หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 484 (เล่ม 3)

คำว่า เสนาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ปุนเทว เวฬุวนํ ปจฺจาคจฺฉติ
มีความว่า ท่านย่อมไม่นั่งคุยเรื่องชนบทกับภิกษุเหล่านั้น กลับนาสู่ที่อยู่
ของตนทันที.
[แก้อรรถเรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ]
บทว่า เมตฺติยภุมฺมชกา ได้แก่ ภิกษุเหล่านี้ คือ ภิกษุชื่อเมตติยะ ๑
ภิกษุชื่อภุมมชกะ ๑ เป็นบุรุษชั้นหัวหน้าแห่งพวกภิกษุฉัพพัคคีย์.
สองบทว่า ลามกานิ จ ภตฺตานิ ได้แก่ ข้อนี้ คือ เสนาสน ะ
อันเลวทราม ถึงแก่พวกภิกษุใหม่ก่อน ไม่เป็นข้อที่น่าอัศจรรย์เลย. แต่
ภิกษุทั้งหลายใส่สลากไว้ในกระเช้า หรือขนดจีวร เคล้าคละกันแล้วจับ
ขึ้นทีละอัน ๆ แจกภัตให้ไป, ภัตแม้เหล่านั้นเป็นของเลวด้อยกว่าเขาทั้งหมด
ย่อมถึงแก่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนั้น เพราะเป็นผู้มีบุญน้อย.
ภัตที่ควรแจกให้ถึงตามลำดับคราวหนึ่งแม้ใด ชื่อว่า เอกวาริกภัต
เป็นของประณีตแสนจะประณีต พึงประมวลให้แจกตั้งแต่พระเถระจนถึง
พระนวกะ, แม้ภัตนั้น ในวันที่ถึงแก่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนี้กลายเป็น
ของเลว หรือพวกชาวบ้านพอเห็นภิกษุ ๒ รูปนั้น ไม่ถวายของประณีต
กลับถวายของเลว ๆ.
บทว่า อภิสงฺขริกํ ได้แก่ อันเขาปรุงผสมด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ.
อธิบายว่า อันเขาตระเตรียมด้วยดี คือให้สำเร็จด้วยดี.
บทว่า กาณาชกํ ได้แก่ ข้าวปนรำ.
บทว่า พิลงฺคทุติยํ ได้แก่ คู่กับน้ำผักดอง.
บทว่า กลฺยาณภตฺติโก มีความว่า ภัตอย่างดี คือที่อร่อยแสน

484
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 485 (เล่ม 3)

จะประณีตของอุบาสกนั้น มีอยู่, เพราะเหตุนั้น อุบาสกนั้นจึงชื่อว่า
กัลยาณภัตติกะ อุบาสกนั้น ปรากฏชื่อตามภัตนั่นแล เพราะเป็นผู้ถวาย
ภัตประณีต.
สองบทว่า จตุกฺกภตฺตํ เทติ ได้แก่ ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่.
แต่โดยโวหารแห่งตัทธิตท่านกล่าวว่า จตุกภัต.
สองบทว่า อุปติฏฺฐิตฺวา ปริวิสติ มีความว่า อุบาสกนั้นสละการ
งานทั้งหมด กระทำการบูชาและสักการะ แล้วยืนอังคาสอยู่ในที่ใกล้ๆ.
สองบทว่า โอทเนน ปุจฺฉนฺติ มีความว่า พวกคนถือข้าวสุกเข้า
ไปหาแล้ว ถามว่า กระผมจะถวายข้าวสุก หรือขอรับ ? อย่างนี้ เป็น
ตติยาวิภัตติ ลงโนอรรถแห่งกรณะ. ในสูปะเป็นต้นก็มีนัยอย่างนี้.
บทว่า สฺวาตนาย มีความว่า การฉันภัตตาหารอันมีในวันพรุ่งนี้
ชื่อว่า สวาตนะ เพื่อประโยชน์แก่การฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้นั้น ชื่อว่า
สฺวาตนาย. มีคำอธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่การฉันภัตตาหาร ที่ควร
กระทำในวันรุ่งขึ้น.
สองบทว่า อุทฺทิฏฐํ โหติ ได้แก่ เป็นของอันภัตตุทเทสก์ถวาย
ให้ถึงแล้ว.
พระเถระไม่ได้คำนึงถึง จึงกล่าวคำนี้ว่า เมตฺติยภุมฺมชกานํ โข
คหปติ ดังนี้.
จริงอยู่ ความที่ภิกษุเมตติยะและภุมมชกะนั้น เป็นผู้มีบุญน้อย มี
พลังอย่างนี้ แม้พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยความเป็นผู้มีสติ
อันไพบูลย์ ก็ไม่มีความคำนึงถึง.
ด้วยคำว่า เช ในคำว่า เย เช นี้ คหบดี ร้องเรียกนางทาสี.

485
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 486 (เล่ม 3)

ข้อว่า หีโย โข อาวุโส อมฺหากํ มีความว่า ภิกษุเมตติยะและ
ภุมมชกะ ปรึกษากันตลอดราตรี กล่าวหมายถึงส่วนแห่งวันที่ล่วงแล้วว่า
หีโย (วันวาน).
บทว่า น จิตูตรูปํ ได้แก่ ไม่สมใจนึก. ภิกษุทั้งสองนั้นจำวัด
ไม่หลับ เหมือนอย่างที่ตนเคยจำวัดหลับเท่าที่ตนต้องการในก่อน. มีคำ
อธิบายว่า จำวัดได้นิดหน่อยเท่านั้น.
บทว่า พหารามโกฏฺฐเก ได้แก่ ภายนอกซุ้มประตูแห่งพระเวฬุ-
วันวิหาร.
บทว่า ปตฺตกขนฺธา ได้แก่ มีคอตก คือ นั่งงอกระดูกคอ
(นั่งคอพับ).
บทว่า ปชฺณายนฺตา ได้แก่ ซบเซาอยู่.
คำว่า ยโต นีวาตํ ตโต ปวาตํ มีความว่า ณ ที่ใดอับลม คือ
ไม่มีลมแม้แต่น้อย, ณ ที่นั้นเกิดมีลมพัดแรงขึ้น.
คำว่า อุทกํ มญฺเญ อาทิตฺตํ ได้แก่ เหมือนน้ำถูกต้มให้เดือด.
[พระทัพพมัลลบุตรถูกสอบสวน]
ข้อว่า สรสิ ตฺวํ ทพฺพ เอวรูปํ กตฺต ความว่า ดูก่อนทัพพะ !
เธอผู้ทำกรรมเห็นปานนี้ ยังระลึกได้อยู่หรือ ? อีกอย่างหนึ่ง ความว่า
ดูก่อนทัพพะ ! เธอยังระลึกคำอย่างที่นางภิกษุณีกล่าวหาได้อยู่หรือ ? ก็
ในคำนี้ บัณฑิตพึงประกอบเห็นใจความอย่างนี้ว่า เธอเป็นผู้กระทำกรรม
อย่างที่นางภิกษุณีนี้กล่าวหาหรือ ? แต่ปาฐะของพวกอาจารย์ผู้สวดว่า
ภตฺวา ปรากฏตรงทีเดียว.

486
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 487 (เล่ม 3)

ด้วยคำว่า ยถา มํ ภนฺเต ภควา ชานาติ นี้ พระเถระทูลชี้แจง
ว่าอย่างไร ? ทูลชี้แจงว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเป็นพระสัพพัญญู และข้าพระองค์ก็เป็นพระขีณาสพ, การเสพวัตถุ-
กามไม่มีแก่ข้าพระองค์เลย, พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบข้าพระองค์-
นั้น, ข้าพระองค์จักต้องกล่าวอะไรในการเสพวัตถุกามนั้นเล่า ? พึงทราบ
ข้าพระองค์เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบนั่นแล.
ในคำว่า น โข ทพฺพ ทพฺพา เอวํ นิพฺเพเฐนฺติ นี้ บัณฑิตพึง
เห็นใจความอย่างนี้ว่า ดูก่อนทัพพะ ! ผู้ฉลาด คือบัณฑิต ย่อมไม่กล่าวหา
เหมือนอย่างที่เธอกล่าวแก้คำกล่าวหา เพราะมีผู้อื่นเป็นปัจจัย (เพราะเชื่อ
ผู้อื่น), อนึ่งแล บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมกล่าวแก้คำกล่าวหาด้วยกรรมที่ตน
รู้เองทั้งนั้น.
ด้วยคำว่า สเจ ตยา กตํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า
อย่างไร ? ทรงแสดงว่า เพราะว่า ใคร ๆ ไม่อาจทำบุคคลผู้ไม่ได้ทำ
(ผิด) ให้เป็นผู้ทำ (ผิด) หรือผู้ทำ (ผิด) ให้เป็นผู้ไม่ทำ (ผิด) ด้วย
กำลังคน หรือด้วยกำลังสนับสนุนของพรรคพวกได้; เพราะเหตุนั้น
กรรมใดที่ตนทำเอง หรือมิได้กระทำก็ตาม ควรพูดแต่กรรมนั้นเท่านั้น.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ? พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงทราบอยู่
แต่ไม่ตรัสว่า เรารู้อยู่ เธอเป็นพระขีณาสพ, โทษของเธอไม่มี ภิกษุณี
นี้กล่าวเท็จ.
แก้ว่า เพราะทรงมีความเอ็นดูผู้อื่น. ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
พึงตรัสทุก ๆ เรื่องที่พระองค์ทรงทราบ, พระองค์ถูกผู้อื่นซึ่งต้องปาราชิก
แล้วถาม จำต้องตรัสคำว่า เรารู้อยู่, เธอเป็นปาราชิก. แต่นั้น บุคคลนั้น

487
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 488 (เล่ม 3)

พึงผูกอาฆาตว่า เมื่อก่อนพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ทรงทำให้พระทัพพ-
มัลลบุตรบริสุทธิ์ ได้ บัดนี้ทรงทำเราให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้, ต่อไปนี้
เราจะพูดอะไรแก่ใครได้เล่า ? ในฐานะที่แม้พระศาสดายังทรงถึงความ
ลำเอียงในหมู่สาวก, ความเป็นพระสัพพัญญูของพระศาสดานี้ จักมีแต่ที่
ไหนเล่า ? ดังนี้แล้ว ต้องเป็นผู้เข้าถึงอบาย. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงทราบอยู่ก็ไม่ตรัส เพราะทรงมีความเอ็นดูผู้อื่นนี้. มีคำที่ควร
กล่าวเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัส เพราะทรงหลีก
เลี่ยงคำค่อนขอด.
ก็ถ้าว่า พระะผู้มีพระภาคเจ้า พึงตรัสอย่างนี้, จะพึงมีการกล่าว
ค่อนขอดอย่างนี้ว่า ชื่อว่า การออกจากอาบัติของพระทัพพมัลลบุตรหนัก.
แต่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสักขีพยานจึงออกได้. และพวกปาปภิกษุ
เข้าใจลักษณะแห่งการออกจากอาบัตินี้ อย่างนี้ว่า ถึงในครั้งพุทธกาล
ความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ ย่อมมีได้ด้วยพยาน, พวกเรารู้อยู่, บุคคล
นี้เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ดังนี้ พึงทำให้ภิกษุ แม้ผู้มีความละอายพินาศแล.
อีกนัยหนึ่ง แม้ในอนาคต พวกภิกษุเมื่อเรื่องวินิจฉัยแล้ว จักให้โจทก์
โจท แล้วให้จำเลยให้การว่า ถ้าท่านทำ จงกล่าวว่า ข้าพเจ้าทำ แล้ว
ถือเอาแต่ปฎิญญาของพวกลัชชีภิกษุ กระทำกรรม; เพราะเหตุนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงตั้งแบบแผนในลักษณะแห่งวินัย จึงไม่ตรัสว่า
เรารู้อยู่ ตรัสว่า ถ้าเธอทำ จงกล่าวว่า ข้าพเจ้าทำ ดังนี้.
ข้อว่า นาภิชานามิ สุปินนฺเตนปิ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวิตา มีความ
ว่า แม้โดยความฝันข้าพระองค์ก็ยังไม่รู้จักเสพเมถุนธรรม มีคำอธิบายว่า

488
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 489 (เล่ม 3)

ข้าพระองค์มิได้เสพ. อีกอย่างหนึ่ง มีรูปความที่ท่านกล่าวไว้ว่า ข้า-
พระองค์ไม่รู้จักเมถุนธรรม แม้โดยความฝันว่าเป็นผู้เสพ. แต่ปาฐะของ
พวกอาจารย์ผู้สวดว่า ปฏิเสวิตฺวา ปรากฏตรงทีเดียว.
คำว่า ปเคว ชาคโร มีความว่า ก็ข้าพระองค์ตื่นอยู่ ไม่รู้จักมา
ก่อนทีเดียว.
คำว่า เตนหิ ภิกฺขเว เมตฺตํยํ ภิกฺขุนึ นาเสถ มีคำอธิบายว่า
เพราะคำของพระทัพพมัลลบุตรและภิกษุณีเมตติยานี้ ไม่เชื่อมต่อกัน;
ฉะนั้น พวกเธอจงนาสนะภิกษุณีเมตติยาเสีย. ในคำนั้น นาสนะมี ๓ อย่าง
คือ ลิงคนาสนะ ๑ สังวาสนาสนะ ๑ ทัณฑกัมมนาสนะ ๑. บรรดานาสนะ
เหล่านั้น นาสนะนี้ว่า สามเณรผู้ประทุษร้าย (นางภิกษุณี) สงฆ์พึงให้
ฉิบทายเสีย ชื่อว่า ลิงคนาสนะ. พวกภิกษุทำอุกเขปนียกรรม เพราะไม่
เห็น หรือไม่ทำคืนอาบัติก็ดี เพราะไม่สละทิฎฐิลามกเสียก็ดี นี้ ชื่อสัง-
วาสนาสนะ. พวกภิกษุทำทัณฑกรรม (แก่สมณุเทศ) ว่า เจ้าคนเลว เจ้า
จงไปเสีย จงฉิบทายเสีย นี้ ชื่อทัณฑกัมมนาสนะ. แต่ในฐานะนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาลิงคนาสนะ จึงตรัสว่า พวกเธอจงนาสนะ
ภิกษุณีเมตติยาเสีย ดังนี้.
ด้วยคำว่า อิเม จ ภิกฺขุ อนุยุญฺชถ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงพระประสงค์ นี้ว่า ภิกษุณีนี้ มิใช่ผู้กระทำตามธรรมดาของตน คง
ถูกพวกภิกษุอื่นยุยงแน่นอน; เพราะเหตุนั้น พวกเธอจงสอบสวน คือ
จงสืบสวนหา จงรู้ตัวภิกษุผู้ยุยงเหล่านี้.
ถามว่า ก็ภิกษุณีเมตติยา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งให้สึกเสีย
ด้วยปฏิญญา หรือทรงให้สึกด้วยไม่ปฏิญญา.

489
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 490 (เล่ม 3)

แก้ว่า ในการทักท้วงนี้ มีคำที่จะต้องกล่าวเพิ่มบ้างเล็กน้อย, ชั้น
แรกถ้าทรงให้สึกด้วยปฏิญญา, พระเถระจะเป็นผู้กระทำ (ผิด), ถ้าทรง
ให้สึกด้วยไม่ปฏิญญา, พระเถระจะเป็นผู้ไม่ทำ (ผิด) ไม่มีโทษ.
[เรื่องตีความหมายบาลีพระวินัยผิดตกลงกันไม่ได้]
แม้ในกาลแห่งพระเจ้าภาติราช พระเถระสำนักมหาวิหารและ
สำนักอภัยติรีวิหาร ได้มีการวิวาทกัน (ถกเถียงกัน) ในเพราะวาทะนี้แล.
ฝ่ายสำนักอภัยติรีวิหาร อ้างสูตรของตนกล่าวว่า ในวาทะของพวกท่าน
พระเถระเป็นผู้ทำ (ผิด). ฝ่ายสำนักมหาวิหารอ้างสูตรของตนกล่าวว่า ใน
วาทะของพวกท่าน พระเถระเป็นผู้ทำ (ผิด). ปัญหาจึงตกลงกันไม่ได้.
พระราชาทรงทราบ (ข่าวัน้น) แล้วรับสั่งให้พระเถระทั้งหลายประชุมกัน
ทรงสั่งบังคับอำมาตย์เชื้อชาติพราหมณ์นามว่า ทีฆการายนะว่า เธอจงฟัง
ถ้อยคำของพระเถระทั้งหลาย. ได้ยินว่า อำมาตย์เป็นบัณฑิต ฉลาดใน
ภาษาอื่น. อำมาตย์นั้นกล่าวว่า ท่านขอรับ ! ขอพระเถระจงกล่าวสูตร
เถิด. ลำดับนั้น พระเถระสำนักอภัยติรีวิหาร ได้กล่าวสูตรของตนว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสึกเสีย
ด้วยปฎิญญาของตน. อำมาตย์เรียนว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! ในวาทะของ
พวกท่าน พระเถระเป็นผู้ทำ (ผิด) มีโทษ.
ฝ่ายพระเถระสำนักมหาวิหาร ได้กล่าวสูตรของตนว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ! ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสืกเสีย. อำมาตย์
เรียนว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! ในวาทะของพวกท่าน พระเถระไม่ใช่ผู้ทำ

490
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 491 (เล่ม 3)

(ผิด) ไม่มีโทษ. ก็ใน ๒ สูตรนี้ สูตรไหนถูกเล่า ? สูตรที่กล่าวภายหลัง
ถูก, เพราะสูตรนี้ พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายวิจารณ์ไว้แล้ว.
ภิกษุตามกำจัดภิกษุด้วยอันติมวัตถุอันไม่มีมูล เป็นสังฆาทิเสส
ตามกำจัด นางภิกษุณี เป็นทุกกฏ. แต่ในกุรุนทีกล่าวว่า เป็นปาจิตตีย์
เพราะมุสาวาท. ในนัยก่อนและนัยหลังนั้น มีการพิจารณาดังต่อไปนี้:-
นัยต้น เป็นเพียงทุกกฏเท่านั้น ถูกก่อน เพราะมีความประสงค์จะตาม
กำจัด. แม้เมื่อมีการกล่าวเท็จ ก็เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ ในเพราะภิกษุ
ด้วยกัน และแม้เมื่อมีการกล่าวเท็จ ก็เป็นปาจิตตีย์ เพราะโอมสวาท
เท่านั้น แก่ภิกษุผู้มีความเห็นว่าบริสุทธิ์ โจทภิกษุผู้ไม่บริสุทธิ์ ด้วย
ความประสงค์จะด่า ไม่ใช่เป็นปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท ฉันใด,
แม้ในอธิการนี้ ก็ฉันนั้น เป็นปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท ไม่ถูก
เพราะมีความประสงค์จะตามกำจัด. เป็นเพียงทุกกฏเท่านั้น ถูกแล้ว. แม้
นัยหลัง เป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว ก็ถูก เพราะเป็นมุสาวาท. แต่จาก
หลักฐานทางพระบาลี ไม่มีคำว่า เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ ในเพราะภิกษุ
ด้วยกัน ด้วยความประสงค์จะตามกำจัด, เป็นสังฆาทิเสสในเพราะภิกษุ
ด้วยกัน แก่ภิกษุผู้มีความประสงค์จะด่า เพราะมุสาวาท, แต่เป็นทุกกฏ
แก่ภิกษุผู้มีความประสงค์จะด่า ในเพราะโอมสวาท และเพราะตามกำจัด
นางภิกษุณี, มีคำว่า เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะสัมปชานมุสาวาท; เพราะ
เหตุนั้น เป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว จึงถูก. ก็ในวาทะนั้นบัณฑิตควรพิจารณา
ดังต่อไปนี้:-
ถามว่า เมื่อไม่มีความประสงค์จะตามกำจัด (โจท) เป็นปาจิตตีย์,
เมื่อมีความประสงค์จะตามกำจัดนั้น จะพึงเป็นอะไรเล่า ?

491
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 492 (เล่ม 3)

แก้ว่า บรรดาปาจิตตีย์และสังฆาทิเสสนั้น เพราะแม้เมื่อสำเร็จเป็น
ปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้พูดเท็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงปรับปาจิตตีย์ไว้
ต่างหาก ในเพราะการโจทด้วยสังฆาทิเสสไม่มีมูล; เพราะฉะนั้น เมื่อมี
ความประสงค์จะโจท โอกาสแห่งปาจิตตีย์ ในเพราะสัมปชานมุสาวาท
จึงไม่ปรากฎ และไม่อาจที่จะไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้โจทก์; เพราะฉะนั้น
บรรดานัยทั้งสองนี้ นัยต้นแล ปรากฎว่า บริสุทธิ์กว่า.
อนึ่ง นางภิกษุณีโจทนางภิกษุณีด้วยอันติมวัตถุอันหามูลมิได้ เป็น
สังฆาทิเสส, โจทภิกษุ เป็นทุกกฏ. บรรดาสังฆาทิเสสและทุกกฏนั้น
สังฆาทิเสสเป็นวุฎฐานคามี (ออกได้ด้วยการอยู่กรรม) ทุกกฏเป็นเทสนา-
คามี (ออกได้ด้วยกายแสดง) การนาสนะภิกษุณี เพราะสังฆาทิเสสและ
ทุกกฏเหล่านี้ จึงไม่มี. อนึ่ง นางภิกษุณีเมตติยานั้นยืนกล่าวเท็จต่อพระ-
พักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าใดเล่า ด้วยเหตุนั้น นางจึงเป็นปาจิตตีย์ ใน
เพราะสัมปชานมุสาวาท, เพราะปาจิตตีย์แม้นี้นาสนะก็ไม่มี. แต่เพราะ
นางภิกษุณีเมตติยานั้น ตามปกติแล เป็นภิกษุณีเลวทรามทุศีล, และ
เดี๋ยวนี้นางก็กล่าวด้วยความสำคัญว่า เราเองแล เป็นผู้ทุศีล, เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งให้สึกนางภิกษุณีนั้นเสีย เพราะความเป็นผู้ไม่
บริสุทธิ์นั่นแล.
ข้อว่า อถโข เมตฺติยภุมฺมชกา มีความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า พวกเธอจงให้นางภิกษุณีเมตติยาสึกเสียอย่างนี้ และจงสอบสวน
ภิกษุเหล่านี้ แล้วเสด็จลุกจากอาสนะเข้าสู่พระวิหาร. ภิกษุเหล่านั้น เห็น
นางภิกษุณีนั้น ถูกภิกษุเหล่านั้นให้สึกอยู่ ด้วยคำว่า พวกท่านจงให้ผ้า
ขาวแก่ภิกษุณีนี้เดี่ยวนี้ จึงได้ประกาศความผิดของตน เพราะเป็นผู้มี

492
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 493 (เล่ม 3)

ความประสงค์จะช่วยนางภิกษุณีนั้นให้พ้นผิด. เพื่อแสดงเนื้อความนี้
พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวคำว่า อถโข เมตฺติยภุมฺมชกา
เป็นอาทิ.
[แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์สังฆาทิเสสที่ ๘]
สองบทว่า ทุฏฺโฐ โทโส ได้แก่ เป็นผู้ถูกโทสะประทุษร้ายและ
เป็นผู้ประทุษร้าย. จริงอยู่ เมื่อโทสะเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อมเป็นผู้ชื่อว่า
ถูกโทสะนั้นประทุษร้ายแล้ว คือ ให้ละความเป็นปกติเสีย; เพราะฉะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า ทุฏฐะ (ขัดใจ). และผู้มีความขัดใจนั้น ย่อมประทุษร้าย
ผู้อื่น คือทำผู้อื่นให้พินาศ; เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า โทสะ. ด้วย
ประการอย่างนี้ คำว่า ทุฏฺโฐ โทโส นี้ แสดงโดยความต่างแห่งอาการ
ของบุคคลเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทุฏฺโฐ โทโสติ
ทูสิโต เจว ทูสโก จ. ในคำว่า ทุฏฺโฐ โทโส นั้น ผู้ศึกษาควรค้นหา
ลักษณะแห่งศัพท์. ก็เพราะว่า บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยความแค้นเคืองนั้น
ถึงการนับว่า ขัดใจ มีโทสะ ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้โกรธเป็นต้น
ทีเดียว; เพราะเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งสองบทว่า ทุฏฺโฐ โทโส นั้น
ท่านจึงกล่าวคำมีคำว่า กุปิโต เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุปิโต ได้แก่ ถึงภาวะกำเริบ คือภาวะ
ที่เคลื่อนไปจากปกติ.
บทว่า อนตฺตมโน ได้แก่ ผู้ไม่มีใจเป็นของตน คือมีจิตไม่
ตั้งอยู่ในอำนาจของตน. อีกอย่างหนึ่ง ผู้มีใจอันปีติและสุขไม่ซึมซาบ
คือมีจิตตกไปเสียจากปีติและสุข; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนัตตมนะ
(ไม่ถูกใจ).

493