หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 444 (เล่ม 3)

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗
วิหารการสิกขาบทวรรณนา
วิหารการสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าว
ต่อไป:-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระฉันนะ]
พึงกราบวินิจฉัย ในวิหารการสิกขาบทนั้น ดังต่อไปนี้:-
บทว่า โกสมฺพิยํ ได้แก่ ใกล้นครที่มีชื่ออย่างนี้.
บทว่า โฆสิตาราเม ได้แก่ ที่วิหาร (วัด) ของท่านโฆสิตเศรษฐี.
ได้ยินว่า วิหาร (วัด) นั้น ท่านเศรษฐีนามว่าโฆสิตให้สร้าง เพราะ-
ฉะนั้น จึงเรียกว่า "วัดโฆสิตาราม."
บทว่า ฉนฺนสฺส ได้แก่ พระฉันนะเคยเป็นมหาดเล็กในเวลาพระ-
พุทธองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์.
ข้อว่า วิหารวตฺถุํ ภนฺเต ชานาติ มีความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ !
ท่านโปรดตรวจดูสถานที่สร้างวิหารเถิด. ก็ในคำว่า วิหารวตฺถุํ นี้ ที่ชื่อว่า
วิหาร ไม่ใช่วิหารทั้งสิ้น คืออาวาส (ที่อยู่) หลังหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล
คฤหบดีอุปัฏฐากของท่านพระฉันนะ จึงกล่าวว่า กระผมจักให้สร้างวิหาร
ถวายพระคุณเจ้า.
ในคำว่า เจติยรุกฺขํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:- ที่ชื่อว่า เจดีย์ เพราะ
อรรถว่า อันปวงชนทำความเคารพ. คำว่า เจติยรุกฺขํ นี้ เป็นชื่อแห่ง
เทวสถานทั้งหลายที่ควรแก่การบูชา ต้นไม้ที่ชาวโลกสมมติว่า เจดีย์ ชื่อว่า
รุกขเจดีย์. ที่ชาวบ้านบูชาแล้ว หรือเป็นที่บูชาของชาวบ้าน; เพราะฉะนั้น

444
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 445 (เล่ม 3)

ต้นไม้นั้นจึงชื่อว่า คามปูชิตะ (ที่ชาวบ้านพากันบูชา) ในบทที่เหลือก็มี
นัยเช่นนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ในชนบทและรัฐนี้ ส่วนหนึ่งในรัชสีมาแห่งพระ-
ราชาพระองค์หนึ่ง พึงทราบว่า ชนบท. แว่นแคว้นทั้งสิ้น พึงทราบว่า
รัฐ. จริงอยู่ ในกาลบางครั้ง แม้ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้น ก็ทำการบูชา
ต้นไม้นั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ที่ชาวแว่นแคว้นพากันบูชาแล้ว.
ด้วยบทว่า เอกินฺทฺริยํ นี้ พวกชาวบ้านกล่าวหมายเอากายินทรีย์.
บทว่า ชีวสญฺญิโน คือ มีความสำคัญว่า เป็นสัตว์.
บทว่า มหลฺลกํ มีความว่า ความที่วิหารใหญ่กว่ากุฎีที่ขอเอาเอง
โดยความเป็นที่มีเจ้าของ มีอยู่ แก่วิหารนั้น; เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า
มหัลลกะ. อีกอย่างหนึ่ง เพราะใหัสงฆ์แสดงที่ให้แล้วสร้างแม้ให้เกิน
ประมาณก็ควร; ฉะนั้น วิหารนั้น จึงชื่อว่า มหัลลกะ เพราะเป็นของ
ใหญ่กว่าประมาณบ้าง. ซึ่งวิหารใหญ่นั้น. ก็เพราะวิหารนั้น มีความใหญ่
กว่าประมาณนั้นได้ เพราะเป็นของมีเจ้าของนั่นเอง; ฉะนั้น เพื่อแสดง
ใจความนั้น ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวบทภาชนะว่า วิหารมีเจ้าของ เรียก
ชื่อว่า วิหารใหญ่.
คำที่เหลือทั้งหมดพร้อมด้วยสมุฏฐานเป็นต้น. ผู้ศึกษาพึงทราบ
โดยนัยดังที่กล่าวแล้วในกุฎีการสิกขาบทนั้นแล. จริงอยู่ ในสิกขาบทนี้
ความแปลกกัน แต่เพียงความเป็นของมีเจ้าของ ความไม่มีสมุฏฐานจาก
การทำ และความไม่มีกำหนดประมาณเท่านั้น และจตุกกะลดลงไป ก็
เพราะไม่มีกำหนดประมาณ ฉะนี้แล.
วิหารการสิกขาบทวรรณนา จบ

445
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 446 (เล่ม 3)

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร
[๕๓๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระ-
นครราชคฤห์ ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรมีอายุ ๗ ปี นับแต่เกิด
ได้ทำให้เเจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ
ท่านได้บรรลุแล้วโดยลำดับทั้งหมด อนึ่ง ท่านไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป
หรือกรณียกิจที่ท่านทำเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก.
[๕๓๙] ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตร ไปในที่สงัด หลีกเร้น
อยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เรามีอายุ ๗ ปี นับแต่
เกิด ได้ทำให้เเจ้งซึ่งพระอรหัต คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสาวกจะ
พึงบรรลุ เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับทุกอย่าง อนึ่งเล่า เราไม่มีกรณียกิจ
อะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก เรา
ควรทำการช่วยเหลืออะไรหนอแก่สงฆ์ ลำดับนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตร
ได้คิดตกลงใจว่า ผิฉะนั้น เราควรแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหารแก่
สงฆ์ ครั้นท่านออกจากที่เร้นในเวลาเย็นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
เจ้าถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้กราบ
ทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ณ ตำบล
นี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีอายุ ๗ ปี
นับแต่เกิด ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งสาวกจะพึงบรรลุ ข้าพระพุทธเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับทุกอย่าง อนึ่ง
เล่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีกรณียกิจอะไรที่ยิ่งขึ้นไป หรือกรณียกิจที่ข้าพระ-

446
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 447 (เล่ม 3)

พุทธเจ้าทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกลับสั่งสมอีก ข้าพระพุทธเจ้าควรทำการช่วย
เหลืออะไรหนอแก่สงฆ์ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าติดตกลงใจ
ว่า ผิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าควรแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์
ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาจะแต่งตั้งเสนาสนะ และแจกอาหารแก่สงฆ์
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ ทัพพะ ถ้าเช่นนั้น เธอ
จงแต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหารแก่สงฆ์เถิด
ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลรับสนองแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า.
สมมติภิกษุผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหาร
[๕๔๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมีกถา ใน
เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงสมมติทัพพมัลล-
บุตรให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหาร
วิธีสมมติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้ เบื้องต้นพึงขอ
ให้ทัพพะรับ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ
ด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึง
ที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติท่านพระทัพพมัลลบุตร ให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะ

447
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 448 (เล่ม 3)

และแจกอาหาร นี่เป็นญัตติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์
สมมติท่านพระทัพพมัลลบุตร ให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจกอาหาร
การสมมติท่านพระทัพพมัลลบุตร ให้เป็นผู้แต่งตั้งเสนาสนะและแจก
อาหาร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงพูด ท่านพระทัพพมัลลบุตร อันสงฆ์สมมติให้เป็นผู้แต่งตั้ง
เสนาสนะและแจกอาหารแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรง
ความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
[๕๔๑] ก็แล ท่านพระทัพพมัลลบุตร อันสงฆ์สมมติแล้วย่อม
แต่งตั้งเสนาสนะรวมไว้เป็นพวก ๆ สำหรับหมู่ภิกษุผู้สม่ำเสมอกัน คือ
ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงพระสูตร ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้น
ไว้เเห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์ว่าพวกเธอจักซักซ้อมพระสูตรกัน ภิกษุเหล่าใด
เป็นผู้ทรงพระวินัย ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง
ด้วยประสงค์ว่า พวกเธอจักวินิจฉัยพระวินัยกัน ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรง
พระอภิธรรม ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้เเห่งหนึ่ง ด้วย
ประสงค์ว่า พวกเธอจักสนทนาพระอภิธรรมกัน ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ได้
ฌาน ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้เเห่งหนึ่ง ด้วยประสงค์
ว่า พวกเธอจักไม่รบกวนกัน ภิกษุเหล่าใดชอบกล่าวดิรัจฉานกถา ยังมี
การบำรุงร่างกายอยู่มาก ท่านก็แต่งตั้งเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้น ไว้เเห่ง
หนึ่ง ด้วยประสงค์ว่าท่านเหล่านี้จักอยู่ด้วยความยินดีแม้นี้ ภิกษุเหล่าใด
มาในเวลาค่ำคืน ท่านก็เข้าจตุตถฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ แล้วแต่งตั้ง
เสนาสนะแม้สำหรับภิกษุเหล่านั้นโดยแสงสว่างนั้นนั่นแล ภิกษุทั้งหลาย
ย่อมแกล้งมาแม้ในเวลาค่ำคืน ด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักได้ชมอิทธิ-

448
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 449 (เล่ม 3)

ปาฏิหาริย์ของท่านพระทัพพมัลลบุตรดังนี้ก็มี ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปหา
ท่านพระทัพพมัลลบุตรแล้วพูดอย่างนี้ว่า พระะคุณเจ้าทัพพะ ขอท่านจง
แต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผม ท่านพระทัพมัลลบุตรถามภิกษุเหล่านั้น
อย่างนี้ว่า ท่านปรารถนาจะอยู่ที่ไหน กระผมจะแต่งตั้งให้ ณ ที่ไหน
ภิกษุเหล่านั้นแกล้งอ้างที่ไกล ๆ ว่า พระคุณเจ้าทัพพะ ขอท่านจงแต่งตั้ง
เสนาสนะให้พวกกระผม ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้
พวกกระผมที่เหวสำหรับทิ้งโจร ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผม
ที่กาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ถ้ำ
สัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนให้พวกกระผม
ที่เงื้อมเขาสัปปโสณฑิกะใกล้สีตวัน ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวก
กระผมที่ซอกเขาโคมฏะ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ซอก
เขาตินทุกะ ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ซอกเขากโปตะ
ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวกกระผมที่ตโปทาราม ขอท่านจงแต่งตั้ง
เสนาสนะให้พวกกระผมที่ชีวกัมพวัน ขอท่านจงแต่งตั้งเสนาสนะให้พวก
กระผมที่มัททกุจฉิมฤคทายวัน ท่านพระทัพพมัลลบุตรจึงเข้าจตุตถฌานมี
เตโชกสิณเป็นอารมณ์ มีองคุลีส่องแสงสว่างเดินนำหน้าภิกษุเหล่านั้นไป
แม้ภิกษุเหล่านั้นก็เดินตามหลังท่านพระทัพพมัลลบุตรไปโดยแสงสว่างนั้น
แล ท่านพระทัพพมัลลบุตรแต่งตั้งเสนาสนะสำหรับภิกษุเหล่านั้น โดย
ชี้แจงอย่างนี้ว่า นี่เตียง นี่ตั่ง นั่นฟูก นี่หมอน นี่ที่ถ่ายอุจจาระ
นี่ที่ถ่ายปัสสาวะ นี่น้ำฉัน นี่น้ำใช้ นี่ไม้เท้า นี่ระเบียบกติกาสงฆ์
ควรเข้าเวลานี้ ควรออกเวลานี้ ครั้นแต่งตั้งเสร็จแล้วกลับมาสู่พระเวฬุวัน
วิหารตามเดิม.

449
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 450 (เล่ม 3)

เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
[๕๔๒] ก็โดยยสมัยนั้นแล พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เป็น
พระบวชใหม่ และมีบุญน้อย เสนาสนะของสงฆ์ชนิดเลวและอาหารอย่าง
เลว ย่อมตกถึงแก่เธอทั้งสอง ครั้งนั้น ชาวบ้านในพระนครราชคฤห์
ชอบถวาย เนยใสบ้าง น้ำมันบ้าง แกงที่มีรสดี ๆ บ้าง ซึ่งจัดปรุง
เฉพาะพระเถระทั้งหลาย ส่วนพระเมตติยะและพระภุมมชกะ เขาถวาย
อาหารอย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ
เวลาหลังอาหาร เธอทั้งสองกลับจากบิณฑบาตแล้ว เที่ยวถามพวกภิกษุ
ผู้เถระว่า ในโรงฉันของพวกท่านมีอาหารอะไรบ้าง ขอรับ ในโรงฉันของ
พวกท่านมีอาหารอะไรบ้าง ขอรับ พระเถระบางพวกบอกอย่างนี้ว่า พวก
เรามีเนยใส น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อย ๆ ขอรับ ส่วนพระเมตติยะและ
พระภุมมชกะพูดอย่างนี้ว่า พวกกระผมไม่มีอะไรเลย ขอรับ มีแต่อาหาร
อย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าวมีน้ำส้มเป็นกับ.
[๕๔๓] สมัยต่อมา คหบดีผู้ชอบถวายอาหารที่ดี ถวายภัตตาหาร
วันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิจภัต เขาพร้อมด้วยบุตรภรรยาอังคาสอยู่ใกล้ๆ
ในโรงฉัน คนอื่น ๆ ย่อมถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรส
อร่อย คราวนั้น ภัตตุเทสก์ ได้ถวายภัตตาหารของคฤหบดีผู้ชอบถวาย
อาหารที่ดี แก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น ขณะ
นั้นท่านคฤหบดีไปสู่อารามด้วยกรณียะบางอย่าง แล้วเข้าไปหาท่านพระ-
ทัพพมัลลบุตรถึงที่สำนัก ครั้นนมัสการท่านพระทัพพมัลลบุตรแล้วนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระทัพพมัลลบุตรยังท่านคฤหบดีผู้นั่งแล้ว ให้
เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นแล้ว

450
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 451 (เล่ม 3)

ท่านคฤหบดีได้เรียนถามท่านว่า ภัตตาหารเพื่อจะฉันในวันพรุ่งนี้ที่เรือน
ของเกล้ากระผม พระคุณเจ้าจัดถวายแก่ภิกษุรูปไหน ขอรับ
ท่านพระทัพพมัลลบุตรตอบว่า อาตมาจัดให้แก่พระเมตติยะกับ
พระภุมมชกะแล้วจ้ะ
ขณะนั้น ท่านคฤหบดีได้มีความน้อยใจว่า ไฉนภิกษุผู้ลามกจักฉัน
ภัตตาหารในเรือนเราเล่า แล้วไปเรือนสั่งหญิงคนใช้ไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้า
จงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวัน
พรุ่งนี้ ด้วยปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ
หญิงคนใช้รับคำของท่านคหบดีว่า อย่างนั้น เจ้าค่ะ
ครั้งนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะ กล่าวแก่กันว่า คุณเมื่อวานนี้
ท่านภัตตุเทสก์จัดภัตตาหารในเรือนท่านกัลยาณภัตติกคหบดีให้พวกเรา
พรุ่งนี้ท่านคหบดีพร้อมด้วยบุตรภรรยาจักอังคาสเราอยู่ใกล้ ๆ คนอื่น ๆ จัก
ถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อย ๆ ด้วยความดีใจนั้น
แล ตกกลางคืนเธอทั้งสองนั้นจำวัดหลับไม่เต็มตื่น ครั้นเวลาเช้า พระ-
เมตติยะและพระภุมมชกะ ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรและจีวรเดิน-
เข้าไปยังนิเวศน์ของกัลยาณภัตติกคหบดี
หญิงคนใช้นั้นได้แลเห็นพระเมตติยะและพระภุมมชกะ กำลังเดิน
มาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงปูอาสนะถวายที่ซุ้มประตู แล้วกล่าวว่า นิมนต์นั่ง
เจ้าค่ะ
จึงพระเมตติยะและพระภุมมชกะนึกว่า ภัตตาหารจะยังไม่เสร็จเป็น
แน่ เขาจึงให้เรานั่งพักที่ซุ้มประตูก่อน

451
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 452 (เล่ม 3)

ขณะนั้นหญิงคนใช้นำอาหารปลายข้าว ซึ่งมีผักดองเป็นกับ เข้าไป
ถวาย กล่าวอาราธนาว่า นิมนต์ฉันเถิด เจ้าค่ะ
พ. น้องหญิง พวกฉันเป็นพระรับฉันนิจภัต จ้ะ
ญ. ดิฉันทราบแล้วเจ้าค่ะว่า พระคุณเจ้าเป็นพระรับฉันนิจภัต แต่
เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีได้สั่งดิฉันไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะ
ไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ด้วยปลาย
ข้าว มีน้ำส้มเป็นกับดังนี้ นิมนต์ฉันเถิด เจ้าค่ะ
จึงพระเมตติยะและพระภุมมชกะปรึกษากันว่า อาวุโส เมื่อวานนี้
เอง ท่านคฤหบดีไปสู่อารามในสำนักพระทัพพมัลลบุตร พวกเราคงถูก
พระทัพพมัลลบุตรยุยงในสำนักคหบดีเป็นแน่นอนทีเดียว เพราะความ
เสียใจนั้นแล เธอทั้งสองรูปนั้นฉันไม่ได้ดังใจนึก ครั้นกลับจากบิณฑบาต
ถึงอารามในเวลาหลังอาหาร เก็บบาตรและจีวรแล้ว นั่งรัดเข่าด้วยผ้า
สังฆาฎิอยู่ภายนอกซุ้มประตูอาราม นิ่งอั้น เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า
ซบเซา ไม่พูดจา
เรื่องภิกษุณีแมตติยา
[๕๔๔] ครั้งนั้นแล ภิกษุณีเมตติยาเข้าไปหาพระเมตติยะและ
พระภุมมชกะถึงสำนัก ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ
เมื่อนางกล่าวอย่างนั้นแล้ว พระเมตติยะและพระภุมมชกะก็มิได้
ทักทายปราศรัย นางจึงกล่าวว่า ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ เป็นครั้งที่สอง แม้
ครั้งที่สอง พระเมตติยะและพระภุมมชกะก็มิได้ทักทายปราศรัย นางจึง
ได้กล่าวอีกเป็นครั้งที่สามว่า ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ แม้ครั้งที่สาม พระเมตติยะ
และพระภุมมชกะก็มิได้ทักทายปราศรัย

452
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 453 (เล่ม 3)

ภิกษุณีเมตติยาถามว่า ดิฉันผิดอย่างไรต่อพระคุณเจ้า ๆ ไม่ทักทาย
ปราศรัยกับดิฉัน เพื่อประสงค์อะไร
ภิกษุทั้งสองตอบว่า ก็จริงอย่างนั้นแหละ น้องหญิง พวกเราถูก
พระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ เธอยังเพิกเฉยได้
เม. ดิฉันจะช่วยเหลืออย่างไร เจ้าคะ
ภิ. น้องหญิง ถ้าเธอเต็มใจช่วย วันนี้แหละพระผู้มีพระภาคเจ้า
ต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก
เม. ดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันสามารถจะช่วยเหลือได้ด้วยวิธีไหน
ภิ. มาเถิด น้องหญิง เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ ครั้นแล้วจงกราบทูลอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิด
เม้น ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย
ีมีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้ กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉัน
ถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธ
เจ้าข้า
ภิกษุณีเมตติยา รับคำพระเมตติยะและพระภุมมชกะว่า ตกลงเจ้าคะ
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคมแล้ว ได้
ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่งกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่มิดเม้น
ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มี
จัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉัน
ถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
[๕๔๕] ลำดับนั้น พระผู้พระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ใน

453