หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 429 (เล่ม 34)

กลิ่นดอกไม้หาไปทวนลมได้ไม่ กลิ่น
จันทน์ กฤษณาและกระลำพักก็ไปทวน
ลมไม่ได้ ส่วนกลิ่นสัตบุรุษ ไปทวนลมได้
สัตบุรุษย่อมขจรไปทุกทิศ.
จบคันธสูตรที่ ๙
อรรถกถาคันธสูตร
พึงทราบวินิจฉัย ในคันธสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เอตทโวจ ความว่า ในเวลาหลังภัตตาหาร พระอานนท์
เถรเจ้ากลับจากบิณฑบาต แสดงวัตรต่อพระทศพลแล้ว ไปยังที่พักกลางวัน
ของตน แล้วคิดว่า ในโลกนี้ ต้นไม้ที่มีรากหอมมีอยู่ ต้นไม้ที่มีแก่นหอม
มีอยู่ ต้นไม้ที่มีดอกหอมมีอยู่ แต่กลิ่นทั้ง ๓ อย่างนี้ ย่อมฟุ้งไปตามลมเท่านั้น
ไม่ฟุ้งไปทวนลม มีกลิ่นอะไรที่ฟุ้งไปทวนลมได้บ้างหรือหนอ ดังนี้แล้ว
เพราะเหตุที่ท่านรับพร คือการเข้าไปเฝ้าในเวลาที่เกิดความสงสัย๑ ในกาลเป็น
ที่รับพร ๘ ประการนั่นเอง ทันใดนั้น จึงออกจากที่พักกลางวันไปยังสำนัก
ของพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง เพื่อจะบรรเทาความ
สงสัยที่เกิดขึ้น จึงได้กราบทูลคำนี้ คือคำมีอาทิว่า ตีณิมานิ ภนฺเต ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คนฺธชาตานิ ได้แก่ ของหอมโดยกำเนิดทั้งหลาย.
บทว่า มูลคนฺโธ ได้แก่กลิ่นที่ตั้งอยู่ในราก. หรือรากที่สมบูรณ์ด้วยกลิ่น
นั่นเอง ชื่อว่า มูลคนฺโธ เพราะว่ากลิ่นของรากนั้น ย่อมฟุ้งไปตามลม.
แต่กลิ่นของกลิ่น (นั้น) ไม่มี. แม้ในกลิ่นที่แก่น และกลิ่นที่ราก ก็มีนัยนี้
เหมือนกัน.
๑. ปาฐะว่า อุปสงฺกมนสฺส คหิตฺตา ฉบับพม่าเป็น อุปสงฺกมนวรสฺส คหิตตฺตา.

429
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 430 (เล่ม 34)

พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อตฺถานนฺท คนฺธชาตํ นี้ ดังต่อไปนี้
การถึงสรณะเป็นต้น ชื่อว่า เป็นกลิ่น เพราะคล้ายกับกลิ่น โดยฟุ้งขจรไป
ทุกทิศ ด้วยสามารถแห่งการกล่าวสรรเสริญคุณความดีกลิ่นเหล่านั้น
มีบุคคลเป็นที่ตั้ง จึงชื่อว่า คันธชาต. บทว่า คนฺโธ คจฺฉติ
ความว่า ฟุ้งไปด้วยสามารถแห่งการกล่าวสรรเสริญ. บทว่า สีลวา ได้แก่
มีศีล โดยเป็นศีล ๕ หรือศีล ๑๐. บทว่า กลฺยาณธมฺโม ความว่า
มีกัลยาณธรรม คือมีธรรมอันดีงาม โดยศีลธรรมนั่นเอง. อธิบายของคำมี
อาทิว่า วิคตมลมจฺเฉเรน เป็นต้น ได้ให้พิสดารไว้แล้ว ในคัมภีร์
วิสุทธิมรรคนั้นแล. บทว่า ทิสาสุ ได้แก่ ในทิศใหญ่ ๔ ในทิศน้อย ๔.
บทว่า สมณพฺราหฺมณา ได้แก่สมณพราหมณ์ผู้สงบบาป และลอยบาปแล้ว.
บทว่า น ปุปฺผคนฺโธ ปฏิวาตเมติ ความว่า กลิ่นของดอกมะลิ
เป็นต้น จะไม่ฟุ้งขจรไปทวนลม. บทว่า น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา
มีอรรถาธิบายว่า ถึงกลิ่นของจันทน์ กฤษณา และกระลำพัก ก็ฟุ้งไปทวนลม
ไม่ได้. จริงอยู่ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า แม้ในเทวโลก ก็ยังมีดอกมะลิ
ที่บานแล้วเหมือนกัน ในวันที่ดอกมะลินั้นบานแล้ว กลิ่นก็จะฟุ้งไปได้ตั้ง ๑๐๐
โยชน์ แต่กลิ่นนั้นก็ไม่สามารถจะฟุ้งไปทวนลมได้ แม้เพียงคืบเดียว หรือ
เพียงศอกเดียว. บทว่า สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ ความว่า ส่วนกลิ่น
คือคุณมีศีลเป็นต้น ของสัตบุรุษทั้งหลาย คือบัณฑิตทั้งหลาย ได้แก่พระ-
พุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธสาวกทั้งหลาย ย่อมฟุ้งไปทวนลมได้.
บทว่า สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติ ความว่า สัตบุรุษคือบัณฑิต
ย่อมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ด้วยกลิ่นคือคุณความดี มีศีลเป็นต้น. อธิบายว่า มีกลิ่น
ตระหลบไปทั่วทุกทิศ.
จบอรรถกถาคันธสูตรที่ ๙

430
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 431 (เล่ม 34)

๑๐. จูฬนีสูตร
ว่าด้วยแสนโกฏิจักรวาล
[๕๒๐] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ฯลฯ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับได้
รับมาต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อานนท์ สาวกชื่ออภิภู ของพระ-
สิขีพุทธเจ้า ยืนอยู่บนพรหมโลก ย่อมให้ ๑,๐๐๐ โลกธาตุได้ยินเสียงได้ ดังนี้
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงสามารถตรัสให้
โลกธาตุได้ยินพระสุรเสียงได้เท่าไร.
พ. พระอภิภูนั้นเป็นสาวก อานนท์ พระตถาคตทั้งหลาย ใครจะ
เปรียบประมาณมิได้.
ท่านพระอานนท์กราบทูลครั้งที่ ๒ เหมือนครั้งแรก พระองค์ก็คงตรัส
ตอบอย่างนั้น ท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่ ๓ พระองค์จึงตรัส
ถามว่า เธอเคยได้ฟังหรือไม่ อานนท์ สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุ
น้อย ๑,๐๐๐).
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นกาละ ข้าแต่พระสุคตเจ้า เป็นกาละ
ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วจักทรงจำไว้.
ถ้าเช่นนั้น เธอจงพึงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
ท่านพระอานนท์รับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
(เรื่องโลกธาตุ) ว่า อานนท์ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์แผ่รัศมี ส่องแสงทำ
ให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกมีเนื้อที่เท่านั้นจำนวน ๑,๐๐๐

431
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 432 (เล่ม 34)

ใน ๑,๐๐๐ โลกนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐
มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐
มีมหาสมุทร มีมหาราช อย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลก
ชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุอย่างเล็กมีพัน
จักรวาล).
สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุเท่าใด โลกเท่านั้นคูณโดยส่วน ๑,๐๐๐
นี้เรียกว่า ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ (โลกธาตุกลางมีล้านจักรวาล).
ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุเท่าใด โลกเท่านั้นคูณโดยส่วน ๑,๐๐๐
นี้เรียกว่า ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ (โลกธาตุใหญ่มีแสนโกฏิจักรวาล).
อานนท์ ตถาคตเมื่อมีความจำนง จะพูดให้ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ *
ได้ยินเสียงได้ หรือจำนงเท่าใดก็ได้.
อา. ...ด้วยวิธีอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ตถาคตอยู่ในที่นี้ จะพึงแผ่รัศมีไปทั่วติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ
พอสัตว์ทั้งหลาย (ในโลกธาตุ) เหล่านั้นรู้จักแสงสว่างนั้น ตถาคตก็บันลือเสียง
ให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน . . .ด้วยวิธีอย่างนี้แล อานนท์.
พอจบพระกระแสพุทธดำรัส ท่านพระอานนท์อุทานออกมาว่า เป็นลาภ
ของเราหนอ เราได้ดีหนอ ซึ่งเราได้พระศาสดามีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพ
ใหญ่อย่างนี้.
พระอุทายีกล่าวขัดขึ้นว่า ท่านได้ประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ อาวุโส
อานนท์ หากว่าพระศาสดาของท่านมีฤทธิ์มากมีอานุภาพใหญ่อย่างนั้น.
* คำว่า โลก ก็ดี โลกธาตุ ก็ดี ในที่นี้ ท่านหมายความเป็นอันเดียวกันกับคำว่า จักรวาล

432
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 433 (เล่ม 34)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระอุทายีว่า อย่าพูดเช่นนั้น อุทายี
ถ้าอานนท์จะพึงเป็นผู้ยังไม่สิ้นราคะอย่างนี้มรณภาพไป ด้วยความที่จิตเลื่อมใส
นั้น เธอจะพึงได้เป็นเทวราชาในเทวโลก ๗ ชาติ เป็นมหาราชาในชมพูทวีป
นี้ ๗ ชาติ แต่แท้นั้น อานนท์จักปรินิพพานในชาติปัจจุบันนี้.
จบจูฬนีสูตรที่ ๑๐
จบอานันทวรรคที่ ๓
อรรถกถาจูฬนีสูตร
ในสูตรที่ ๑๐ มีข้อความที่ยกขึ้นไว้ ๒ อย่าง คือ การยกข้อความที่
เกี่ยวกับเหตุเกิดของเรื่อง ๑ ที่เกี่ยวกับอำนาจการถาม ๑. ถ้าจะมีคำถามว่า
ในการเกิดขึ้นแห่งข้อความอย่างไหน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบคำถามของ
ใคร. ตอบว่า ในการเกิดขึ้นแห่งข้อความของอรุณวดีสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสตอบคำถามของพระอานนทเถระเจ้า. ถามว่า อรุณวดีสูตร ใครกล่าวไว้.
ตอบว่า พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิขี
และพระศาสดาของเราตรัสไว้.
การอุบัติแห่งอรุณวดีสูตรสมัยพระสิขีพุทธเจ้า
ขยายความว่า นับแต่กัปนี้ถอยหลังไป ในกัปที่ ๓๑ ที่อรุณวดีนคร พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิขี ทรงถือปฏิสนธิในคัพโภทรของพระมเหสี พระ-
นามว่า ปภาวดี ของพระเจ้าอรุณวัต เมื่อพระญาณแก่กล้าแล้ว เสด็จออก

433
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 434 (เล่ม 34)

มหาภิเนษกรมณ์ ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณที่ควงไม้มหาโพธิ์ ประกาศพระ
ธรรมจักรอันประเสริฐ ทรงอาศัยอรุณวดีนครประทับอยู่. วันหนึ่งเวลาเช้าตรู่
ทรงปฏิบัติสรีรกิจแล้ว มีภิกษุสงฆ์จำนวนมากเป็นบริวาร ทรงพระดำริว่า
เราจักเข้าไปบิณฑบาตยังอรุณวดีนคร แล้วเสด็จออกไปประทับยืน ใกล้ซุ้ม
ประตูพระวิหาร ทรงเรียกพระอรรคสาวกนามว่า อภิภู มาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ยังเป็นในเวลาเช้านัก ที่จะเข้าไปบิณฑบาตยังอรุณวดีนคร เราทั้งหลายจะไปยัง
พรหมโลก ชั้นใดชั้นหนึ่งเสียก่อน ดังนี้.
สมดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มี
พระภาคเจ้าพระนามว่า สิขี อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกอภิภูภิกษุมา
รับสั่งว่า มาเถิดพราหมณ์ เราทั้งสองจักไปยังพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง เวลา
ภัตตาหาร จักยังไม่มีก่อน ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อภิภูภิกษุรับพระพุทธ-
ดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสิขีแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่า สิขี และพระอภิภูภิกษุได้เข้าไปยังพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่งแล้ว.
มหาพรหมในพรหมโลกนั้น ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ดีใจ จึงทำการ
ต้อนรับ ได้ปูอาสนะพรหมถวาย. ส่วนพระเถระ พรหมทั้งหลายก็ช่วยกัน
ปูอาสนะที่เหมาะสมถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูถวาย
แล้ว แม้พระเถระก็นั่งบนอาสนะที่เขาปูถวายตน. ส่วนท้าวมหาพรหมก็ถวาย
บังคมพระทศพล แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสิขี ได้ตรัสเรียกภิกษุ
ชื่อว่า อภิภู มาตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมีกถาจงแจ่มแจ้งแก่เธอ (เธอ
จงแสดงธรรมีกถา) เพื่อพรหม เพื่อบริษัทของพรหม และเพื่อพรหมชั้น

434
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 435 (เล่ม 34)

ปาริสัชชา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อภิภูภิกษุรับพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระ
ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขีแล้ว แสดงธรรมีกถาแก่พรหม
พรหมบริษัท และพรหมชั้นปาริสัชชาแล้ว เมื่อพระเถระแสดงธรรมอยู่
พรหมทั้งหลาย ยกโทษว่า นาน ๆ พวกเราจักได้เห็นพระบรมศาสดาเสด็จมา
ยังพรหมโลก แต่ภิกษุนี้กีดกันพระศาสดา เตรียมจะแสดงธรรมกถาเสียเอง.
พระศาสดาทรงทราบว่า พวกพรหมเหล่านั้นไม่พอใจ จึงได้ตรัส
กะอภิภูภิกษุดังนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พรหม พรหมบริษัท และพรหมชั้น
ปาริสัชชาพากันโทษเธอ ถ้าอย่างนั้น เธอจงทำให้พรหมเหล่านั้นสลดใจ เกิน
ประมาณเถิด พราหมณ์. พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้ว ทำการแผลงฤทธิ์
หลายอย่างหลายประการ เมื่อจะยังโลกธาตุพันหนึ่งให้ทราบชัดด้วยเสียง จึง
ได้กล่าว ๒ คาถาว่า อารมฺภถ นิกฺขมถ แปลว่า จงเริ่มเถิด จงเพียร
พยายามเถิด ท่านทั้งหลายดังนี้เป็นต้น.
ถามว่า ก็พระเถระทำอย่างไร จึงให้โลกธาตุตั้งพันหนึ่งทราบชัดได้.
ตอบว่า พระเถระเจ้าเข้านีลกสิณก่อนแล้ว แผ่ความมืดมนอันธการ
ไปทั่วทิศทั้งปวง แต่นั้น เมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดความคำนึงขึ้นว่า นี้เป็นความมืด
มนอันธการอะไร จึงแสดงแสงสว่าง. เมื่อพวกเขาคิดว่า นี้แสงสว่างอะไร จึง
แสดงตนให้เห็น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในพันจักรวาลจึงได้พากันยืนประคอง
อัญชลี นมัสการพระเถระอยู่ทีเดียว. พระเถระอธิษฐานว่า ขอมหาชน จงได้ยิน
เสียงของเราผู้แสดงธรรมอยู่ดังนี้แล้ว ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ไว้ เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายทั้งปวงได้ยินเสียงของพระเถระ เสมือนนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลาง
บริษัทที่พรั่งพร้อมแล้ว แม้ข้อความ (ที่แสดง) ก็ปรากชัดแก่เทวดาและมนุษย์
เหล่านั้น.

435
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 436 (เล่ม 34)

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จกลับมายัง อรุณวดีนคร
พร้อมกับพระเถระ เสด็จบิณฑบาตเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตรแล้ว
ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายได้ยินหรือไม่๑ ซึ่งเสียง
ขิงอภิภูภิกษุ ผู้ยืนกล่าวคาถาอยู่บนพรหมโลก ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า ได้ยิน
พระพุทธเจ้าข้า. เมื่อจะประกาศข้อที่ตนได้ยิน จึงได้ยกเอาคาถาทั้งสองขึ้นมา
อ้าง. พระศาสดาทรงประทานสาธุการว่า สาธุ สาธุ แล้วเริ่ม๒ แสดงพระ-
ธรรมเทศนา. พระสูตรนี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิขี ได้ตรัสไว้
ในกัปที่ ๓๑ นับแต่ภัตรกัปนี้ถอยหลังไป ด้วยประการดังพรรณนามานี้ก่อน.
การอุบัติแห่งอรุณวดีสูตรแห่งพระพุทธเจ้าของเรา
ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ
แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เข้าไปอาศัยพระนครสาวัตถี แล้ว
ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ในวันกลางเดือน ๗ ต้น ได้ตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายมา แล้วทรงเริ่มแสดงพระสูตรชื่อว่า อรุณวดี นี้. พระอานนท-
เถระเจ้า ยืนถวายงานพัดอยู่นั่นแหละ เรียนพระสูตรทั้งหมดแต่ต้นจนจบ
ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่พยัญชนะเดียว. ในวันรุ่งขึ้น ท่านกลับจากบิณฑบาต
แสดงวัตรต่อพระทศพลแล้ว กลับไปยังที่พักกลางวันของตน เมื่อสัทธิวิหาริก
และอันเตวาสิกทั้งหลาย แสดงวัตรแล้วหลีกไป นั่งรำพึงถึงอรุณวดีสูตร
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในวันวาน. ครั้งนั้นพระสูตรทั้งหมด ได้ปรากฏ
แจ่มเเจ้งแก่ท่าน ( พระอานนท์).
ท่านพระอานนทเถระคิดว่า อรรคสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่าสิขียืนอยู่บนพรหมโลก เปล่งรัศมีออกจากร่างกาย กำจัดความ
๑. ปาฐะว่า ปสฺสถ ฉบับพม่าเป็น อสฺสุตถ
๒. ปาฐะว่า นิฏฺ  เปสิ บางฉบับเป็น ปฏฺฐเปสิ

436
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 437 (เล่ม 34)

มืดมนอันธการในจักรวาลพันหนึ่ง แล้วแสดงธรรมกถาให้เทวดาและมนุษย์
ได้ยินเสียงของตน คำดังที่ว่ามานี้ พระบรมศาสดาตรัสไว้แล้วเมื่อวันวาน
วิสัยของพระสาวก (มีอานุภาพ) เห็นปานนี้ก่อน ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ทัศ แล้วบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ จะเปล่งพระสุร-
เสียงไปได้ไกลเท่าไร. เพื่อจะบรรเทาความสงสัยอันบังเกิดแล้วอย่างนี้ ทันใด
นั้นเอง ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามความนั้น. เพื่อจะแสดง
ข้อความนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า อถโข อายสฺมา อานนฺโท
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมุขา ความว่า พระสูตรนี้ ข้าพเจ้า
(พระอานนท์) ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ฟังแล้ว ไม่ใช่ฟังโดยได้ยินตามกันมา
คือไม่ได้ฟังโดยสืบต่อจากทูต๑ พระอานนทเถระเจ้ากล่าวอย่างนี้ โดยมีความ-
มุ่งหมายดังอธิบายมานี้แล.
บทว่า กีวตกํ ปโหติ สเรน วิญฺญาเปตุํ ความว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า จะทรงกำจัดความมืดมนอันธการ ด้วยพระรัศมีที่เปล่งออกจาก
พระวรกายแล้วเปล่งพระสุรเสียงไปได้ไกลเท่าไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำนี้ว่า สาวโก โส อานนฺท
อปฺปเมยฺยา ตถาคตา โดยมีพระพุทธประสงค์ดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์
เธอพูดอะไร (อย่างนี้) พระสาวกดำรงอยู่ในญาณเฉพาะส่วน แต่พระตถาคตเจ้า
ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ แล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ มีพระญาณ
หาประมาณมิได้. เธอนั้น พูดอะไรอย่างนี้ เหมือนเอาปลายเล็บช้อนฝุ่นขึ้นมา
เปรียบกับฝุ่นในพื้นมหาปฐพี เพราะวิสัยของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ธรรมเป็นโคจรของพระสาวกทั้งหลาย
ก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง พลังของพระสาวก
๑. ปาฐะว่า น อนุสฺสาเสน สุตปรมปรมตาว น อนุสฺสเวน น ทูตปรมฺปราย.

437
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 438 (เล่ม 34)

ทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง. พระผู้มี
พระภาคเจ้านั้นตรัสความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีอานุภาพหาประมาณมิได้
ด้วยมีพระพุทธประสงค์ดังพรรณนามานี้ แล้วทรงดุษณีภาพ. แม้พระเถระ
ก็ทูลถามเป็นครั้งที่ ๒. พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงแสดงว่า อานนท์ เธอพูด
อะไรอย่างนี้ เหมือนกับเอาโพรงของต้นตาล ไปเทียบกับ อากาศที่เวิ้งว้างหา
ที่สุดมิได้ เหมือนกับเอานกนางแอ่นไปเทียบกับพญาครุฑตัวผู้บินได้วันละ
๑๕๐ โยชน์ เหมือนกับเอาน้ำในงวงช้าง ไปเทียบกับน้ำในแม่น้ำมหาคงคา
เหมือนกับเอาน้ำในหลุมกว้างยาว ๘ ศอก ไปเทียบกับสระทั้ง ๗ เหมือนกับ
เอาคนที่มีรายได้เพียงข้าว ๑ ทะนาน ไปเทียบกับพระเจ้าจักรพรรดิ เหมือนกับ
เอาปีศาจคลุกฝุ่น ไปเทียบกับท้าวสักกเทวราช และเหมือนกับเอาแสงสว่าง
ของหิ่งห้อย ไปเทียบกับแสงสว่างพระอาทิตย์ ดังนี้แล้ว ตรัสความที่พระ
พุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพหาประมาณมิได้ เป็นครั้งที่ ๒ แล้วทรงดุษณีภาพ.
ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า พระศาสดาอันเราทูลถามแล้ว ไม่ตรัสตอบเลย เรา
จะขอ (โอกาสทูลถาม) ถึง ๓ ครั้ง แล้วจักให้พระศาสดาบันลือพุทธสีหนาท
ดังนี้ จึงทูลขอเป็นครั้งที่ ๓. เพื่อแสดงถึงการทูลขอเป็นครั้งที่ ๓ นั้น ท่าน
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ตติยมฺปิ โข ไว้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงตอบปัญหาของพระอานนท์
เถระจึงตรัสคำมีอาทิว่า สุตา เม อานนฺท ดังนี้ พระเถระคิดว่า พระ-
บรมศาสดาตรัสคำมีประมาณเท่านี้ เท่านั้น แก่เราว่า อานนท์ โลกธาตุพันหนึ่ง
จำนวนเล็กน้อย เธอได้ฟังแล้ว (มิใช่หรือ) แล้วทรงดุษณีภาพ ต่อไปนี้
พระพุทธเจ้า จักทรงบันลือพุทธสีหนาท ดังนี้. เมื่อจะทูลขอพระบรมศาสดา
จึงได้กราบทูลคำมีอาทิว่า เอตสฺส ภควา กาโล ดังนี้.

438