตามที่ได้ยิน โจทตามที่
รังเกียจ.
ยังมีการโจทอีก ๔ อย่าง คือโจทด้วยศีลวิบัติ ๑ โจทด้วยอาจาร-
วิบัติ ๑ โจทด้วยทิฏฐิวิบัติ ๑ โจทด้วยอาชีววิบัติ ๑. บรรดาการโจท
๔ อย่างนั้น การโจทด้วยศีลวิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งกองอาบัติหนัก
* วิมติริโนทนีฎีกา สมเยนาติ ปกติยา ชานนกฺขเณ, แปลว่า คำว่าสมัย คือ ในขณะรู้
ได้ตามปกติ.

500
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 501 (เล่ม 3)

๒ กอง. โจทด้วยอาจารวิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งกองอาบัติที่เหลือ.
โจทด้วยทิฏฐิวิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งมิจฉาทิฏฐิและอันตคาหิกทิฏฐิ.
โจทด้วยอาชีววิบัติ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งสิกขาบท ๖ ที่ทรงบัญญัติ
เพราะอาชีพเป็นเหตุ.
การโจทยังมีอีก ๔ อย่าง คือโจทระบุวัตถุ ๑ โจทระบุอาบัติ ๑
การห้ามสังวาส ๑ การห้ามสามีจิกรรม ๑. บรรดาการโจท ๔ อย่างนั้น
โจทที่เป็นไปอย่างนี้ว่า ท่านเสพเมถุนธรรม, ท่านลักทรัพย์, ท่านฆ่า
มนุษย์, ท่านอวดคุณวิเศษที่ไม่เป็นจริง ชื่อว่า โจทระบุวัตถุ. โจทที่
เป็นไปโดยนัยมีอาทิอย่างนั้นว่า ท่านต้องเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ ชื่อว่า
โจทระบุอาบัติ. โจทที่เป็นไปอย่างนี้ว่า อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆ-
กรรมก็ดี ร่วมกับท่านไม่มี ชื่อว่า การห้ามสังวาส. แต่ด้วยอาการเพียง
เท่านี้ การโจทยังไม่ถึงที่สุด. เมื่อพูดเชื่อมต่อกับคำเป็นต้นว่า ท่านไม่
เป็นสมณะ ไม่ใช่เหล่ากอแห่งศากยบุตร จึงถึงที่สุด. การไม่กระทำกรรม
มีการกราบไหว้ ลุกรับ ประคองอัญชลี และพัดวี เป็นต้น ชื่อว่า การ
ห้ามสามีจิกรรม.
การไม่ทำสามีจิกรรมนั้น พึงทราบ ในเวลาที่ภิกษุผู้กำลังทำการ
กราบไหว้เป็นต้นตามลำดับ ไม่กระทำแก่ภิกษุรูปหนึ่ง กระทำแก่ภิกษุที่
เหลือ. ก็ด้วยอาการเพียงเท่านี้ ชื่อว่า โจท. ส่วนอาบัติยังไม่ถึงที่สุด.
แต่เมื่อถูกถามว่า ทำไม ท่านจึงไม่กระทำการกราบไหว้เป็นต้น แก่เราเล่า ?
แล้วพูดเชื่อมต่อ ด้วยคำเป็นต้นว่า ท่านไม่ใช่สมณะ ท่านไม่ใช่เหล่ากอ
แห่งศากยบุตร นั่นแหละ อาบัติจึงถึงที่สุด. ก็ภิกษุอาปุจฉาสิ่งที่ตนต้อง
การด้วยข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น, ด้วยคำเพียงเท่านั้น ยังไม่จัดเป็น

501
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 502 (เล่ม 3)

การโจท. ในปาฎิโมกขัฏฐปนขันธกะ ท่านพระอุบาลีเถระกล่าวโจทไว้
อีกถึง ๑๑๐ อย่าง คือการโจทที่ไม่เป็นธรรม ๕๕ ที่เป็นธรรม ๕๕ อย่าง
นี้ คือแต่งตั้งแต่พระดำรัสที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! การพักปาฏิโมกข์
ที่ไม่เป็นธรรมมีหนึ่ง, การพักปาฏิโมกข์ที่เป็นธรรมมีหนึ่ง จนถึงการพัก
ปาฏิโมกข์ที่ไม่เป็นธรรม ๑๐ การพักปาฏิโมกข์ที่เป็นธรรม ๑๐. การ
โจทเหล่านั้น เป็น ๓๓๐ คือ ของภิกษุผ้โจทด้วยการได้เห็นเอง ๑๑๐,
ของภิกษุผู้โจทด้วยการได้ยิน ๑๑๐, ของภิกษุผู้โจทด้วยความรังเกียจ ๑๑๐
การโจทเหล่านั้น เอา ๓ คูณ คือสำหรับภิกษุผู้โจทด้วยกาย ผู้โจทด้วย
วาจา ผู้โจทด้วยกายและวาจา จึงรวมเป็น ๙๙๐. การโจท ๙๙๐ เหล่า
นั้น ของภิกษุผู้โจทด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นโจทก็ดี มีจำนวนเท่านั้น
เหมือนกัน; เพราะฉะนั้น จึงเป็นโจท ๑,๙๘๐ อย่าง. บัณฑิตพึงทราบ
อีกว่า การโจทมีหลายพัน ด้วยอำนาจโจทที่มีมูลและไม่มีมูล ในความ
ต่างแห่งมูลมีเรื่องที่ได้เห็นเป็นต้น.
[อธิบายโจทก์และจำเลยตามอรรถถานัย]
อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์พระอรรถกถาจารย์ในฐานะนี้แล้ว นำเอาสูตรเป็นอัน
มากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ในอุบาลีปัญจกะเป็นต้น อย่างนั้นว่า
ดูก่อนอุบาลี ! ภิกษุผู้ประสงค์จะรับอธิกรณ์ พึงรับอธิกรณ์ประกอบด้วย
องค์ ๕๑ และว่า ดูก่อนอุบาลี ! ภิกษุผู้โจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึง
พิจารณาธรรม ๕ อย่างในตนแล้ว โจทผู้อื่น๒ ดังนี้ แล้วกล่าวลักษณะ
อธิกรณ์ ธรรมเนียมของโจทก์ ธรรมเนียมของจำเลย กิจที่สงฆ์จะพึงทำ
และธรรมเนียมของภิกษุผู้ว่าความ (ผู้สอบสวน) ทั้งหมด โดยพิสดารไว้
๑. วิ. ปริวาร. ๘/๔๖๕. ๒. วิ. ปริวาร. ๘/๔๖๙.

502
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 503 (เล่ม 3)

ในอรรถกถา. ข้าพเจ้าจักพรรณนาลักษณะอธิกรณ์เป็นต้นนั้น ในที่ตาม
ที่มาแล้วนั่นแล.
ก็เมื่อเรื่องถูกนำเข้าในท่ามกลางสงฆ์แล้ว ด้วยอำนาจแห่งโจท
อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาโจทซึ่งมีประเภทดังกล่าวแล้วนี้ สงฆ์พึงถาม
โจทก์และจำเลยว่า พวกท่านจักพอใจด้วยการวินิจฉัยของพวกเราหรือ ?
ถ้าโจทก์และจำเลยกล่าวว่า พวกกระผมจักพอใจ สงฆ์พึงรับอธิกรณ์นั้น.
แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายกล่าวว่า ขอพวกท่านวินิจฉัยดูก่อนเถิด ขอรับ ! ถ้าการ
วินิจฉัยนั้นจักควรแก่พวกกระผม, พวกกระผมจักยอมรับ, พึงกล่าวคำ
มีอาทิว่า พวกท่านจงไหว้พระเจดีย์ก่อน แล้วพึงวิสัชนาทำพระสูตรให้
ยาว. ถ้าพวกเธอ เหน็ดเหนื่อยตลอดกาลนาน เป็นผู้มีบริษัทหลีกไปเสีย
ขาดพรรคพวก จึงขอร้องใหม่, พระวินัยธรพึงห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง แล้ว
พึงวินิจฉัยอธิกรณ์ของพวกเธอ ในเวลาพวกเธอหมดความมานะจองหอง.
และพวกภิกษุที่สงฆ์สมมติเมื่อจะวินิจฉัย ถ้ามีบริษัทหนาแน่นด้วยพวก
อลัชชี, พึงวินิจฉัยอธิกรณ์นั้น ด้วยอุพพาหิกาญัตติ, ถ้าบริษัทหนาแน่น
ด้วยพวกคนพาล, พึงกล่าวว่า พวกท่านจงแสวงหาพระวินัยธร ที่ชอบ
พอของพวกท่าน ๆ เถิด ให้แสวงหาพระวินัยธรเอาเอง แล้วพึงระงับ
อธิกรณ์นั้นโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ ซึ่งเป็นเครื่องระงับ
อธิกรณ์นั้น.
ก็ในธรรมวินัยและสัตถุศาสน์นั้น เรื่องที่เป็นจริง ชื่อว่า ธรรม.
การโจทและการให้การ ชื่อว่า วินัย. ญัตติสมบัติและอนุสาวนาสมบัติ
ชื่อว่า สัตถุศาสน์. เพราะฉะนั้น เมื่อโจทก์ยกเรื่องขึ้นฟ้อง พระวินัยธร

503