No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 47 (เล่ม 35)

ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ชนะมาร
กับทั้งพลพาหนะมารแล้ว.
จบโสขุมมสูตรที่ ๖
อรรถกถาโสขุมมสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในโสขุมมสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โสขุมฺมานิ ได้แก่ ญาณที่เป็นเครื่องแทงสุขุมลักษณะได้
ตลอด. บทว่า รูปโสขุมฺเมน สมนฺนาคโต โหติ ได้แก่ เป็นผู้ประกอบ-
ด้วยญาณที่กำหนดรู้ลักษณะสุขุมอันละเอียดในรูป. บทว่า ปรเมน ได้แก่
สูงสุด. บทว่า เตน จ รูปโสขุมฺเมน ความว่า ด้วยญาณที่กำหนดรู้
สุขุมลักษณะจนถึงอนุโลมญาณนั้น. บทว่า น สมนุปสฺสติ ได้แก่
ไม่พิจารณาเห็นโดยความไม่มี. บทว่า น ปฏิเฐติ ได้แก่ ไม่ปรารถนา
โดยความไม่มี. แม้ในเวทนาที่สุขุมเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า รูปโสขุมฺมตํ ญตฺวา ความว่า ภิกษุรู้ความที่รูปขันธ์เป็น
ของสุขุมด้วยญาณเป็นเครื่องกำหนดสุขุมลักษณะที่ละเอียด. บทว่า เวทนา-
นญฺวิ สมฺภวํ ความว่า รู้ถึงแดนเกิดแห่งเวทนาขันธ์. บทว่า สญฺญา
ยโต สมุเทติ ความว่า รู้เหตุที่สัญญาขันธ์เกิดคือบังเกิด. บทว่า อตฺถํ-
คจฺฉติ ยตฺถ จ ความว่า รู้ถึงที่สัญญาขันธ์ดับ. บทว่า สงฺขาเร ปรโต
ญตฺวา ความว่า รู้ถึงสังขารขันธ์แปรเป็นอย่างอื่น โดยสภาพชำรุด เพราะ
เป็นของไม่เที่ยง. ก็อนิจจานุปัสสนาตรัสด้วยบทนี้. ตรัสทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาด้วยบทนี้ว่า ทุกฺขโต โน จ อตฺตโต. บทว่า สนฺโต
ความว่า ชื่อว่าสงบ เพราะกิเลสสงบ. บทว่า สนฺติปเท รโต ได้แก่
ยินดีในนิพพาน. ในสูตรนี้ ตรัสวิปัสสนาในฐานะ ๔ เท่านั้น ในคาถาตรัส
โลกุตรธรรมด้วยแล.
จบอรรถกถาโสขุมมสูตรที่ ๖

47
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 48 (เล่ม 35)

๗. ปฐมอคติสูตร
ว่าด้วยความลำเอียง ๔
[๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความลำเอียง ๔ ประการนี้ ความลำเอียง
๔ คืออะไร คือลำเอียงเพราะชอบกัน ลำเอียงเพราะชังกัน ลำเอียงเพราะเขลา
ลำเอียงเพราะกลัว ภิกษุทั้งหลาย นี้แลความลำเอียง ๔ ประการ
บุคคลใดประพฤติล่วงธรรม เพราะ
ความชอบกัน เพราะความชังกัน เพราะ
ความกลัว เพราะความเขลา ยศของบุคคล
นั้นย่อมเสื่อม เหมือนดวงจันทร์ข้างแรม
ฉะนั้น.
จบปฐมอคติสูตรที่ ๗
อรรถกาปฐมอคติสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมอคติสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อคติคมนานิ ได้แก่ ความลำเอียง. บทว่า ฉนฺทาคตึ
คจฺฉติ ความว่า บุคคลลำเอียงเพราะชอบกัน คือทำสิ่งที่ไม่ควรทำ. แม้ใน
บทที่เหลือก็นัยนี้แล.
บทว่า ฉนฺทา โทสา ภยา โมหา ความว่า บุคคลลำเอียง
เพราะชอบกัน เพราะชังกัน เพราะกลัว เพราะเขลา. บทว่า อติวตฺตติ
ได้แก่ ละเมิดธรรม.
จบอรรถกถาปฐมอคติสูตรที่ ๗

48
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 49 (เล่ม 35)

๘. ทุติยอคติสูตร
ว่าด้วยความลำเอียง ๔
[๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่ลำเอียง ๔ ประการนี้ ความ
ไม่ลำเอียง ๔ คืออะไร คือไม่ลำเอียงเพราะชอบกัน ไม่ลำเอียงเพราะชังกัน
ไม่ลำเอียงเพราะเขลา ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ภิกษุทั้งหลาย นี้แล ความไม่ลำเอียง
๔ ประการ.
บุคคลใดไม่ประพฤติล่วงธรรม
เพราะความชอบกัน เพราะความชังกัน
เพราะความกลัว เพราะความเขลา ยศของ
บุคคลนั้นย่อมเพิ่มพูน เหมือนดวงจันทร์
ข้างขึ้น ฉะนั้น.
จบทุติยอคติสูตรที่ ๘
ทุติยอคติสูตรที่ ๘ ง่ายทั้งนั้น.
๙. ตติยอดติสูตร
ว่าด้วยความลำเอียงและความไม่ลำเอียง
[๑๙] สูตรนี้ นำเอาสูตร ๑๗, ๑๘ มารวมเข้าเป็นสูตรเดียว
ความเหมือน ๒ สูตรนั้นทุกประการ.
จบตติยอคติสูตรที่ ๙
ตติยอคติสูตรที่ ๙ ตรัสด้วยนัยทั้งสองด้วยอำนาจแห่งบุคคลผู้ตรัสรู้
เหมือนกัน.

49
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 50 (เล่ม 35)

๑๐. ภัตตุเทสกสูตร
ว่าด้วยพระภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๔
[๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระภัตตุทเทสก์ ประกอบด้วยธรรม
ประการ ย่อมอุบัติในนรก เหมือนเขานำตัวไปขังไว้ฉะนั้น ธรรม ๔ ประการ
คืออะไร คือ ลำเอียงเพราะชอบกัน ลำเอียงเพราะชังกัน ลำเอียงเพราะเขลา
ลำเอียงเพราะกลัว พระภัตตุทเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อม
อุบัติในนรก เหมือนเขานำตัวไปขังไว้ฉะนั้น
ภิกษุทั้งหลาย พระภัตตุทเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อม
อุบัติในสวรรค์ เหมือนเขาเชิญตัวไปประดิษฐานไว้ฉะนั้น ธรรม ๔ ประการ
คืออะไร คือ ไม่ลำเอียงเพราะชอบกัน ไม่ลำเอียงเพราะชังกัน ไม่ลำเอียง
เพราะเขลา ไม่ลำเอียงเพราะกลัว พระภัตตุทเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
นี้แล ย่อมอุบัติในสวรรค์ เหมือนเขาเชิญตัวไปประดิษฐานไว้ฉะนั้น
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่สำรวมใน
กามทั้งหลาย เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยธรรม
ไม่เคารพธรรม ลำเอียงเพราะชอบกัน
เพราะชังกัน และเพราะกลัว นั่นเราเรียกว่า
ผู้เป็นหยากเยื่อในบริษัทพระสมณะผู้รู้ตรัส
ไว้อย่างนี้แล.
เพราะเหตุนั้น ชนเหล่าใดตั้งอยู่ใน
ธรรม ไม่ทำความชั่ว ไม่ลำเอียงเพราะ
ชอบกัน ซึ่งกัน และไม่ลำเอียงเพราะ

50
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 51 (เล่ม 35)

ความกลัว ชนเหล่านั้น เป็นสัตบุรุษ
ควรสรรเสริญ นั่นเราเรียกว่า เป็นผู้ผุด-
ผ่องในบริษัท พระสมณะผู้รู้ตรัสไว้อย่าง
นี้แล.
จบภัตตุเทสกสูตรที่ ๑๐
จบจรวรรคที่ ๒
อรรถกถาภัตตุเทสกสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในภัตตุเทสกสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภตฺตุทฺเทสโก ได้แก่ ภิกษุผู้แจกสลากภัตเป็นต้น . บทว่า
กาเมสุ อสญฺญตา ความว่า เหล่าชนผู้มีกิเลสกามไม่สำรวมในวัตถุกาม
ทั้งหลาย. บทว่า ปริสกสาโว จ ปเนส วุจฺจติ ความว่า บริษัทเห็น
ปานนี้ เรียกชื่อว่า หยากเยื่อในบริษัท. บทว่า สมเณน ได้แก่ พระ-
พุทธสมณะผู้รู้. บทว่า ปริสาย มณฺโฑ จ ปเนส วุจฺจติ ความว่า
บริษัทเห็นปานนี้ เรียกว่า เป็นผู้ผ่องใสในบริษัท เพราะความผ่องใส.
จบอรรถกถาภัตตุเทสกสูตรที่ ๑๐
จบจรวรรควรรณนาที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. จารสูตร ๒. สีลสูตร ๓. ปธานสูตร ๔. สังวรสูตร
๕. ปัญญัตติสูตร ๖. โสขุมมสูตร ๗. ปฐมอคติสูตร ๘. ทุติยอคติสูตร
๙. ตติยอคติสูตร ๑๐. ภัตตุเทสกสูตร และอรรถกถา.

51
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 52 (เล่ม 35)

อุรุเรลวรรคที่ ๓
๑. ปฐมอุรุเวลสูตร
ว่าด้วยคนไม่มีที่เคารพไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์
[๒๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อครั้งแรกตรัสรู้ เราพักอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ตำบลอุรุเวลา เมื่อเราเร้นอยู่ในที่สงัด เกิดปริวิตกขึ้นว่า คนไม่มีที่เคารพ
ไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะ เคารพ พึ่งพิงสมณะหรือ
พราหมณ์ผู้ใดอยู่เล่าหนอ เราตรองเห็นว่า เราจะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงสมณะ
หรือพราหมณ์อื่นอยู่ ก็เพื่อทำสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์
ของเราที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ ก็แต่ว่าเราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น
ที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติยิ่งกว่าตนในโลกทั้งเทวโลก ทั้งมาร-
โลก ทั้งพรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งเทวดามนุษย์ ทั้งสมณพราหมณ์ ซึ่งเรา
จะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงอยู่ได้ดังนี้แล้ว เราตกลงใจว่า อย่ากระนั้นเลย ธรรม
ใดที่เราตรัสรู้นี้ เราพึงสักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่เถิด.
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นสหัมบดีพรหมรู้ความปริวิตกของเราด้วยใจ
(ของตน) แล้ว หายไปจากพรหมโลกมาปรากฏตัวต่อหน้าเรา (รวดเร็ว)
ประดุจบุรุษผู้มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เยียด ฉะนั้น

52
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 53 (เล่ม 35)

ครั้นแล้วสหัมบดีพรหมทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน
ประคองอัญชลีตรงมาทางเรา กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อที่
พระองค์ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นถูกแล้ว ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้อที่พระองค์
ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นชอบแล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะแม้เหล่าใดที่มีมา
แล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็ได้ทรงสักการะเคารพ
พึ่งพิงพระธรรมอยู่เหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสมพุทธะแม้เหล่าใดที่จักมีใน
อนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็จักทรงสักการะเคารพพึ่งพิง
พระธรรมนั่นแลอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธะในกาลบัดนี้
ก็ขอจงทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั้นอยู่เถิด สหัมบดีพรพมได้กล่าว
คำนี้แล้ว จึงกล่าวคำประพันธ์นี้ อีกว่า
พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ล่วงไป
แล้วก็ดี พระพุทธเจ่าเหล่าใดที่ยังไม่มาถึง
ก็ดี พระสัมพุธเจ้าพระองค์ใดผู้ยังความ
โศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายใน
ปัจจุบันนี้ก็ดี พระพุทะเจ้าทั้งปวงนั้นเป็น
ผู้ทรงเคารพพระสัทธรรมแล้ว ทรงเคารพ
พระสัทธรรมอยู่ และจักทรงเคารพพระ-
สัทธรรม นี่เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย.
เพราะเหตุนั้นแล ผู้รักตน จำนง
ความเป็นใหญ่ ระลึกถึงคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงเคารพพระสัท-
ธรรมเถิด.

53
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 54 (เล่ม 35)

ภิกษุทั้งหลาย สหัมบเพรหมกล่าวคำประพันธ์นี้แล้วอภิวาทเราทำ
ประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล
ครั้งนั้น เราแจ้งว่า พรหมวิงวอนและรู้ภาวะอันสมควรแก่ตนแล้ว
ธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มา ก็แต่ว่า
เมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย.
จมปฐมอุรุเวลสูตรที่ ๑
อรุเวลวรรควรรณนาที่ ๓
อรรถกถาอุรุเวลสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอุรุเวลสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุรุเวลา ในบทว่า อุรุเวลายํ นี้ ได้แก่เขตทรายกองใหญ่
อธิบายว่า ทรายกองใหญ่. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้อย่างนี้ว่า
ทราบเรียกว่าอุรุ เขตแดนเรียกว่าเวลา. ทรายที่เขาขนมาเพราะละเมิดกติกา
เป็นเหตุ ชื่อว่าอุรุเวลา. ได้ยินว่า ในอดีตกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติ
กุลบุตรหมื่นคนบวชเป็นดาบสอยู่ในประเทศนั้น ในวันหนึ่ง ประชุมพร้อม
กันแล้งได้ตั้งกติกากันว่า ชื่อว่ากายกรรม วจีกรรม ย่อมปรากฏแก่ชนเหล่าอื่น
ได้ ส่วนมโนกรรมไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น บุคคลใดตรึกถึงกามวิตก พยาบาท-
วิตก หรือวิหิงสาวิตก. บุคคลอื่นชื่อว่า จะตักเตือนบุคคลนั้นไม่มี บุคคลนั้น
ตักเตือนตนด้วยตนเองแล้ว เอาใบไม้ห่อทรายนำมาเกลี่ยลงในที่นี้. นี้จัดเป็น
ทัณฑกรรมของบุคคลนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผู้ใดตรึกวิตกเช่นนั้น ผู้นั้นเอาใบไม้
ห่อทรายมารเกลี่ยลงในที่นั้น จึงเกิดเป็นกองทรายใหญ่ โดยลำดับในที่นั้น
ด้วยประการฉะนี้ ต่อมา หมู่คนที่เกิดในภายหลัง จึงล้อมกองทรายใหญ่นั้น

54
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 55 (เล่ม 35)

ทำให้เป็นเจติยสถาน ท่านหมายถึงเจติยสถานนั้น จึงกล่าวว่า อุรุเวลาติ
มหาเวลา มหาวาลิการาสีติ อตฺโถ ดังนี้ ท่านหมายถึงข้อนั้นเอง จึง
กล่าวไว้ อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้อย่างนี้ว่า ทรายเรียกว่า อุรุ
เขตแดนเรียกว่าเวลา ทรายที่เขานำมาเพราะเหตุละเมิดกติกาเป็นเหตุ ชื่อ
อุรุเวลา.
ด้วยบทว่า นชฺชา เนรญฺชราย ตีเร ทรงแสดงว่า เราอาศัย
อุรุเวลคามพักอยู่ แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. บทว่า อชปาลนิโคฺรเธ ความว่า
พวกคนเลี้ยงแพะนั่งบ้าง ยืนบ้าง ในร่มเงาของต้นนิโครธนั้น เพราะเหตุนั้น
ต้นนิโครธนั้น จึงเรียกว่า อชปาลนิโครธ. อธิบายว่า ภายใต้ต้นอชปาล-
นิโครธนั้น.
บทว่า ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ ความว่า เป็นผู้ตรัสรู้ครั้งแรก. บทว่า
อุทปาทิ ความว่า วิตกนี้เกิดในสัปดาห์ที่ ๕ ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเกิดขึ้น.
ตอบว่า เพราะเป็นอาจิณปฏิบัติ และอาเสวนปัจจัยชาติก่อน ของพระพุทธเจ้า
ทุกพระองค์ ในเหตุข้อนั้น พึงนำติดติรชาดกมาแสดงเพื่อประกาศอาเสวนะ
การส้องเสพในชาติก่อน ได้ยินว่า นกกระทา ลิง และช้าง เมื่ออยู่ในประเทศ
แห่งหนึ่ง จึงแสดงต้นไทรว่า บรรดาพวกเรา ผู้ใดเป็นผู้แก่ เราทั้งหลายจัก
เคารพในผู้นั้นอยู่. ทบทวนกันอยู่ว่า บรรดาพวกเราใครหนอเป็นผู้แก่. รู้ว่า
นกกระทาเป็นผู้แก่ จึงทำความอ่อนน้อมต่อนกกระทำนั้น เป็นผู้พร้อมเพรียง
ยินดีกะกันและกันอยู่. ก็ได้มีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า. เทวดาผู้สถิตอยู่ ณ ต้นไม้
ทราบเหตุนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า.
เย วุฑฺฒมปจายนฺต นรา ธมฺมสฺส โกวิทา
ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ ปาสํสา สมฺปราเย จ สุคฺคติ

55
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ – หน้าที่ 56 (เล่ม 35)

นรชนเหล่าใด ฉลาดในธรรม ย่อม
อ่อนน้อมผู้ใหญ่ นรชนเหล่านั้นได้รับ
สรรเสริญในโลกนี้ และในสัมปรายภพ
ก็มีสุคติ ดังนี้.
พระตถาคตแม้เกิดในกำเนิดอเหตุกดิรัจฉานอย่างนี้ ยังทรงชอบ
พระทัยการอยู่อย่างมีความเคารพ บัดนี้ เหตุไรจักไม่ทรงชอบพระทัยเล่า.
บทว่า อคารโว คือเว้น ความเคารพในบุคคลอื่น. อธิบายว่า ไม่ตั้งใครไว้
ในฐานะควรเคารพ. บทว่า อปฺปติสฺโส คือเว้น ความยำเกรง อธิบายว่า
ไม่ทั้งใครไว้ในฐานะผู้ใหญ่. ในบทว่า สมณํ วา พฺรหฺมณํ วา นี้ ท่าน
ประสงค์เอาสมณะและพราหมณ์ผู้สงบบาป และผู้ลอยบาปแล้วเท่านั้น.
บทว่า สกฺกตฺวา ครุกตฺวา ความว่า ทำสักการะและเข้าไปตั้ง
ความเคารพ. ในบทว่า สเทวเก โลเก เป็นอาทิ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้
สเทวกะ แปลว่า พร้อมกับเทวดาทั้งหลาย ก็บรรดามารและพรหมทั้งหลาย
ที่ทรงถือเอาด้วยเทวศัพท์ในบทนี้ ชื่อว่า มาร ผู้มีอำนาจย่อมใช้อำนาจเหนือ
สัตว์ทั้งปวง ชื่อว่า ท้าวมหาพรหมผู้มีอานุภาพใหญ่ ย่อมแผ่แสงสว่างไปใน
หนึ่งจักรวาลด้วยนิ้วหนึ่ง ในสองจักรวาลด้วยสองนิ้ว ย่อมแผ่แสงสว่างไปใน
หมื่นจักรวาลด้วยนิ้วทั้ง ๑๐ จึงแยกตรัสว่า สมารเก สพฺรหฺมเก ด้วย
ดำริว่า ชนทั้งหลาย อย่าได้กล่าวว่าผู้นั้นเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์กว่าด้วยศีลนี้.
ชื่อว่า สมณะทั้งหลายก็เหมือนกันเป็นพหูสูต ด้วยอำนาจนิกายหนึ่งเป็นต้น
มีศีลเป็นบัณฑิต. แม้พราหมณ์ทั้งหลาย เป็นพหูสูต ด้วยอำนาจวิชารู้พื้นที่
เป็นต้น เป็นบัณฑิต จึงตรัสว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย ด้วยทรง
ดำริว่า ชนทั้งหลาย อย่าได้กล่าวว่าสมณะและพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้มีศีล

56