No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 499 (เล่ม 34)

๑๐. สังฆสูตร
ว่าด้วยอุปกิเลส ๓ อย่าง
[๕๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ อุปกิเลส (เครื่องทำให้หมอง)
อย่างหยาบ ของทอง คือทรายปนดิน หินกรวด คนล้างดินหรือลูกมือเอาทอง
นั้นใส่ลงในรางแล้ว ล้างซาวเอาเครื่องมัวหมองอย่างหยาบนั้นออก เมื่อสิ้น
เครื่องมัวหมองอย่างหยาบแล้ว ยังมีเครื่องมัวหมองอย่างกลาง คือกรวดละเอียด
ทรายหยาบ คนล้างดินหรือลูกมือก็ล้างซาวเอาเครื่องมัวหมองอย่างกลางนั้นออก
ครั้นหมดเครื่องมัวหมองอย่างกลางแล้ว ยังมีเครื่องมัวหมองอย่างละเอียด
คือทรายละเอียด ผงดำ คนล้างดินหรือลูกมือ ก็ล้างซาวเอาเครื่องมัวหมอง
อย่างละเอียดนั้นออกอีก เมื่อเครื่องมัวหมองอย่างละเอียดสิ้นไปแล้ว ทีนี้
ก็เหลืออยู่แต่แร่ทอง
ช่างทองหรือลูกมือ เอาแร่ทองนั้นใส่เบ้าสูบเป่าไล่ขี้ ทองนั้นยังมิได้
สูบเป่าไล่ขี้ ยังไม่ละลาย ยังไม่หมดราคี ก็ยังไม่อ่อน ยังแต่งไม่ได้ สียัง
ไม่สุก ยังแตกได้ และใช้การยังไม่ได้ดี ต่อเมื่อช่างทองหรือลูกมือสูบเป่า
ไล่ขี้ไป จนได้ที่หมดราคีแล้ว ทองนั้นจึงอ่อนแต่งได้ สีสุก ไม่แตก และใช้
การได้ดี จะประสงค์ทำเป็นเครื่องประดับชนิดใด ๆ เช่นเข็มขัด ตุ้มหู
สร้อยคอ สังวาล ก็ได้ตามต้องการ
ฉันนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย อุปกิเลสอย่างหยาบของภิกษุผู้ประกอบ
อธิจิตมีอยู่ คือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ภิกษุชาติบัณฑิตมีจิตสมบูรณ์
ละ ถ่ายถอน อุปกิเลสอย่างหยาบนั้น ให้สิ้นไป ให้ไม่มีต่อไป ครั้นละ
อุปกิเลสอย่างหยาบให้สิ้นไปแล้ว ยังมีอุปกิเลสอย่างกลาง คือกามวิตก
พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ภิกษุชาติบัณฑิตมีจิตสมบูรณ์ ละ ถ่ายถอน

499
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 500 (เล่ม 34)

อุปกิเลสอย่างกลางนั้น ให้สิ้นไป ครั้นละอุปกิเลสอย่างกลางให้สิ้นไปแล้ว
ยังมีอุปกิเลสอย่างละเอียด คือ ชาติวิตก (ความตรึกถึงชาติ) ชนบทวิตก
(ความตรึกถึงชนบท) อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตก (ความตรึกเกี่ยวด้วยการจะ
ไม่ให้คนอื่นดูหมิ่น) ภิกษุชาติบัณฑิตมีจิตสมบูรณ์ ละเลิกอุปกิเลสอย่าง
ละเอียดนั้นให้สิ้นไปให้ไม่มีต่อไป ครั้นละอุปกิเลสอย่างละเอียดให้สิ้นไปแล้ว
ทีนี้เหลืออยู่แต่ธรรมวิตก (ความตรึกในธรรม) นั่นเป็นสมาธิที่ยังไม่ละเอียด
ไม่ประณีต ไม่ได้ความรำงับ ไม่ถึงความเด่นเป็นหนึ่ง เป็นพรตที่ยังต้องใช้
ความเพียรข่มห้ามไว้ (ซึ่งอกุศลวิตก) มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย คราวที่จิตแน่วแน่
ตั้งมั่นเด่นเป็นหนึ่งในภายใน นั่นเป็นสมาธิละเอียดประณีตได้ความระงับถึง
ความเด่นเป็นหนึ่ง ไม่เป็นพรตที่ต้องใช้ความเพียรข่มห้าม
ภิกษุน้อมจิต (ที่เป็นสมาธิอย่างนั้น) ไปเพื่อกระทำให้แจ้งด้วย
อภิญญา (ความรู้ยิ่ง ความรู้เกินวิสัยคนสามัญ) ซึ่งอภิญญาสัจฉิกรณียธรรม
(ธรรมอันพึงกระทำให้แจ้งด้วยอภิญญา) ใด ๆ ในเมื่อความพยายามมีอยู่ เธอ
ย่อมถึงความเป็นผู้อาจทำให้ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ (คือ)
(๑) ถ้าเธอจำนงว่า ขอเราพึงแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างต่างวิธี คือ
คนเดียว (นิรมิต) ให้เป็นคนมากก็ได้ เป็นคนมากแล้ว (กลับ) เป็นคน
เดียวก็ได้ ทำสิ่งที่กำบังให้แลเห็น (ก็ได้) ทำสิ่งที่แลเห็นให้กำบัง (ก็ได้)
ผ่านฝาผ่านกำแพงผ่านภูเขาไปได้ไม่ติดขัด ดุจไปในที่ว่าง (ก็ได้) ดำลงไป
ในแผ่นดินและผุดขึ้น (ในที่ๆต้องการ) ดุจดำและผุดในน้ำก็ได้ ไปบนพื้นน้ำ
อันไม่แตก ดุจเดินบนพื้นดินก็ได้ นั่งไปในอากาศดุจนกบินก็ได้ แตะต้อง
ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ อันมีฤทธิ์มีอานุภาพมากปานนี้ด้วยฝ่ามือก็ได้
ใช้อำนาจด้วยกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดังนี้ ในเมื่อความพยายามมีอยู่
เธอย่อมถึงความเป็นผู้อาจทำให้ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ

500
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 501 (เล่ม 34)

(๒) ถ้าเธอจำนงว่า ขอเราพึงมีหูทิพย์อันหมดจดเกินหูมนุษย์สามัญ
ฟังเสียง ๒ อย่างได้ คือ ทั้งเสียงทิพย์ ทั้งเสียงมนุษย์ ทั้งเสียงไกล ทั้ง
เสียงใกล้ ดังนี้ ในเมื่อความพยายามมีอยู่ เธอย่อมถึงความเป็นผู้อาจทำให้
ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ
(๓) ถ้าเธอจำนงว่า ขอเราพึงกำหนดใจของสัตว์อื่นบุคคลอื่นด้วยใจ
(ของตน) แล้วรู้จิตของเขาได้ว่าเป็นจิตมีราคะหรือจิตปราศจากราคะแล้ว จิตมี
โทสะหรือปราศจากโทสะแล้ว จิตมีโมหะหรือปราศจากโมหะแล้ว จิตหดหู่หรือ
จิตฟุ้งซ่าน จิตกว้างใหญ่ (ด้วยพรหมวิหาร) หรือจิตไม่กว้างใหญ่ จิตมีธรรม
อันยิ่งหรือจิตไม่มีธรรมอันยิ่ง จิตเป็นสมาธิหรือจิตไม่เป็นสมาธิ จิตวิมุต
(หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว) หรือจิตยังไม่วิมุต ดังนี้ ในเมื่อความพยายามมีอยู่
เธอย่อมถึงความเป็นผู้อาจทำให้ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ
(๔) ถ้าเธอจำนงว่า ขอเราพึงระลึกชาติได้อย่างอเนก คืออย่างไร
คือแต่ ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๕ ชาติ ๑๐ ชาติ ๒๐ ชาติ ๓๐ ชาติ
๔๐ ชาติ ๕๐ ชาติ กระทั่ง ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐๐,๐๐๐ ชาติ จนหลาย
สังวัฏฏกัป หลายวิวัฏฏกัป และหลายสังวิฏฏวิวัฏฏกัป ว่า ในชาติโน้น เรามี
ชื่ออย่างนั้น มีนามสกุลอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
ได้เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเท่านั้น จุติจากชาตินั้นเกิดในชาติโน้น
ในชาตินั้น เรามีชื่อ มีนามสกุล มีผิวพรรณ มีอาหารอย่างนั้น ๆ ได้เสวย
สุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเท่านั้น จุติจากชาตินั้น มาเกิดในชาตินี้ ขอ
เราพึงระลึกชาติได้อย่างอเนกพร้อมทั้งอาการ (คือรูปร่างท่าทางและความเป็น
ไปที่ต่าง ๆ กัน มีผิวพรรณต่างกันเป็นต้น ) พร้อมทั้งอุทเทส (คือสิ่งสำหรับอ้าง

501
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 502 (เล่ม 34)

สำหรับเรียก ได้แก่ชื่อและโคตร) อย่างนี้ ดังนี้ ในเมื่อความพยายามมีอยู่
เธอย่อมถึงความเป็นผู้อาจทำให้ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้นๆ
(๕) ถ้าเธอจำนงว่า ขอเราพึงมีจักษุทิพย์ อันแจ่มใส เกินจักษุ
มนุษย์สามัญ เห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ (ตาย) กำลังอุปบัติ (เกิด) เลว ดี
ผิวพรรณงาม ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก รู้ชัดว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นตาม
กรรม (ชี้ได้) ว่า สัตว์เหล่านี้ เจ้าข้า ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต ว่าร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด กระทำกรรมไปตามเห็นผิด
สัตว์เหล่านั้น เพราะกายแตกตายไป ก็ไปอบายทุคติวินิบาตนรก หรือว่าสัตว์
เหล่านี้ เจ้าข้า ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ว่าร้าย
พระอริยะ มีความเห็นชอบ กระทำกรรมไปตามความเห็นชอบ สัตว์เหล่านั้น
เพราะกายแตกตายไป ก็ไปสุคติโลกสวรรค์ ขอเราพึงมีจักษุทิพย์อันแจ่มใส
เกินจักษุมนุษย์สามัญ เห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ดี ผิว-
พรรณงาม ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก รู้ชัดว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นตามกรรม
อย่างนี้ ดังนี้ ในเมื่อความพยายามมีอยู่ เธอก็ถึงความเป็นผู้อาจทำให้ประจักษ์
ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ
(๖) ถ้าเธอจำนงว่า เราพึงกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญา-
วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ ในเมื่อความพยายามมีอยู่ เธอก็ถึงความเป็น
ผู้อาจทำให้ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ.
จบสังฆสูตรที่ ๑๐

502
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 503 (เล่ม 34)

อรรถกถาสังฆสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสังฆสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โธวติ แปลว่า ล้าง. บทว่า สนฺโธวติ แปลว่า ล้างด้วยดี
คือ ล้างแล้วล้างอีก. บทว่า นิทฺโธวติ แปลว่า ล้างโดยไม่มีมลทินเหลือ.
บทว่า อนิทฺธนฺตํ คือ ยังไม่ได้ถลุง. บทว่า อนินฺนีตกาสาวํ คือ ยัง
ไม่ได้ไล่ขี้. บทว่า ปภงฺคุ ได้แก่ มีการแตกสลายไปเป็นสภาพ. เว้นทองคำ
ที่หลอมแล้ว (ที่เหลือ) เพียงเอากำปั้นทุบก็แตก. บทว่า ปฏฺฏกาย ได้แก่
เพื่อต้องการให้เป็นแผ่นทองคำ. บทว่า คีเวยฺยเก ได้แก่ เครื่องประดับคอ.
บทว่า อธิจิตฺตํ ได้แก่ จิตที่อบรมด้วยสมถะและวิปัสสนา. บทว่า อนุยุตฺ
ตสฺส ได้แก่ เจริญ. บทว่า สเจตโส ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยจิต.
บทว่า ทพฺพชาติโก ได้แก่ เป็นบัณฑิตโดยกำเนิด. ในวิตก
ทั้งหลายมีกามวิตกเป็นต้นมีอธิบายว่า วิตกที่ปรารภกามเกิดขึ้น ชื่อว่า กาม-
วิตก. วิตกที่สัมปยุตด้วยพยาบาท ชื่อว่า พยาปาทวิตก ที่สัมปยุตด้วยวิหิงสา
ชื่อว่า วิหิงสาวิตก.
ในวิตกทั้งหลายมีญาติวิตกเป็นต้น มีอธิบายว่า วิตกที่ปรารภญาติ
เกิดขึ้นโดยนัยเป็นต้นว่า ญาติของเราทั้งหลายจำนวนมากมีบุญ ชื่อว่า ญาติ
วิตก. วิตกที่อาศัยเรือนซึ่งปรารภชนบทเกิดขึ้นโดยนัยเป็นต้นว่า ชนบทโน้น
ปลอดภัย หาภิกษาได้ง่าย ชื่อว่า ชนปทวิตก. บทว่า น ปณีโต คือ
ไม่เอิบอิ่ม. บทว่า น ปฏิปฺปสฺสทฺธลทฺโธ คือ ไม่ได้ความสงบระงับกิเลส.
บทว่า น เอโกทิภาวาธิคโต คือ ไม่ถึงความเป็นสมาธิ. บทว่า สสํขาร-

503
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 504 (เล่ม 34)

นิคฺคยฺหวาริตวโต ได้แก่ข่ม คือห้ามกันกิเลสทั้งหลายไว้ด้วยสสังขารอันเป็น
สัปปโยคะ ไม่ใช่เกิดขึ้นในที่สุดที่กิเลสทั้งหลายถูกตัดขาดไป แต่เกิดขึ้นห้าม
กิเลสทั้งหลาย.
ในบทว่า โหติ โส ภิกฺขเว สมโย นี้ มีอธิบายว่า ที่ชื่อว่า
สมัยได้แก่ เวลาที่ได้สัปปายะ ๕ เหล่านี้ คือ ฤดูสัปปายะ อาหารสัปปายะ
เสนาสนสัปปายะ ปุคคลสัปปายะ ธัมมัสสวนสัปปายะ.. บทว่า ยนฺตํ จิตฺตํ
ได้แก่ ในสมัยใด วิปัสสนาจิตนั้น. บทว่า อชฺฌตฺตํเยว สนฺติฏฺฐติ ได้แก่
ดำรงอยู่ในตนนั่นเอง ก็วิสัยแห่งอารมณ์ที่เที่ยง ชื่อว่า อัชฌัตตะ ในที่นี้
แม้อารมณ์ภายในก็ควร. มีคำอธิบายว่า วิปัสสนาจิตละอารมณ์จำนวนมาก
แล้วตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ทีละอย่าง คือ ในอารมณ์ คือพระนิพพานเท่านั้น.
บทว่า สนฺนิสีทติ ได้แก่ สงบนิ่งด้วยดี. บทว่า เอโกทิภาโว โหติ
ได้แก่ เป็นจิตมีอารมณ์เดียวเป็นเลิศ. บทว่า สมาธิยติ ได้แก่ตั้งมั่นด้วยดี.
ในบทว่า สนฺโต เป็นต้น มีอธิบายว่า สมาธิ ชื่อว่า สงบ
เพราะสงบระงับกิเลสที่เป็นข้าศึก. สมาธิ ชื่อว่า ประณีต เพราะหมายความว่า
เอิบอิ่ม. สมาธิ ชื่อว่า ได้ความสงบระงับ เพราะได้ความระงับกิเลส. สมาธิ
ชื่อว่า ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะถึงความเป็นธรรมชาติมีอารณ์เดียว
เป็นเลิศ. สมาธิ ที่ชื่อว่า ไม่ต้องข่ม คือ กันกิเลสทั้งหลาย แล้วถูกห้ามไว้ด้วย
สัปปโยคะ เพราะเกิดขึ้นในที่สุดที่กิเลสทั้งหลายถูกตัดขาดไป เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่า ไม่ถูกสสังขารข่มกันห้ามไว้. ภิกษุนี้ ชื่อว่า ทำจิตให้หมุนกลับ
แล้วบรรลุพระอรหัตผล ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงการแทงตลอดด้วยอภิญญาของภิกษุนั้น ผู้เป็น
พระขีณาสพ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ยสฺส ยสฺส จ เป็นต้น.

504
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 505 (เล่ม 34)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิญฺญาสจฺฉิกรณียสฺส ได้แก่ ที่ควรทำให้
ประจักษ์ด้วยรู้ยิ่ง. บทว่า สติ สติ อายตเน ความว่า เมื่ออายตนะกล่าว
คือ บุรพเหตุ และประเภทแห่งฌานเป็นต้นที่จะพึงได้ในบัดนี้ มีอยู่ คือ
เมื่อเหตุมีอยู่ ก็กถาพรรณนาเรื่องอภิญญานี้ ของพระขีณาสพนั้น พึงทราบ
โดยพิสดารตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรคนั่นแล. ส่วนบทว่า อาสวานํ
ขยา เป็นต้น ในสูตรนี้พึงทราบว่า ตรัสไว้แล้วด้วยอำนาจผลสมาบัติ.
จบอรรถกถาสังฆสูตรที่ ๑๐
๑๑. สมุคคตสูตร
ว่าด้วยนิมิต ๓
[๕๔๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต ควรมนสิการ
นิมิต ๓ ตามกาลอันควร คือ มนสิการสมาธินิมิต (ข่มจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ใน
อารมณ์เดียว) ตามกาลอันควร มนสิการปัคคาหนิมิต (ทำความเพียรยกจิต
ให้อาจหาญแช่มชื่นขึ้น) ตามกาลอันควร มนสิการอุเบกขานิมิต (เพ่งดูเฉย
อยู่ไม่ข่มไม่ยก เมื่อจิตเรียบร้อยแล้ว) ตามกาลอันควร
ถ้าภิกษุผู้ประกอบอธิจิตจะพึงมนสิการแต่สมาธินิมิตส่วนเดียวไซร้ เป็น
ฐานะอยู่ ที่จิตจะพึงเป็นไปทางโกสัชชะ (ความเกียจคร้านความซึมเซื่อง) ถ้า
จะพึงมนสิการแต่ปัคคาหนิมิตส่วนเดียวเล่า ก็เป็นฐานะอยู่ ที่จิตจะเป็นไปทาง
อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) ถ้าจะพึงมนสิการแต่อุเบกขานิมิตโดยส่วนเดียวไซร้
ก็เป็นฐานะอยู่ ที่จิตจะไม่พึงตั้งมั่นเพื่อความสิ้นอาสวะ

505
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 506 (เล่ม 34)

เมื่อใด ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต มนสิการสมาธินิมิตตามกาลอันควร
มนสิการปัคคาหนิมิตตามกาลอันควร มนสิการอุเบกขานิมิตตามกาลอันควร
เมื่อนั้นจิตนั้นจึงจะเป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน เป็นจิตผุดผ่อง และมั่น
แน่วแน่เป็นอย่างดีเพื่อความสิ้นอาสวะ
เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือช่างทอง เตรียมเบ้าติดไฟ เกลี่ยถ่าน
เอาคีมจับทองวางบนถ่านแล้ว สูบไปตามกาลอันควร พรมน้ำตามกาลอันควร
(หยุดสูบและพรหมน้ำ) เพ่งพิจารณาดู (ว่าสุกหรือยัง) ตามกาลอันควร
ถ้าช่างทองหรือลูกมือสูบเผาทองไปส่วนเดียว ก็เป็นได้อยู่ ที่ทองนั้นจะพึง
แก่ไฟ ถ้าพรมน้ำไปอย่างเดียว ก็เป็นได้อยู่ ที่ทองนั้นจะพึงอ่อนไฟ ถ้าหยุด
เพ่งพิจารณาดูอยู่อย่างเดียว ก็เป็นได้อยู่ ที่ทองนั้นจะไม่สุกดี เมื่อใด ช่างทอง
หรือลูกมือสูบเผาทองไปตามกาลอันควร พรมน้ำตามกาลอันควร หยุดเพ่ง
พิจารณาดูตามกาลอันควร เมื่อนั้น ทองนั้นจึงจะอ่อน ควรแต่งได้ สีสุก
และไม่แตก ใช้การได้ดี จะประสงค์ทำเป็นเครื่องประดับชนิดใด ๆ เช่น
เข็มขัด ตุ้มหู สร้อยคอ สังวาล ก็ได้ตามต้องการ ฉันใด
ฉันนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต ควรมนสิการ
นิมิต ๓ ตามกาลอันควร คือ มนสิการสมาธินิมิตตามกำลังอันควร มนสิการ
ปัคคาหนิมิตตามกาลอันควร มนสิการอุเบกขานิมิตตามกาลอันควร ถ้าภิกษุ
ผู้ประกอบอธิจิตจะพึงมนสิการแต่สมาธินิมิตส่วนเดียวไซร้ เป็นฐานะอยู่
ที่จิตจะเป็นไปทางโกสัชชะ. ถ้าจะพึงมนสิการแต่ปัคคาหนิมิตส่วนเดียวเล่า
ก็เป็นฐานะอยู่ ที่จิตจะเป็นไปทางอุทธัจจะ ถ้าจะพึงมนสิการแต่อุเบกขานิมิต
โดยส่วนเดียวไซร้ ก็เป็นฐานะอยู่ ที่จิตจะไม่พึงแน่วแน่เป็นอย่างดีเพื่อความ
สิ้นอาสวะ เมื่อใด ภิกษุผู้ประกอบอธิจิต มนสิการสมาธินิมิตตามกาลอันควร

506
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 507 (เล่ม 34)

มนสิการปัคคาหนิมิตตามกาลอันควร มนสิการอุเบกขานิมิตตามกาลอันควร
เมื่อนั้น จิตนั้นจึงเป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน เป็นจิตผุดผ่องและมั่น แน่วแน่
เป็นอย่างดีเพื่อความสิ้นอาสวะ
เธอน้อมจิต (อย่างนั้น) ไปเพื่อทำให้แจ้งด้วยอภิญญา ซึ่งอภิญญา
สัจฉิกรณียธรรมใด ๆ ในเมื่อความพยายามมีอยู่ เธอย่อมถึงความเป็นผู้อาจ
ทำให้ประจักษ์ได้ในอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมนั้น ๆ (คือ)
(๑) ถ้าเธอจำนงว่า ขอเราพึงแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างต่างวิธี ฯลฯ
(เหมือนสูตรก่อนจนจบ).
จบสมุคคตสูตรที่ ๑๑
จบโลณผลวรรคที่ ๕
อรรถกถาสมุคคตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสมุคคตสูตรที่ ๑๑ ดังต่อไปนี้ :-
อธิจิต ได้แก่จิตในสมถะและวิปัสสนานั่นแล. บทว่า ตีณิ นิมิตฺ-
ตานิ ได้แก่ เหตุ ๓. บทว่า กาเลน กาลํ ได้แก่ ในกาลอันสมควร
อธิบายว่า ตลอดกาลอันเหมาะสม. ในบทว่า กาเลน กาลํ สมาธินิมิตฺตํ
มนสิกาตพฺพํ เป็นต้น มีอธิบายว่า ภิกษุพึงกำหนดกาลนั้น ๆ แล้ว มนสิการ
ถึงเอกัคคตา (ความที่จิตมีอารมณ์เดียวเป็นเลิศ) ในเวลาที่จิตประกอบด้วย
เอกัคคตา.

507
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 508 (เล่ม 34)

เพราะว่า ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเอกัคคตาว่าเป็น
สมาธินิมิต. ในบทว่า สมาธินิมิตฺตํ นั้น มีความหมายของคำดังนี้ นิมิต
คือ สมาธิ ชื่อว่า สมาธินิมิต. แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้แล. บทว่า
ปคฺคาโห (การประคองจิต) เป็นชื่อของวิริยะ. บทว่า อุเปกขา เป็นชื่อ
ของมัชฌัตตภาวะ (ความที่จิตเป็นกลาง). เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงมนสิการถึง
วิริยะในเวลาที่เหมาะสมแก่วิริยะ. พึงดำรงอยู่ในมัชฌัตตภาวะในเวลาที่เหมาะ-
สมแก่มัชฌัตตภาวะแล. บทว่า ฐานนฺตํ จิตฺตํ โกสชฺชาย สํวตฺเตยฺย
ความว่า เหตุที่ทำให้จิตนั้นดำรงอยู่ในภาวะ คือ ความเกียจคร้านมีอยู่. แม้ใน
เหตุนอกนี้ ก็มีนัยนี้แล. และในบทว่า อุเปกขานิมิตฺตํเยว มนสิกเรยฺย
นี้มีเนื้อความดังนี้ว่า ภิกษุพึงเพ่งดูความว่องไวแห่งญาณเฉย ๆ. บทว่า อาส-
วานํ ขยาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่อรหัตผล.
บทว่า อุกฺกํ พนฺเธยฺย ได้แก่ พึงเตรียมกระเบื้องใส่ถ่าน. บทว่า
อาลิมฺเปยฺย ความว่า พึงใส่ถ่านไปในกระเบื้องใส่ถ่านนั้น แล้วจุดไฟใช้
สูบเป่าให้ไฟติด. บทว่า อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺย ความว่า พึงคุ้ยเขี่ย
ถ่านเพลิง แล้ววางไว้บนถ่าน หรือใส่ไว้ในเบ้า. บทว่า อชฺฌุเปกฺขติ
ได้แก่ ใคร่ครวญดูว่า ร้อนได้ที่แล้ว.
บทว่า สมฺมา สมาธิยติ อาสวานํ ขยาย ได้แก่(จิต) ตั้งมั่น
อยู่โดยชอบ เพื่อประโยชน์แก่อรหัตผล. ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา แล้วบรรลุ
อรหัตผล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.

508