No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 519 (เล่ม 34)

เปรียบเหมือนเรือนยอด เมื่อมุงดีแล้ว ทั้งยอด ทั้งกลอน ทั้งฝา
เป็นอันได้รักษา ก็ไม่เปียก ไม่ผุ ฉันใด เมื่อจิตอันบุคคลรักษาแล้ว ฯลฯ
การตายย่อมเป็นการตายดี ฉันนั้น.
จบปฐมกูฏสูตรที่ ๗
อรรถกถาปฐมสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมกูฏสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อวสฺสุตํ โหติ แปลว่า ย่อมเปียก. บทว่า น ภทฺทกํ
มรณํ โหติ ความว่า การตายดี เธอก็ไม่ได้เพราะกรรมทั้ง ๓ เป็นปัจจัย
แห่งปฏิสนธิในอบาย. บทว่า กาลกิริยา เป็นไวพจน์ของบทว่า มรณํ นั่นเอง.
พึงทราบวินิจฉัย ในธรรมฝ่ายสุกปักษ์ (ธรรมฝ่ายขาว) ดังต่อไปนี้ การตายดี
เป็นอันเธอได้แล้ว เพราะกรรมทั้ง ๓ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสวรรค์ แต่
การตายนั้น ใช้ได้สำหรับพระอริยสาวกทั้งหลาย ๓ จำพวก มีพระโสดาบัน
เป็นต้น โดยส่วนเดียวเท่านั้น. บทที่เหลือ ในพระสูตรนี้ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาปฐมกูฏสูตรที่ ๗
๘. ทุติยกูฏสูตร
ว่าด้วยกรรมพินาศและไม่พินาศเพราะจิต
[๕๕๐] ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาว่า
คฤหบดี เมื่อจิตร้ายแล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็ร้ายด้วย
การตายของบุคคลผู้มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมร้าย ย่อมไม่เป็นการตายดี

519
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 520 (เล่ม 34)

เปรียบเหมือนเรือนยอดเมื่อมุงไม่ดี ยอด กลอน ฝา ก็เสียด้วย ฉันใด
เมื่อจิตร้ายแล้ว ฯลฯ ย่อมไม่เป็นการตายดี ฉันนั้น
คฤหบดี เมื่อจิตไม่ร้ายแล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ไม่ร้าย
การตายของบุคคลผู้มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมไม่ร้าย ย่อมเป็นการตายดี
เปรียบเหมือนเรือนยอดเมื่อมุงดี ยอด กลอน ฝา ก็ไม่เสียฉันใด เมื่อจิต
ไม่ร้ายแล้ว ฯลฯ ย่อมเป็นการตายดี ฉันนั้น.
จบทุติยกูฏสูตรที่ ๘
อรรถกถาทุติยกูฏสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยกูฏสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า พฺยาปนฺนํ ได้แก่จิตที่ละปกติภาพแล้วตั้งอยู่ บทที่เหลือ
มีนัยดังกล่าวแล้วในสูตรก่อนนั่นแล.
จบอรรถกถาทุติยกูฏสูตรที่ ๘
๙. ปฐมนิทานสูตร
ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งธรรม ๓ อย่าง
[๕๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุอกุศลมูล ๓ นี้ เพื่อความเกิด
ขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม ต้นเหตุ ๓ คืออะไร คือ โลภะ โทสะ โมหะ
เป็นต้นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม
กรรมที่บุคคลทำด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เกิดแต่โลภะ
โทสะ โมหะ มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้นเหตุ มีโลภะ โทสะ
โมหะเป็นแดนเกิดอันใด กรรมนั้นเป็นอกุศล กรรมนั้นมีโทษ กรรมนั้นมี
ทุกข์เป็นผล กรรมนั้นเป็นไปเพื่อกรรมสมุทัย (ความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่ง

520
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 521 (เล่ม 34)

กรรม) กรรมนั้นไม่เป็นไปเพื่อกรรมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม) นี้แล
ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม
ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม
ต้นเหตุ ๓ คืออะไร คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นต้นเหตุเพื่อ
ความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม
กรรมที่บุคคลทำเพราะอโลภะ อโทสะ อโมหะ เกิดแต่อโลภะ
อโทสะ อโมหะ มีอโลภะ อโทสะ อโมหะเป็นต้นเหตุ มีอโลภะ
อโทสะ อโมหะ เป็นแดนเกิดอันใด กรรมนั้นเป็นกุศล กรรมนั้นหา
โทษมิได้ กรรมนั้นมีสุขเป็นผล กรรมนั้นเป็นไปเพื่อกรรมนิโรธ กรรมนั้น
ไม่เป็นไปเพื่อกรรมสมุทัย นี้แล ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ เพื่อความเกิดขึ้น
พร้อมมูลแห่งกรรม.
จบปฐมนิทานสูตรที่ ๙
อรรถกถาปฐมนิทานสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมนิทานสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า นิทานานิ ได้แก่เหตุทั้งหลาย. บทว่า กมฺมานํ สมุทยาย
ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การทำการประมวลมาซึ่งกรรมที่เป็นวัฏฏคามี (กรรม
ที่ทำให้สัตว์เวียนว่ายตายเกิด). บทว่า โลภปกตํ ความว่า ทำด้วยความโลภ.
บทว่า สาวชฺชํ แปลว่า มีโทษ. บทว่า ตํ กมฺมํ กมฺมสมุทยาย สํวตฺตติ
ความว่า กรรมนั้นย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การทำการประมวล ซึ่งกรรม
สมุทัย (เหตุที่จะให้เกิดกรรม) แม้เหล่าอื่นที่เป็นวัฏฏคามี. บทว่า น ตํ กมฺมํ

521
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 522 (เล่ม 34)

กมฺมนิโรธาย ความว่า แต่กรรมนั้นไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การดับ
วัฏฏคามีกรรม. พึงทราบวินิจฉัย ในกรรมฝ่ายขาวดังต่อไปนี้ บทว่า กมฺมานํ
สมุทยาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การเกิดขึ้นแห่งวัฏฏคามีกรรม. บททั้งปวง
พึงทราบความโดยนัยนี้.
จบอรรถกถาปฐมนิทานสูตรที่ ๙
๑๐. ทุติยนิทานสูตร
ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งกรรม ๓ อย่าง
[๕๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อม
มูลแห่งกรรม ต้นเหตุ ๓ คืออะไรบ้าง คือความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรม
ทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ (ความรักใคร่ พอใจ) ที่เป็นอดีต ๑
ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
อนาคต ๑ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นปัจจุบัน ๑
ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่เป็นอดีตอย่างไร ? คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่ล่วงไปแล้ว เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว
ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็นสังโยชน์
(เครื่องผูก) ความพอใจเกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่ง
ฉันทราคะที่เป็นอดีตอย่างนี้แล

522
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 523 (เล่ม 34)

ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่เป็นอนาคตอย่างไร ? คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่ยังไม่มาถึง เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความ
พอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็น
สังโยชน์ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ
ที่เป็นอนาคตอย่างนี้แล
ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
ปัจจุบันอย่างไร คือบุคคลตรึกตรองถึงธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่
เกิดขึ้นจำเพาะหน้า เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความ
พอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็น
สังโยชน์ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
ปัจจุบันอย่างนี้แล
ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ นี้แล เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุ ๓ นี้ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง
กรรม ต้นเหตุ ๓ คืออะไร คือความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต ๑ ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรม
ทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต ๑ ความพอใจไม่เกิดเพราะ
ปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน ๑
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นอดีตอย่างไร ? คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรมอันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่ล่วงแล้ว ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจาก
เรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา

523
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 524 (เล่ม 34)

ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
อดีตอย่างนี้แล
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นอนาคตอย่างไร ? คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรมอันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่ยังไม่มาถึง ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอัน ยืดยาวแล้ว กลับใจเสีย
จากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็น
อนาคตอย่างนี้แล
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นปัจจุบันอย่างไร คือ บุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรมอัน
เป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวแล้ว
กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอด
ด้วยปัญญา ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่งฉันท-
ราคะที่เป็นปัจจุบันอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย นี้ต้นเหตุ ๓ เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.
จบทุติยนิทานสูตรที่ ๑๐
จบสัมโพธิวรรคที่ ๑

524
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 525 (เล่ม 34)

อรรถกถาทุติยนิทานสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยนิทานสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า กมฺมานํ ได้แก่ กรรมที่เป็นวัฏฏคามีนั่นเอง. บทว่า
ฉนฺทราคฏฺฐานิเย ความว่า เป็นเหตุแห่งฉันทราคะ. บทว่า อารพฺภ
ได้แก่อาศัย คือหมายเอา เจาะจง. บทว่า ฉนฺโท ได้แก่ความพอใจด้วย
อำนาจแห่งตัณหา. บทว่า โย เจตโส สาราโค ความว่า ความกำหนัด
ความยินดีแห่งจิต ความที่จิตกำหนัดแล้ว อันใด ความกำหนัดแห่งจิตนี้
เราตถาคตกล่าวว่า เป็นสังโยชน์ คือเป็นเครื่องผูก.
พึงทราบวินิจฉัยในธรรมฝ่ายขาว ดังต่อไปนี้ บทว่า กมฺมานํ
ได้แก่กรรมที่เป็นวิวัฏฏคามี (กรรมที่เลิกหมุนเวียน). บทว่า ตทภินิวตฺเตติ
ความว่า ให้ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งราคะเป็นต้น และวิบากของธรรมนั้น
หมุนกลับเฉพาะ คือว่า เมื่อใดเขารู้ คือ เข้าใจวิบาก โดยเป็นที่ตั้ง
(แห่งฉันทราคะเป็นต้น) เมื่อนั้น เขาจะยังธรรมเหล่านั้นด้วย วิบากนั้นด้วย
ให้หมุนกลับเฉพาะ. อนึ่ง ด้วยบทนี้ พระองค์ตรัสวิปัสสนาไว้แล้ว. ด้วยบทว่า
ตทภินิวฏฺเฏตฺวา นี้ ตรัสมรรคไว้. แต่ด้วยบทว่า เจตสา อภิวิราเชตฺวา
นี้ ตรัสมรรคไว้อย่างเดียว. บทว่า ปญฺญาย อติวิชฺฌ ปสฺสติ ความว่า
เห็นทะลุ ปรุโปร่ง ด้วยมรรคปัญญา พร้อมด้วยวิปัสสนา. ในทุก ๆ บท
พึงทราบความอย่างนี้ ก็ในพระสูตรนี้ ตรัสไว้ทั้งวัฏฏะ และวิวัฏฏะฉะนี้แล.
จบทุติยนิทานสูตรที่ ๑๐
จบสัมโพธิวรรควรรณนาที่ ๑

525
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 526 (เล่ม 34)

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปุพพสูตร ๒. มนุสสสูตร ๓. อัสสาทสูตร ๔. สมณสูตร
๕. โรณสูตร ๖. อติตตสูตร ๗. ปฐมกูฏสูตร ๘. ทุติยกูฏสูตร ๙. ปฐม-
นิทานสูตร ๑๐. ทุติยนิทานสูตร และอรรถกถา.

526
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 527 (เล่ม 34)

อาปายิกวรรคที่ ๒
๑. อาปายิกสูตร
ว่าด้วยบุคคล ๓ จำพวกที่ต้องไปอบายภูมิ
[๕๕๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ นี้ ไม่ละโทษนี้ เป็นคนอบาย
เป็นคนนรก บุคคล ๓ คือใคร คือบุคคลไม่เป็นพรหมจารี แต่ปฏิญาณตน
ว่าเป็นพรหมจารี ๑ บุคคลกำจัดท่านผู้เป็นพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ประพฤติ
พรหมจรรย์หมดจดอยู่ ด้วยอพรหมจรรย์ อันไม่มีมูล ๑ บุคคลผู้พูดอย่างนี้
โดยปกติ เห็นอย่างนี้โดยปกติว่า โทษในกามทั้งหลายไม่มี จมอยู่ในกาม
ทั้งหลาย ๑ นี้แล บุคคล ๓ ไม่ละโทษนี้ เป็นคนอบาย เป็นคนนรก.
จบอาปายิกสูตรที่ ๑
อาปายิกวรรควรรณนาที่ ๒
อรรถกถาอาปายิกสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอาปายิกสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
สัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่า อาปายิกา เพราะจะไปสู่อบาย. สัตว์ทั้งหลาย
ชื่อว่า เนรยิกา เพราะจะไปสู่นรก. บทว่า อิทมปฺปหาย นี้ ความว่า
ไม่ละกรรมชั่วทั้ง ๓ มีการปฏิญาณตนว่า เป็นพรหมจารี เป็นต้นนี้. บทว่า
พฺรหฺมจารีปฏิญฺโญ ได้แก่ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์เทียม. อีกอย่างหนึ่ง
ได้แก่ผู้มีปฏิญาณอย่างนี้ว่า แม้เราก็เป็นพรหมจารี โดยไม่ละอากัปกิริยาของ

527
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 528 (เล่ม 34)

พวกเขา. บทว่า อนุทฺธํเสติ ความว่า ด่า คือบริภาษ ได้แก่ติเตียน.
บทว่า นตฺถิ กาเมสุ โทโส ความว่า ผู้ซ่องเสพกิเลสกามและวัตถุกาม
ไม่มีโทษ. บทว่า ปาตพฺยตํ ความว่า ความเป็นผู้จะต้องดื่ม คือความเป็นผู้
จะต้องบริโภค ได้แก่ความเป็นผู้จะต้องดื่มกิน เหมือนการดื่มน้ำของผู้กระ-
หายน้ำ ด้วยจิตปราศจากความรังเกียจ. ในพระสูตรนี้ ตรัสวัฏฏะไว้อย่างเดียว.
จบอรรถกถาอาปายิกสูตรที่ ๑
๒. ทุลลภสูตร
ว่าด้วยบุคคลหาได้ยาก ๓ จำพวก
[๕๕๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความมีปรากฏแห่งบุคคล ๓ หาได้ยาก
ในโลก บุคคล ๓ คือใคร คือ พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ๑ บุคคล
ผู้แสดงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บุคคลผู้กตัญญูกตเวที ๑ ความมี
ปรากฏแห่งบุคคล ๓ นี้แล หาได้ยากในโลก
จบทุลลภสูตรที่ ๒
อรรถกถาทุลลภสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุลลภสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กตญฺญู กตเวที ได้แก่ บุคคลผู้รู้กรรมที่เขาทำแล้ว (แก่ตน)
ว่า ผู้นี้ทำคุณแก่เรา ดังนี้แล้ว ทำการตอบแทนให้ผู้อื่นรู้ คือให้ปรากฏ.
จบอรรถกถาทุลลภสูตรที่ ๒

528