๑๐. สังฆสูตร
ว่าด้วยอุปกิเลส ๓ อย่าง
[๕๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ อุปกิเลส (เครื่องทำให้หมอง)
อย่างหยาบ ของทอง คือทรายปนดิน หินกรวด คนล้างดินหรือลูกมือเอาทอง
นั้นใส่ลงในรางแล้ว ล้างซาวเอาเครื่องมัวหมองอย่างหยาบนั้นออก เมื่อสิ้น
เครื่องมัวหมองอย่างหยาบแล้ว ยังมีเครื่องมัวหมองอย่างกลาง คือกรวดละเอียด
ทรายหยาบ คนล้างดินหรือลูกมือก็ล้างซาวเอาเครื่องมัวหมองอย่างกลางนั้นออก
ครั้นหมดเครื่องมัวหมองอย่างกลางแล้ว ยังมีเครื่องมัวหมองอย่างละเอียด
คือทรายละเอียด ผงดำ คนล้างดินหรือลูกมือ ก็ล้างซาวเอาเครื่องมัวหมอง
อย่างละเอียดนั้นออกอีก เมื่อเครื่องมัวหมองอย่างละเอียดสิ้นไปแล้ว ทีนี้
ก็เหลืออยู่แต่แร่ทอง
ช่างทองหรือลูกมือ เอาแร่ทองนั้นใส่เบ้าสูบเป่าไล่ขี้ ทองนั้นยังมิได้
สูบเป่าไล่ขี้ ยังไม่ละลาย ยังไม่หมดราคี ก็ยังไม่อ่อน ยังแต่งไม่ได้ สียัง
ไม่สุก ยังแตกได้ และใช้การยังไม่ได้ดี ต่อเมื่อช่างทองหรือลูกมือสูบเป่า
ไล่ขี้ไป จนได้ที่หมดราคีแล้ว ทองนั้นจึงอ่อนแต่งได้ สีสุก ไม่แตก และใช้
การได้ดี จะประสงค์ทำเป็นเครื่องประดับชนิดใด ๆ เช่นเข็มขัด ตุ้มหู
สร้อยคอ สังวาล ก็ได้ตามต้องการ
ฉันนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย อุปกิเลสอย่างหยาบของภิกษุผู้ประกอบ
อธิจิตมีอยู่ คือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ภิกษุชาติบัณฑิตมีจิตสมบูรณ์
ละ ถ่ายถอน อุปกิเลสอย่างหยาบนั้น ให้สิ้นไป ให้ไม่มีต่อไป ครั้นละ
อุปกิเลสอย่างหยาบให้สิ้นไปแล้ว ยังมีอุปกิเลสอย่างกลาง คือกามวิตก
พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ภิกษุชาติบัณฑิตมีจิตสมบูรณ์ ละ ถ่ายถอน