No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 509 (เล่ม 34)

บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงปฏิปทาเป็นเหตุให้บรรลุอภิญญาของพระขีณา-
สพนั้น จึงตรัสคำว่า ยสฺส ยสฺส จ เป็นต้น. คำนั้น พึงทราบตามนัย
ที่กล่าวแล้วในตอนต้นนั่นแล.
อรรถกถาสมุคคตสูตรที่ ๑๑
จบโลณผลวรรควรรณนาที่ ๕
จบทุติยปัณณาสก
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. อัจจายิกสูตร ๒. วิวิตตสูตร ๓. สรทสูตร ๔. ปริสาสูตร
๕. ปฐมอาชานียสูตร ๖. ทุติยอาชานียสูตร ๗. ตติยอาชานียสูตร ๘. นวสูตร
๙. โลณกสูตร ๑๐. สังฆสูตร ๑๑.สมุคคตสูตร และอรรถกถา.

509
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 510 (เล่ม 34)

ตติยปัณณาสก์
สัมโพธิวรรคที่ ๑
๑. ปุพพสูตร
ว่าด้วยเหตุให้ปฏิญาณว่าเป็นผู้ตรัสรู้
[๕๔๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก่อนตรัสรู้ เมื่อเราเป็นโพธิสัตว์ยัง
ไม่ได้อภิสัมโพธิญาณ ได้คิดคำนึงว่า ในโลกอะไรหนอเป็นอัสสาทะ (ความ
ยินดี ความเพลิดเพลิน) อะไรหนอเป็นอาทีนพ (โทษที่ไม่น่ายินดี ความ
ขมขื่น) อะไรหนอเป็นนิสสรณะ (ความออกไป ความไม่ติด) เราได้กำหนด
เห็นว่า สุขโสมนัสอาศัยสิ่งใดในโลกเกิดขึ้น นี่เป็นอัสสาทะในโลก ความที่
โลกไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี่เป็นอาทีนพในโลก
การบำบัดเสียซึ่งฉันทราคะ การละเสียซึ่งฉันทราคะ (ความรักใคร่ พอใจ)
ในโลก นี่เป็นนิสสรณะในโลก.
ภิกษุทั้งหลาย เรายังมิได้รู้แจ้งซึ่งอัสสาทะ อาทีนพ และนิสสรณะ
ของโลกอย่างถูกต้องแท้จริงตราบใด เราก็ยังไม่ปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้อนุตร-
สัมมาสัมโพธิญาณในโลกนี้ ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์ทั้งที่เป็นเทวดาและมนุษย์ทราบนั้น เมื่อใด เรารู้แจ้งชัด
ซึ่งอัสสาทะ อาทีนพ และนิสสรณะของโลกถูกต้องตามเป็นจริงแล้ว เมื่อนั้น
เราจึงปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกนี้ ทั้งเทวโลก มาร-
โลก พรหมโลก ในประชาชนรวมทั้งสมณพราหมณ์ ทั้งที่เป็นเทวดาและมนุษย์
ก็แลญาณทัสนะ (ความรู้เห็น) ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเรา
ไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
จบปุพพสูตรที่ ๑

510
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 511 (เล่ม 34)

ตติยปัณณาสก์
สัมโพธิวรรควรรณนาที่ ๑
อรรถกถาปุพพสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปุพพสูตรที่ ๑ แห่งปัณณาสก์ที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปุพฺเพว สมฺโพธา ได้แก่ในกาลก่อนแต่ตรัสรู้ ท่านกล่าว
อธิบายไว้ว่า ในเวลาอื่น (ก่อน) แต่พระอริยมรรคเกิดขึ้นนั่นเอง. บทว่า
อนภิสมฺพุทฺธสฺส ได้แก่ผู้ยังไม่แทงตลอดอริยสัจ ๔. บทว่า โพธิสตฺตสฺ-
เสว สโต ความว่า เมื่อสัตว์ผู้ตรัสรู้นั่นแหละ คือ ผู้เริ่มเพื่อจะบรรลุ
สัมมาสัมโพธิญาณ มีอยู่ หรือว่าผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ มีอยู่. เพราะว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ของเรา) จำเดิมแต่ มีอภินิหารสำเร็จแล้วด้วยการ
ประมวลธรรม ๘ ประการ แทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
ทีปังกร เป็นผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้นเป็นผู้ติด คือข้องอยู่ในโพธิญาณ ทรงพระ
ดำริว่า เราต้องบรรลุพระโพธิญาณนี้ แล้วไม่ทรงละความพยายามเพื่อบรรลุ
พระโพธิญาณนั่นแล เสด็จมาแล้ว เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า พระโพธิสัตว์.
บทว่า โก นุ โข คือ กตโม นุ โข แปลว่าอะไรหนอแล.
สังขารโลก ชื่อว่า โลก. บทว่า อสฺสาโท ได้แก่ มีอาการชุ่มชื่น. บทว่า
อาทีนโว ได้แก่ มีอาการไม่น่าสดชื่น. บทว่า ตสฺส มยฺหํ ความว่า
เมื่อเรานั้น คือ ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณอย่างนี้ มีอยู่. บทว่า ฉนฺทราค-
ปฏิวินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ ความว่า เพราะว่า ฉันทราคะ ถึงความ
ปราศไป คือ ละได้ เพราะปรารภ คืออาศัยพระนิพพาน เพราะฉะนั้น

511
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 512 (เล่ม 34)

พระนิพพาน ท่านจึงเรียกว่า ฉนฺทราควินโย (นำฉันทราคะออกไป)
ฉนฺทราคปฺปหานํ (ละฉันทราคะเสียได้). บทว่า อิทํ โลกนิสฺสรณํ
ความว่า พระนิพพานนี้ ท่านเรียกว่า โลกนิสฺสรณํ (เป็นแดนแล่นออกไป
จากโลก) เพราะสลัดออกไปแล้วจากโลก. บทว่า ยาวกีวํ ความว่า ตลอดกาล
มีประมาณเท่าใด. บทว่า อพฺภญฺญาสึ ความว่า ได้รู้แล้ว ด้วยอริยมรรค
ญาณ อันประเสริฐยิ่ง. แม้ด้วยบททั้งสองนี้ว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงปัจจเวกขณญาณ. บทที่เหลือในพระสูตรนี้
ง่ายทั้งนั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาปุพพสูตรที่ ๑
๒. มนุสสสูตร
ว่าด้วยเหตุให้ปฏิญาณว่าเป็นผู้ตรัสรู้
[๕๔๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ตรวจค้นอัสสาทะของโลกแล้ว
อันใดเป็นอัสสาทะในโลก เราได้ประสบอันนั้นแล้ว อัสสาทะในโลกมีเท่าใด
อัสสาทะนั้นเราได้เห็นอย่างดีด้วยปัญญาแล้ว เราได้ตรวจค้นอาทีนพของโลก
แล้ว อันใดเป็นอาทีนพในโลก เราได้ประสบอันนั้นแล้ว อาทีนพในโลก
มีเท่าใด อาทีนพนั้นเราได้เห็นอย่างดีด้วยปัญญาแล้ว เราได้ตรวจค้นนิสสรณะ
ของโลกแล้ว อันใดเป็นนิสสรณะในโลก เราได้ประสบอันนั้นแล้ว นิสสรณะ
ในโลกมีอย่างไร นิสสรณะนั้นเราได้เห็นอย่างดีด้วยปัญญาแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย เรายังมิได้รู้แจ้งชัดซึ่งอัสสาทะอาทีนพและนิสสรณะของ
โลกอย่างถูกต้องแท้จริงตราบใด ฯลฯ* บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
จบมนุสสสูตรที่ ๒
* ดูปุพพสูตรที่ ๑ ประกอบ

512
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 513 (เล่ม 34)

อรรถกถามนุสสสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในมนุสสสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อสฺสาทปริเยสนํ อจรึ ความว่า ได้ท่องเที่ยวไป เพื่อ
ประโยชน์แก่การแสวงหาอัสสาทะ. ถามว่า ได้ท่องเที่ยวไป จำเดิมแต่ไหน ?
ตอบว่า ได้ท่องเที่ยวไป ตั้งแต่เป็นสุเมธดาบส*. บทว่า ปญฺญาย ได้แก่
มรรคปัญญา พร้อมด้วยวิปัสสนา. บทว่า สุทิฏฺโฐ ได้แก่แทงตลอดแล้ว
ด้วยดี. พึงทราบความในทุก ๆ บท โดยอุบายนี้.
จบอรรถกถามนุสสสูตรที่ ๒
๓. อัสสาทสูตร
ว่าด้วยเหตุให้หลุดพ้นจากโลก
[๕๔๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอัสสาทะในโลกจักไม่มีแล้วไซร้
สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงติดใจในโลก เพราะเหตุที่อัสสาทะในโลกมีอยู่ เพราะ
เหตุนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงติดใจในโลก
ถ้าอาทีนพในโลกจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงเบื่อหน่าย
ในโลก เพราะเหตุที่อาทีนพในโลกมีอยู่ เพราะเหตุนั้น สัตว์ทั้งหลายจึง
เบื่อหน่ายในโลก
ถ้านิสสรณะในโลกจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงออกจาก
โลกได้ ก็เพราะเหตุที่นิสสรณะในโลกมีอยู่ เพราะเหตุนั้น สัตว์ทั้งหลายจึง
ออกจากโลกได้
* ปาฐะว่า ปฏฺฐาย ฉบับพม่าเป็น ปฏฺฐายาติ

513
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 514 (เล่ม 34)

ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายยังไม่รู้ชัดซึ่งอัสสาทะ อาทีนพ และ
นิสสรณะของโลกอย่างถูกต้องตามจริงตราบใด สัตว์ทั้งหลายก็ยังมีใจถูกกักขัง
ยังติด ยังไม่หลุด ยังไม่พ้น จากโลกนี้ ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก จาก
หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ทั้งที่เป็นเทวดาและมนุษย์อยู่ตราบนั้น เมื่อใด
สัตว์ทั้งหลายรู้แจ้งชัดซึ่งอัสสาทะ อาทีนพ และนิสสรณะของโลกอย่างถูกต้อง
ตามจริงแล้ว เมื่อนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงมีใจไม่ถูกกักขัง ออกได้หลุดพ้นไปจาก
โลกนี้ ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก จากหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพรหมณ์
ทั้งที่เป็นเทวดาและมนุษย์.
จบอัสสาทสูตรที่ ๓
ข้อความในบททั้งปวง ในสูตรที่ ๓ ง่ายทั้งนั้น.
๔. สมณสูตร
ว่าด้วยผู้ควรยกย่องเป็นสมณะและพราหมณ์
[๕๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ๆ ไม่รู้
แจ้งชัดซึ่งอัสสาทะ อาทีนพ และนิสสรณะของโลกอย่างถูกต้องตามจริง
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น เราไม่นับว่าเป็นสมณะในสมณะทั้งหลาย ไม่
นับว่าเป็นพราหมณ์ในพราหมณ์ทั้งหลาย อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่านั้น หาทำ
ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณพราหมณ์
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง สำเร็จอยู่ปัจจุบันนี้ได้ไม่

514
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 515 (เล่ม 34)

ส่วนสมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใด ๆ รู้แจ้งชัดซึ่งอัสสาทะ อาทีนพ
และนิสสรณะของโลก อย่างถูกต้องตามจริง สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น
เรานับว่าเป็นสมณะในสมณะทั้งหลาย นับว่าเป็นพราหมณ์ในพราหมณ์ทั้งหลาย
อนึ่ง เธอเหล่านั้นย่อมทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ซึ่งประโยชน์
แห่งความเป็นสมณพราหมณ์สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี้ได้.
จบสมณสูตรที่ ๔
อรรถกถาสมณสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสมณสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สามญฺญตฺถํ ได้แก่อริยผลทั้ง ๔ อย่าง. บทนอกนี้เป็น
ไวพจน์ของบทว่า สามญฺญตฺถํ ทั้งนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามรรค ๔ เพราะ
อรรถว่า ความเป็นสมณะ ชื่อว่า ผล ๔ เพราะอรรถว่า ความเป็นพรหม.
ก็ในพระสูตรทั้ง ๔ เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงขันธโลกอย่างเดียว.
จบอรรถกถาสมณสูตรที่ ๔
๕. โรณสูตร
ว่าด้วยความร่าเริงและความเบิกบานในธรรม
[๕๔๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การร้องไห้ในวินัยของพระอริยะ คือ
การขับร้อง ความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยะ คือการฟ้อนรำ ความเป็น
เด็กในวินัยของพระอริยะ คือการหัวเราะจนเห็นฟันอย่างพร่ำเพรื่อ เพราะ

515
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 516 (เล่ม 34)

เหตุนั้น ในเรื่องนี้ พึงชักสะพานเสีย ในส่วนการขับร้อง การฟ้อนรำ
(ส่วนการหัวเราะนั้น) เมื่อท่านทั้งหลายเกิดธรรมปราโมทย์ (ความยินดีร่าเริง
ในธรรม) ก็ควรแต่เพียงยิ้มแย้ม.
จบโรณสูตรที่ ๕
อรรถกถาโรสูตร
สูตรที่ ๕ ข้าพเจ้าจะยกเรื่องขึ้นแสดง ตามอัตถุปปัตติ (เรื่องราวที่
เกิดขึ้น). ถามว่า เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างไร. ตอบว่า เรื่องเกิดขึ้นในเพราะ
อนาจาร (การประพฤตินอกรีดนอกรอย) ของพระฉัพพัคคีย์ทั้งหลาย. เล่ากัน
มาว่า พระฉัพพัคคีย์เหล่านั้น ขับร้อง ฟ้อนรำ หัวเราะ เที่ยวไป. ภิกษุ
ทั้งหลาย พากันกราบทูลพระทศพล พระบรมศาสดาตรัสเรียกภิกษุฉัพพัคคีย์
เหล่านั้นมา แล้วทรงปรารภพระสูตรนี้ เพื่อพุทธประสงค์ จะทรงสั่งสอน
ภิกษุเหล่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุณฺณํ แปลว่า การร้องไห้. บทว่า
อุมฺมตฺตกํ ได้แก่ กิริยาของคนบ้า. บทว่า โกมาริกํ ได้แก่ เรื่องที่เด็ก ๆ
จะต้องกระทำ. บทว่า ทนฺตวิทํสกหสิตํ ได้แก่ การหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
ของผู้ยิงฟัน ปรบมือ. ด้วยบทว่า เสตุฆาโต คีเต พระผู้มีด้วยเสียงอันดัง
ทรงแสดงว่า การตัดปัจจัย ในการขับร้องของเธอทั้งหลาย จงยกไว้ก่อน
เธอทั้งหลาย จะละการขับร้อง พร้อมทั้งเหตุ. แม้ในการฟ้อนรำ ก็มีนัยนี้
เหมือนกัน.

516
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 517 (เล่ม 34)

บทว่า อลํ แปลว่า ควรแล้ว. เหตุตรัสเรียกว่า ธรรม ในบทนี้ว่า
ธมฺมปฺปโมทิตานํ สตํ เมื่อคนทั้งหลาย รื่นเริง บันเทิงอยู่ด้วยเหตุบางอย่าง
บทว่า สิตํ สิตมตฺตาย มีคำอธิบายว่า เมื่อมีเหตุที่ต้องหัวเราะ การหัวเราะ
ที่เธอจะกระทำเพียงเพื่อยิ้ม คือเพื่อแสดงเพียงอาการเบิกบาน ให้เห็นปลายฟัน
เท่านั้น ก็พอแล้ว สำหรับเธอทั้งหลาย.
จบอรรถกถาโรณสูตรที่ ๕
๖. อติตตสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่เสพไม่รู้อิ่ม ๓ อย่าง
[๕๔๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอิ่มหนำในการเสพสิ่งทั้ง ๓ ไม่มี
สิ่งทั้ง ๓ คืออะไร คือความหลับ การดื่มสุราเมรัย การประกอบเมถุนธรรม
ความอิ่มหนำในการเสพสิ่งทั้ง ๓ นี้แล ไม่มี.
จบอติตตสูตรที่ ๖
อรรถกถาอติตตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอติตตสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สุปฺปสฺส ได้แก่ความหลับ. บทว่า ปฏิเสวนาย นตฺถิ
ติตฺติ ความว่า จะเสพไปเท่าไร ๆ ก็ยังพอใจอยู่เท่านั้น ๆ เพราะฉะนั้น
ขึ้นชื่อว่า ความอิ่มจึงยังไม่มี. แม้ในบททั้งสองที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ก็ถ้าหากน้ำในมหาสมุทรจะกลายเป็นสุราไป และนักเลงสุราจะเกิดเป็นปลา

517
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 518 (เล่ม 34)

เมื่อเขาแหวกว่ายอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ในน้ำนั้น ขึ้นชื่อว่า ความอิ่มก็ไม่พึงมี.
ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงวัฏฏะอย่างเดียว.
จบอรรถกถาอติตตสูตรที่ ๖
๗. ปฐมกูฏสูตร
ว่าด้วยธรรมที่เกิดจากการรักษาและไม่รักษาจิต
[๕๔๙] ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาว่า
คฤหบดี เมื่อจิตอันบุคคลไม่รักษาแล้ว กายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม. ก็เป็นอันไม่ได้รักษาด้วย เมื่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ไม่ได้รักษาแล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็เปียก (ด้วยน้ำ คือ
กิเลสโทษ) เมื่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เปียกแล้ว กายกรรม
วจีกรรม มโนกรรมก็เสีย บุคคลผู้มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเสีย
การตายย่อมไม่เป็นการตายดี
เปรียบเหมือนเรือนยอด เมื่อมุงไม่ดี ทั้งยอด ทั้งกลอน ทั้งฝา
เป็นอันไม่ได้รักษา ก็เปียก ก็ผุ ฉันใด เมื่อจิตอันบุคคลไม่รักษา
แล้ว ฯลฯ การตายย่อมไม่เป็นการตายดี ฉันนั้น
คฤหบดี เมื่อจิตอันบุคคลรักษาแล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ก็เป็นอันได้รักษาด้วย เมื่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมได้รักษาแล้ว
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็ไม่เปียก เมื่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ไม่เปียกแล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็ไม่เสีย บุคคลผู้มีกายกรรม
วจีกรรม มโนกรรมไม่เสีย การตายย่อมเป็นการตายดี

518