No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 529 (เล่ม 34)

๓. อัปปเมยยสูตร
ว่าด้วยบุคคล ๓ จำพวก
[๕๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่
ในโลก บุคคล ๓ คือใคร คือ (สุปฺปเมยฺย) คนประมาณง่าย (ทุปฺปเมยฺย)
คนประมาณยาก (อปฺปเมยฺย) คนประมาณไม่ได้
คนประมาณง่ายเป็นอย่างไร ? บุคคลลางคนในโลกนี้ เป็นคนหยิ่ง
ยกตัวเอง หลุกหลิก ปากกล้า พูดพล่าม ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ใจไม่
มั่นคง วอกแวก มีอินทรีย์อันเปิดเผย (คือ ไม่สำรวมอินทรีย์) นี่เรียกว่า
คนประมาณง่าย
คนประมาณยากเป็นอย่างไร ? บุคคลลางคนในโลกนี้ เป็นคนไม่หยิ่ง
ไม่ยกตัว ไม่หลุกหลิก ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม ตั้งสติ มีสัมปชัญญะ
ใจมั่นคง แน่วแน่ มีอินทรีย์อันสำรวม นี่เรียกว่า คนประมาณยาก.
คนประมาณไม่ได้เป็นอย่างไร ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นพระ
อรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว นี่เรียกว่า คนประมาณไม่ได้.
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลก.
จบอัปปเมยยสูตรที่ ๓

529
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 530 (เล่ม 34)

อรรถกถาอัปปเมยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอัปปเมยยสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้:-
บุคคล ชื่อว่า สุปฺปเมยฺโย เพราะประมาณได้โดยง่าย. ชื่อว่า
ทุปฺปเมยฺโย เพราะประมาณได้โดยยาก. ชื่อว่า อปฺปเมยฺโย เพราะไม่อาจ
ประมาณได้. บทว่า อุนฺนโฬ ได้แก่ บุคคลผู้เป็นเหมือนไม้อ้อที่พุ่งขึ้น
อธิบายว่า ยกมานะที่ว่างเปล่าขึ้นตั้งไว้. บทว่า จปโล ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย
ความหลุกหลิก มีการตกแต่งบาตรเป็นต้น. บทว่า มุขโร ได้แก่ คนปากจัด.
บทว่า วิกิณฺณวาโจ ได้แก่ คนผู้ไม่สำรวมถ้อยคำ. บทว่า อสมาหิโต
ได้แก่ ผู้ไม่มีจิตเป็นสมาธิ. บทว่า วิพฺภนฺตจิตฺโต ได้แก่ ผู้มีจิตเปลี่ยว
เปรียบเหมือนแม่โค และเนื้อป่า ตัวตื่นเตลิด. บทว่า ปากตินทฺริโย ได้แก่
ผู้มีอินทรีย์อันเปิดเผย. บทที่เหลือในพระสูตรนี้ ง่ายทั้งนั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาอัปปเมยยสูตรที่ ๓
๔. อาเนญชสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้เจริญอรูปฌาน ๓ จำพวก
[๕๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่
ในโลก บุคคล ๓ คือใคร คือบุคคลลางคนในโลกนี้ เพราะล่วงรูปสัญญา
(ความกำหนดในรูปธรรม อันเป็นอารมณ์แห่งรูปฌาน) หมด ดับปฏิฆสัญญา
(ความกำหนดในปฏิฆะ) หมด ไม่ทำในใจซึ่งนานัตตสัญญา (ความกำหนด
มีอาการต่าง ๆ กัน ) หมด (ถืออากาศเป็นอารมณ์) บริกรรมว่า (อนนฺโต

530
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 531 (เล่ม 34)

อากาโส) อากาศหาที่สุดมิได้ เข้าอากาสานัญจายตนฌานอยู่ บุคคลนั้นติดใจ
ยินดีปลื้มใจด้วยฌานนั้น ยับยั้งอยู่ในฌานนั้น ปักใจในฌานนั้น น้อมใจอยู่
ด้วยฌานนั้น มากด้วยฌานนั้นอยู่ไม่เสื่อม (จากฌานนั้น ) จนกระทำกาลกิริยา
ย่อมไปเกิดอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าอากาสานัญจายตนะ
ภิกษุทั้งหลาย ๒๐,๐๐๐ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าอากา-
สานัญจายตนะ (บุคคลผู้สำเร็จฌานนั้น ) ที่เป็นปุถุชน อยู่จนตลอดกำหนด
อายุในเทวโลกชั้นนั้นแล้ว (จุติจากเทวโลกนั้น) ไปนรกก็ได้ ไปกำเนิด
ดิรัจฉานก็ได้ ไปกำเนิดเปรตก็ได้ ส่วน (บุคคลผู้สำเร็จฌานนั้น ) ที่เป็น
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อยู่ตลอดกำหนดอายุในเทวโลกชั้นนั้นแล้วย่อม
บ่รินิพพานในภพนั้นนั่นเอง นี่เป็นความพิเศษแปลกต่างกันแห่งอริยสาวกผู้ได้
สดับกับปุถุชนผู้มีได้สดับ เฉพาะในเมื่อคติอุปบัติมีอยู่ (คือยังต้องเวียนเกิดอยู่)
อีกข้อหนึ่ง บุคคลลางคนในโลกนี้ล่วงอากาสานัญจายตนะหมด (ถือ
วิญญาณเป็นอารมณ์) บริกรรมว่า (อนนฺตํ วิญฺญาณํ) วิญญาณหาที่สุดมิได้
เข้าวิญญาณัญจายตนฌานอยู่ บุคคลนั้นติดใจยินดีปลื้มใจด้วยฌานนั้น ยับยั้ง
อยู่ในฌานนั้น ปักใจในฌานนั้น น้อมใจอยู่ด้วยฌานนั้น มากด้วยฌานนั้นอยู่
ไม่เสื่อม (จากฌานนั้น) จนกระทำกาลกิริยา ย่อมไปเกิดอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่า
วิญญาณัญจายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย ๔๐,๐๐๐ กัป เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าวิญญา-
ณัญจายตนะ. (บุคคลผู้สำเร็จฌานนั้น) ที่เป็นปุถุชน อยู่ตลอดกำหนดอายุ
ในเทวโลกชั้นนั้นแล้ว (จุติจากเทวโลกนั้น) ไปนรกก็ได้ ไปกำเนิดดิรัจฉาน
ก็ได้ ไปกำเนิดเปรตก็ได้ ส่วน (บุคคลผู้สำเร็จฌานนั้น) ที่เป็นสาวกของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ตลอดกำหนดอายุในเทวโลกชั้นนั้นแล้ว ย่อมปรินิพพาน
ในภพนั้นนั่นเอง นี่เป็นความพิเศษแปลกต่างกันแห่งอริยสาวกผู้ได้สดับกับ
ปุถุชนมิได้สดับ เฉพาะในเมื่อคติอุปบัติมีอยู่

531
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 532 (เล่ม 34)

อีกข้อหนึ่งบุคคลลางคนในโลกนี้ ล่วงวิญญาณัญจายตนะหมด (ถือ
เอาความไม่มีอะไรเหลือสักน้อยหนึ่งเป็นอารมณ์) บริกรรมว่า (นตฺถิ กิญฺจิ)
ไม่มีอะไร ๆ เข้าอากิญจัญญายตนฌาน อยู่บุคคลนั้นติดใจยินดีปลื้มใจด้วย
ฌานนั้น ยับยั้งอยู่ในฌานนั้น ปักใจในฌานนั้น น้อมใจอยู่ด้วยฌานนั้น
มากด้วยฌานนั้น อยู่ไม่เสื่อม (จากฌานนั้น) จนกระทำกาลกิริยา ย่อมไปเกิด
อยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าอากิญจัญญายตนะ.
ภิกษุทั้งหลาย ๖๐,๐๐๐ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าอากิญ
จัญญายตนะ (บุคคลผู้สำเร็จฌานนั้น) ที่เป็นปุถุชนอยู่ตลอดกำหนดอายุใน
เทวโลกชั้นนั้นแล้ว (จุติจากเทวโลกนั้น) ไปนรกก็ได้ ไปกำเนิดดิรัจฉาน
ก็ได้ ไปกำเนิดเปรตก็ได้ ส่วน (บุคคลผู้สำเร็จฌานนั้น) ที่เป็นสาวกของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า อยู่ตลอดกำหนดอายุในเทวโลกชั้นนั้นแล้ว ย่อมปรินิพพาน
ในภพนั้นนั่นเอง นี่เป็นความพิเศษแปลกต่างกันแห่งอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
กับปุถุชนผู้มีได้สดับ เฉพาะในเมื่อคติอุปบัติมีอยู่.
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกมีปรากฏอยู่ในโลก.
จบอาเนญชสูตรที่ ๔
อรรถกถาอาเนญชสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอาเนญชสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตทสฺสาเทติ ได้แก่ ชอบใจฌานนั้นน. บทว่า ตํ นิกาเมฺติ
ได้แก่ ปรารถนาฌานนั้นแหละ. บทว่า เตน จ วิตฺตึ อาปชฺชติ ได้แก่
ถึงความยินดีด้วยฌานนั้น. บทว่า ตตฺถ  ิโต ได้แก่ ตั้งอยู่ในฌานนั้น.

532
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 533 (เล่ม 34)

บทว่า ตทฺธิมุตฺโต ได้แก่น้อมใจไปในฌานนั้นแหละ. บทว่า ตพฺพหุลวิ หารี
ได้แก่ อยู่กับฌานนั้นเป็นส่วนมาก. บทว่า สหพฺยตํ อุปปชฺชติ ได้แก่
เข้าถึงความเป็นสหาย อธิบายว่า ย่อมบังเกิดในเทวโลกนั้น.
คำมีอาทิว่า นิรยมฺปิ คจฺฉติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงการ
ไปนรกนั้น ด้วยสามารถแห่งปริยายอื่น เพราะไม่พ้นจากนรกเป็นต้นไปได้
เพราะว่า เขาไม่มีอกุศลกรรมที่มีกำลังมากกว่าอุปจารฌาน ซึ่งจะเป็นเหตุให้
เกิดในอบายติดต่อกัน. บทว่า ภควโต ปน สาวโก ได้แก่พระสาวก
องค์ใดองค์หนึ่ง บรรดาพระสาวกผู้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และ
พระอนาคามีทั้งหลาย. บทว่า ตสฺมึเยว ภเว ได้แก่ ในอรูปภพนั่นเอง.
บทว่า ปรินิพฺพายติ ความว่า จะปรินิพพาน ด้วยปรินิพพานที่หาปัจจัยมิได้.
ความเพียรเป็นเครื่องประกอบอย่างยิ่ง ชื่อว่า อธิปฺปายาโส คำที่เหลือใน
พระสูตรนี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้ว นั่นแล. อนึ่ง ในพระสูตรนี้ ฌาน
ที่จะเป็นเหตุให้อุปบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้สำหรับปุถุชน สำหรับ
พระอริยสาวก ตรัสทั้งความที่เป็นเหตุให้อุปบัตินั่นเอง ทั้งฌานที่เป็นบาท
แห่งวิปัสสนาด้วย.
จบอรรถกถาอาเนญชสูตรที่ ๔
๕. อยสูตร
ว่าด้วยวิบัติ ๓ และสัมปทา ๓
[๕๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิบัติ (ความเสีย) ๓ นี้ วิบัติ ๓ คือ
อะไร คือ สีลวิบัติ (ความเสียทางศีล) จิตตวิบัติ (ความเสียทางจิต) ทิฏฐิ-
วิบัติ (ความเสียทางทิฏฐิ)

533
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 534 (เล่ม 34)

สีลวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้ เป็นคนมักทำปาณาติบาต
อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มักพูดมุสาวาท ปิสุณาวาจา (คำส่อเสียด)
ผรุสวาจา (คำหยาบ) สัมผัปปลาป (คำเหลวไหล) นี่เรียกว่าสีลวิบัติ
จิตตวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้ เป็นคนมีอภิชฌา
(เห็นแก่ได้) มีใจพยาบาท นี่เรียกว่าจิตตวิบัติ
ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฎฐิ
มีความเห็นวิปริต (ผิดจากคลองธรรม) ว่า (๑) ทานไม่มีผล (๒) การบูชา
ไม่มีผล (๓) การบวงสรวงไม่มีผล (๔) ผลวิบากของกรรมดีและชั่วไม่มี (๕)
โลกนี้ไม่มี (๖) โลกอื่นไม่มี (๗) มารดาไม่มี (๘) บิดาไม่มี (๙) สัตว์
ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี (๑๐) สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินถูกทางผู้ปฏิบัติชอบ
ที่กระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองแล้วสอนโลกนี้และโลกอื่นให้รู้
ไม่มีในโลก นี่เรียกว่าทิฏฐิวิบัติ
สัตว์ทั้งหลายเพราะกายแตกไปย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก เหตุ-
สีลวิบัติบ้าง เหตุจิตตวิบัติบ้าง เหตุทิฏฐิวิบัติบ้าง
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย วิบัติ ๓
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมปทา (ความถึงพร้อม) ๓ นี้ สัมปทา ๓
คืออะไร คือ สีลสัมปทา จิตตสัมปทา ทิฏฐิสัมปทา
สีลสัมปทาเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นผู้เว้นจากปาณา-
ติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร เว้นจากมุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา
สัมผัปปลาป นี้เรียกว่าสีลสัมปทา
จิตตสัมปทาเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้ไม่มีอภิชฌา ไม่มี
ใจพยาบาท นี่เรียกว่าจิตตสัมปทา

534
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 535 (เล่ม 34)

ทิฏฐิสัมปทาเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้ เป็นสัมมาทิฏฐิ
มีความเห็นไม่วิปริตว่า (๑) ทานมีผล (๒) การบูชามีผล (๓) การบวงสรวง
มีผล (๔) ผลวิบากของกรรมดีและชั่วมี (๕) โลกนี้มี (๖) โลกอื่นมี (๗)
มารดามี (๘) บิดามี (๙) สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี (๑๐) สมณพราหมณ์
ผู้ดำเนินถูกทาง ผู้ปฏิบัติชอบ ที่กระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง
แล้วสอนโลกนี้และโลกอื่นให้รู้มีอยู่ในโลก นี่เรียกว่าทิฏฐิสัมปทา
สัตว์ทั้งหลายเพราะกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เหตุ-
สีลสัมปทาบ้าง เหตุจิตตสัมปทาบ้าง เหตุทิฏฐิสัมปทาบ้าง
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๓.
จบอยสูตรที่ ๕
อรรถกถาอยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอยสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สีลวิปตฺติ ได้แก่ อาการที่ศีลวิบัติ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัย
นี้แหละ. ด้วยบทว่า นตฺถิ ทินฺนํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาความที่
ทานที่ให้แล้วไม่มีผล. การบูชาใหญ่ เรียกว่า ยิฏฐะ. ลาภสักการะที่เพียงพอ
ทรงประสงค์เอาว่า หุตะ. มิจฉาทิฏฐิบุคคล ห้ามยิฏฐะ และหุตะ ทั้งสอง
นั้น ว่าไม่มีผลเลย. บทว่า สุกฏทุกฺกฏานํ ได้แก่ กรรมที่ทำดีและทำชั่ว
อธิบายว่า ได้แก่กุศลกรรม และอกุศลกรรม. ด้วยบทว่า ผลํ วิปาโก
มิจฉาทิฏฐิบุคคลกล่าวสิ่งที่เรียกว่า ผล หรือ วิบาก ว่าไม่มี.

535
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 536 (เล่ม 34)

บทว่า นตฺถิ อยํ โลโก ความว่า โลกนี้ไม่มีสำหรับผู้ที่ตั้งอยู่
ในโลกหน้า. บทว่า นตฺถิ ปโร โลโก ความว่า โลกหน้าไม่มีแม้สำหรับ
ผู้ตั้งอยู่ในโลกนี้. มิจฉาทิฏฐิบุคคล แสดงว่า สัตว์ทั้งหมด (ตายแล้ว) ย่อม
ขาดสูญ ในโลกนั้น ๆ นั่นเอง. ด้วยบทว่า นตฺถิ มาตา นตฺถิ ปิตา
มิจฉาทิฏฐิบุคคล กล่าวโดยสามารถแห่งการปฏิบัติชอบ และการปฏิบัติผิดใน
มารดา บิดา เหล่านั้นว่าไม่มีผล. บทว่า นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา
ความว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ ที่จะจุติแล้วเกิดไม่มี. ความบริบูรณ์ ชื่อว่า สมฺปทา
ความที่ศีลบริบูรณ์ไม่บกพร่อง ชื่อว่า สีลสัมปทา. แม้ในบททั้งสองที่เหลือ
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อตฺถิ ทินฺนํ เป็นต้น นักศึกษาพึงถือเอาโดย
นัยที่ตรงข้ามกับที่กล่าวมาแล้ว.
จบอรรถกถาอยสูตรที่ ๕
๖. อปัณณกสูตร
ว่าด้วยวิบัติ ๓ และสัมปทา ๓
[๕๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิบัติ ๓ นี้ วิบัติ ๓ คืออะไร คือ
สีลวิบัติ จิตตวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ
สีลวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักทำปาณาติบาต
ฯลฯ สัมผัปปลาป นี้เรียกว่า สีลวิบัติ
จิตตวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นผู้มีอภิชฌา มีใจ
พยาบาท นี่เรียกว่า จิตตวิบัติ

536
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 537 (เล่ม 34)

ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความ
เห็นวิปริตว่า (๑) ทานไม่มีผล ฯลฯ สอนโลกนี้และโลกอื่นให้รู้ไม่มีในโลก
นี่เรียกว่า ทิฏฐิวิบัติ
สัตว์ทั้งหลายเพราะกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก
เหตุสีลวิบัติบ้าง เหตุจิตตวิบัติบ้าง เหตุทิฏฐิวิบัติบ้าง เปรียบเหมือนลูกบาศก์
ซัดขึ้นแล้ว ย่อมกลับมาตั้งอยู่โดยที่ใด ๆ ก็กลับมาตั้งอยู่อย่างดี ฉันใด สัตว์
ทั้งหลายเพราะกายแตกตายไป ฯลฯ เหตุทิฏฐิวิบัติบ้าง ฉันนั้น เหมือนกัน
นี้แล ภิกษุทั้งหลาย วิบัติ ๓
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๓ นี้ สัมปทา ๓ คืออะไรบ้าง คือ
สีลสัมปทา จิตตสัมปทา ทิฏฐิสัมปทา
สีลสัมปทาเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นผู้เว้นจากปาณา-
ติบาต ฯลฯ สัมผัปปลาป นี่เรียกว่า สีลสัมปทา
จิตตสัมปทาเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่มีอภิชฌา
ไม่มีใจพยาบาท นี่เรียกว่า จิตตสัมปทา
ทิฏฐิสัมปทาเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ มี
ความเห็นไม่วิปริตว่า (๑) ทานมีผล ฯลฯ สอนโลกนี้และโลกอื่นให้รู้ มีอยู่
ในโลก นี่เรียกว่า ทิฏฐิสัมปทา
สัตว์ทั้งหลายเพราะกายแตกตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เหตุ
สีลสัมปทาบ้าง เหตุจิตตสัมปทาบ้าง เหตุทิฏฐิสัมปทาบ้าง เปรียบเหมือน
ลูกบาศก์ ซัดขึ้นแล้ว ย่อมกลับมาตั้งอยู่โดยที่ใด ๆ ก็กลับมาตั้งอยู่อย่างดี
ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเพราะกายแตกตายไป ฯลฯ เหตุทิฏฐิสัมปทาบ้าง ฉันนั้น
เหมือนกัน นี้แล ภิกษุทั้งหลาย สัมปทา ๓
จบอปัณณกสูตรที่ ๖

537
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 538 (เล่ม 34)

อรรถกถาอปัณณกสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอปัณณกสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อปณฺณโก มณิ ได้แก่ลูกบาศก์ (ลูกสะกา) อันประกอบ
แล้วด้วย เหลี่ยม ๖ เหลี่ยม. บทว่า สุคตึ สคฺคํ ได้แก่ โลกคือสวรรค์
ในบรรดาสวรรค์ ๖ ชั้น มีชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง.
ในพระสูตรนี้ ตรัสธรรมทั้งสองประการ คือศีลและสัมมาทิฏฐิ คลุกเคล้ากันไป
จบอรรถกถาอปัณณกสูตรที่ ๖
๗. กัมมันตสูตร
ว่าด้วยเรื่องวิบัติ ๓ และสัมปทา ๓
[๕๕๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิบัติ ๓ นี้ วิบัติ ๓ คืออะไรบ้าง
คือ กัมมันตวิบัติ (ความเสียทางการงาน) อาชีววิบัติ (ความเสียทางอาชีพ)
ทิฏฐิวิบัติ (ความเสียทางความเห็น)
กัมมันตวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นผู้มักทำปาณา-
ติบาต ฯลฯ สัมผัปปลาป นี่เรียกว่า กัมมันตวิบัติ
อาชีววิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นผู้หาเลี้ยงชีพในทาง
ผิด สำเร็จความเป็นอยู่โดยมิจฉาอาชีวะ นี่เรียกว่า อาชีววิบัติ
ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร ? คนลางคนในโลกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความ
เห็นวิปริตว่า ฯลฯ (๑) ทานไม่มีผล ฯลฯ สอนโลกนี้และโลกอื่นให้รู้ ไม่มี
ในโลก นี่เรียกว่า ทิฏฐิวิบัติ

538