หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 414 (เล่ม 3)

๓ ศอก หรือหย่อน ๓ ศอก เป็นที่ซึ่งเตียงที่ได้ขนาดหมุนไปข้างโน้น
ข้างนี้ไม่ได้, กุฎีนี้ไม่ถึงการนับว่า กุฎี. เพราะฉะนั้น กุฎีแม้นี้ ก็สมควร;
แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวกุฎีกว้าง ๔ ศอกไว้โดยกำหนดอย่างต่ำ. ต่ำกว่า
กุฎีกว้าง ๔ ศอกนั้น ไม่จัดว่าเป็นกุฎี; ก็กุฎีถึงได้ประมาณ แต่สงฆ์ยัง
ไม่ได้แสดงที่ให้ก็ดี มีผู้จองไว้ก็ดี ไม่มีชานเดินโดยรอบก็ดี ไม่ควร.
กุฎีได้ประมาณ สงฆ์แสดงที่ให้แล้ว ไม่มีผู้จองไว้ มีชานเดินได้รอบ
จึงควร.
ภิกษุเมื่อจะสร้างกุฎีต่ำกว่าประมาณก็ดี กุฎีมีประมาณ ๔-๕ ศอกก็ดี
พึงสร้างให้เป็นกุฎีมีที่อันสงฆ์แสดงให้แล้วเท่านั้น. ก็แลเมื่อภิกษุทำให้
ล่วงประมาณไป ต้องครุกาบัติ ในเวลาฉาบเสร็จ. ในอธิการแห่งการ
สร้างกุฎีให้ล่วงประมาณนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบการฉาบ การไม่ฉาบ
โอกาสควรฉาบ และโอกาสไม่ควรฉาบ.
คือ อย่างไร ? คือ ที่ชื่อว่าการฉาบนั้น ได้แก่การฉาบ ๒ อย่าง
คือ การฉาบด้วยดินเหนียว ๑ การฉาบด้วยปูนขาว ๑ ก็ยกเว้นการฉาบ
๒ อย่างนี้เสีย การฉาบที่เหลือ มีชนิดฉาบด้วยเถ้าและโคมัยเป็นต้น
ไม่จัดเป็นการฉาบ. ถ้าแม้นมีการฉาบด้วยโคลน ก็ไม่จัดเป็นการฉาบ
เหมือนกัน.
ที่ชื่อว่า โอกาสควรฉาบนั้น ได้แก่จำพวกฝาผนัง และหลังคา.
ก็โอกาสไม่ควรฉาบที่เหลือ ยกเว้นฝาและหลังคาเสีย มีเสา คาน บาน-
ประตู หน้าต่าง และปล่องควันเป็นต้น แม้ทั้งหมด พึงทราบว่า โอกาส
ไม่ควรฉาบ.

414
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 415 (เล่ม 3)

[ว่าด้วยพื้นที่ควรสร้างกุฏีและไม่ควรสร้าง]
ข้อว่า ภิกฺขู อภิเนตพฺพา วตฺถุเทสนาย มีความว่า อันภิกษุ
ผู้จะสร้าง พึงนำภิกษุทั้งหลายไป เพื่อประโยชน์แก่การแสดงที่ให้ในที่
ซึ่งตนต้องการจะให้สร้างกุฏี.
ก็คำว่า เตน กุฏีการเกน เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
เพื่อทรงแสดงวิธีที่จะพึงนำภิกษุเหล่านั้นไปเพื่อแสดงที่สร้าง.
บรรดาบทเหล่านั้นด้วยคำว่า กุฏีวตฺถุํ โสเธตฺวา พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงว่า ภิกษุผู้สร้างกุฎี อย่าพึงนำภิกษุทั้งหลายไปสู่ป่ามีพื้น
ที่ไม่เสมอ พึงให้ชำระที่สร้างกุฎีก่อน ปราบพื้นที่ให้เรียบเสมอเช่นกับ
มณฑลสีมาแล้ว ภายหลังเข้าไปหาสงฆ์ขอแล้วจึงพาไป.
สองบทว่า เอวมสฺส วจนีโย มีความว่า สงฆ์ควรเป็นผู้อันภิกษุ
นั้นพึงบอกอย่างนี้,. แต่ข้างหน้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงภิกษุ
หลายรูป ตรัสพหุวจนะว่า ทุติยมฺปิ ยาจิตพฺพา.
คำว่า สเจ สพฺโพ สงฺโฆ น อุสฺสหติ มีความว่า ถ้าสงฆ์
ทั้งปวงไม่ปรารถนา คือ ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ขวนขวายในกิจ มีการ
สาธยายและมนสิการเป็นต้น.
สองบทว่า สารมฺภํ อนารมฺภํ ได้แก่ มีเหตุขัดข้อง ไม่มีเหตุ
ขัดข้อง.
สองบทว่า สปริกฺกมนํ อปริกฺกมนํ ได้แก่ มีชานรอบ ไม่มี
ชานรอบ.
บทว่า ปตฺตกลฺลํ มีความว่า เวลาแห่งการตรวจดูนี้ถึงแล้ว; เพราะ
เหตุนั้น จึงชื่อว่ามีกาลถึงแล้ว. ปัตตกาลนั้นแล ข้อว่า ปัตตกัลลัง.

415
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 416 (เล่ม 3)

ก็แลอปโลกนกรรมนี้ ถึงจะอปโลกน์ทำ โดยนัยแห่งการสวดประกาศ
สมมติกรรม เพื่อต้องการตรวจดูพื้นที่ ก็ควร. แต่ต่อไปข้างหน้ากรรม
ที่ทำในการแสดงพื้นที่ ควรทำด้วยญัตติ และอนุสาวนาตามที่กล่าวแล้ว
เท่านั้น. จะอปโลกน์ทำไม่ควร.
บทว่า กิปิลิกานํ มีความว่า แห่งมดทั้งหลาย มีชนิดเป็นมดแดง
มดดำและมดเหลืองเป็นต้น ชนิดใดชนิดหนึ่ง. ปาฐะว่า กปีลกานํ ก็มี.
บทว่า อาสโย แปลว่า สถานที่อยู่ประจำ. และพึงทราบที่อาศัย
คือ ที่อยู่ประจำแม้ของพวกสัตว์เล็ก มีตัวปลวกเป็นต้น เหมือนของ
พวกมดฉะนั้น, แต่พวกสัตว์เล็ก มีมดแดงเป็นต้นนั้น มาเพื่อต้องการ
หาเหยื่อในที่ใดแล้วไป, ประเทศที่สัญจรเช่นนั้น แม้ของสัตว์ทุก
จำพวก ท่านไม่ห้าม. เพราะฉะนั้น การถางต้นไม้เป็นต้นในโอกาสนั้น
ออกปราบให้เตียนแล้วสร้าง ควรอยู่. ที่ ๖ สถานเหล่านี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าห้ามไว้ก่อน เพราะความเอ็นดูสัตว์.
บทว่า หตฺถีนํ วา มีความว่า สถานที่อยู่ประจำก็ดี สถานที่
หากินประจำก็ดี ของช้างโขลง ย่อมไม่สมควร. ที่อาศัยของสัตว์ร้าย
มีสีหะเป็นต้นก็ดี ทางเดินประจำของพวกสัตว์ร้ายมีสีหะเป็นต้น ที่หลีก
ไปหาเหยื่อก็ดี ไม่สมควร. แต่ท่านมิได้หมายเอาพื้นที่เป็นที่เที่ยวไปแห่ง
สัตว์ร้ายเหล่านั่น.
สองบทว่า เยสํ เกสญฺจิ มีความว่า แห่งสัตว์ดิรัจฉานที่ดุร้าย
แม้จำพวกอื่น. ที่ ๗ สถานเหล่านี้ เป็นที่มีภัยเฉพาะหน้า ทรงห้ามไว้
เพื่อประโยชน์แก่ความปลอดจากอันตรายแห่งภิกษุทั้งหลาย. สถานที่เหลือ
เป็นสถานที่มีเหตุขัดข้องด้วยเหตุขัดข้องต่าง ๆ.

416
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 417 (เล่ม 3)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺพนฺนนิสฺสิตํ มีความว่า อันอาศัย
นาบุพพัณชาติ คือตั้งอยู่ใกล้เคียงนาเพราะปลูกธัญชาติ ๗ ชนิด. แม้
ในบทว่า อปรนฺนนิสฺสิตํ เป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แต่ในบทว่า
อปรนฺนนิสฺสิตํ เป็นต้นนี้ ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายมีกุรุนที
เป็นต้นว่า ที่ชื่อว่า ตะแลงแกง นั้น ได้แก่เรือนของเจ้าพนักงาน คือ
เรือนของคนมีเวร ที่เขาสร้างไว้ เพื่อใช้เป็นที่ฆ่าพวกโจร.
พื้นที่ลงอาชญาคนผิด มีการตัดมือและเท้าเป็นต้น เรียกว่า ที่
ทรมานนักโทษ. ป่าช้าใหญ่ ท่านเรียกว่า สุสาน. ทางที่คนจะต้องเดิน
ผ่านไป คือ ทางไปมา ท่านเรียกว่า ทางสัญจร. บทที่เหลือชัดเจน
ทั้งนั้น.
[ว่าด้วยลักษณะการสร้างกุฎี]
ข้อว่า น สกฺกา โหติ ยถายุตฺเตน สกเฏน มีความว่า เป็น
ที่อันเกวียนซึ่งเทียมด้วยโคถึก ๒ ตัว ไม่อาจจะจอดล้อข้างหนึ่งไว้ในที่น้ำ
ตกจากชายคา ล้อข้างหนึ่งไว้ข้างนอกแล้วเวียนไปได้. แต่ในกุรุนทีกล่าว
ว่า เทียมด้วยโคถึก ๔ ตัว ก็ดี.
หลายบทว่า สมนฺตา นิสฺเสณิยา อนุปริคนฺตุํ มีความว่า เป็น
ที่ซึ่งคนทั้งหลายผู้ยืนมุงเรือนอยู่ที่บันได หรือพะอง ไม่อาจเวียนไปโดย
รอบด้วยบันได หรือพะองได้, ในที่มีผู้จองไว้และไม่มีชานรอบ เห็นปานนี้
ดังกล่าวมาฉะนี้ ไม่ควรให้สร้างกุฎี. แค่ควรให้สร้างในที่ไม่มีผู้จองไว้
และมีชานรอบ.

417
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 418 (เล่ม 3)

สองบท (ว่า อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ) นั้น มาแล้วในพระบาลี
นั่นแล โดยปฏิปักขนัยแห่งคำกล่าวแล้ว. คำเป็นต้นอย่างนี้ว่า สํยาจิกา
นาม พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสซ้ำเพื่อประกาศเนื้อความแห่งคำว่า สํยาจิกา
เป็นต้น ที่ตรัสไวอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุสร้างกุฎีด้วยอาการขอมาเอง ในพื้น
ที่มีผู้จองไว้ ไม่มีชานรอบ.
สองบทว่า ปโยเค ทุกฺกฏํ มีความว่า ภิกษุดำริว่า เราจักให้
สร้างกุฎีที่สงฆ์ไม่แสดงที่ให้ หรือให้ล่วงประมาณ โดยนัยดังตรัสไว้ในบาลี
อย่างนี้ แล้วลับมีด หรือขวานเพื่อต้องการนำไม้มาจากป่า เป็นทุกกฏ.
เข้าสู่ป่า เป็นทุกกฏ. ตัดหญ้าสดในป่านั้น เป็นปาจิตตีย์พร้อมด้วยทุกกฏ.
ตัดหญ้าแห้ง เป็นทุกกฏ. แม้ในต้นไม้ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน .
ประโยคตั้งแต่ต้นอย่างนี้ คือ ภิกษุถางพื้นที่, ขุด โกยดิน วัด
เป็นต้นไป จนถึงปักผัง (ผูกแผนผัง) ชื่อว่า บุพประโยค. ในบุพ-
ประโยคนี้ ทุก ๆ แห่ง ในฐานะแห่งปาจิตตีย์ เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ
ในฐานะแห่งทุกกฏ เป็นเพียงทุกกฏ. จำเดิมแต่ปักผังนั้นไป ชื่อว่า
สหประโยค.
ในสหประโยคนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- ในกุฎีที่พึงสร้างด้วยเสาหลาย
ต้น ภิกษุให้ยกเสาต้นแรกในกุฎีนั้น เป็นทุกกฏ. ในกุฎีที่พึงก่อด้วยอิฐ
หลายก้อน ภิกษุก่ออิฐก้อนแรก เป็นทุกกฏ. ภิกษุประกอบเครื่อง
อุปกรณ์ใด ๆ เข้าด้วยอุบายยอย่านี้. เป็นทุกกฏ ทุกประโยคแห่งการ
ประกอบเครื่องอุปกรณ์นั้น . เมื่อถากไม้ เป็นทุกกฏทุก ๆ ครั้งที่ยกมือ,
เมื่อไปเพื่อต้องการถากไม้นั้นเป็นทุกกฏทุก ๆ ย่างเท้า.

418
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 419 (เล่ม 3)

ก็เมื่อภิกษุคิดว่า เราจักฉาบกุฎีฝาผนังไม้ หรือฝาผนังศิลา หรือ
ฝาผนังอิฐ ชั้นที่สุดแม้บรรณศาลา พร้อมทั้งฝาและหลังคาที่สร้างแล้ว
อย่างนี้ แล้วฉาบด้วยปูนขาว หรือดินเหนียวเป็นทุกกฏทุก ๆ ประโยค,
เป็นทุกกฏ ตลอดเวลาที่ยังไม่เป็นถุลลัจจัย. แต่ทุกกฏนี้ ขยายเพิ่มขึ้น
ด้วยการฉาบมากครั้งเหมือนกัน. ไม่เป็นอาบัติ ในเพราะการระบายสีขาว
และสีแดงหรือในเพราะจิตรกรรม.
ข้อว่า เอกํ ปิณฺฑํ อนาคเต มีความว่า ในเมื่อการสร้างกุฎี
ยิ่งไม่ทันถึงก้อนปูนฉาบก้อนหนึ่ง ซึ่งเป็นก้อนหลังสุดแห่งเขาทั้งหมด
มีคำอธิบายว่า ในขณะที่ควรกล่าวได้ว่า กุฎีจักถึงความสำเร็จด้วย ๒ ก้อน
ในบัดนี้ ในบรรดา ๒ ก้อนนั้น เป็นถุลลัจจัยในการใส่ก้อนแรก.
ข้อว่า ตสฺมึ ปิณฺเฑ อาคเต มีความว่า ในเมื่อกุฎีกรรมยัง
ไม่ถึงก้อนหนึ่งอันใด เป็นถุลลัจจัย, เมื่อก้อนนั้นอันเป็นก้อนสุดท้าย
มาถึงแล้ว คือ อันภิกษุใส่แล้ว วางลงแล้ว ต้องสังฆาทิเสส เพราะการ
ฉาบเชื่อมกันแล้ว. และอันภิกษุผู้ฉาบอย่างนี้ เมื่อเชื่อมการฉาบด้านใน
ด้วยการฉาบด้านใน ทำให้ฝาและหลังคาเนื่องเป็นอันเดียวกัน หรือเมื่อ
เชื่อมการฉาบด้านนอกด้วยการฉาบด้านนอกแล้ว จึงเป็นสังฆาทิเสส
ก็ถ้าภิกษุยังไม่ตั้งทวารพันธ์ (กรอบประตู) หรือหน้าต่างเลย ฉาบ
ด้วยดินเหนียว, และเมื่อตั้งกรอบประตูและหน้าต่างนั้นแล้วจะขยายโอกาส
แห่งกรอบประตูและหน้าต่างนั้นใหม่ หรือไม่ขยายก็ตาม การฉาบยังไม่
เชื่อมกัน ยังรักษาอยู่ก่อน. แต่เมื่อฉาบใหม่พอเชื่อมกันก็เป็นสังฆา-
ทิเสส.

419
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 420 (เล่ม 3)

ถ้ากรอบประตูและหน้าต่างนั้น ที่ภิกษุติดตั้งไว้ ตั้งอยู่ติดต่อกัน
กับด้วยการฉาบที่ให้ไว้แต่แรกทีเดียว, เป็นสังฆาทิเสสตั้งแต่แรกเหมือน
กัน. เพื่อป้องกันปลวก จะฉาบฝาผนัง ไม่ให้ถึงหลังคาประมาณ ๘ นิ้ว
ไม่เป็นอาบัติ. เพื่อป้องกันปลวกเหมือนกัน จะทำฝาผนังหินภายใต้ ไม่
ฉาบฝานั้น ฉาบในเบื้องบน, การฉาบชื่อว่ายังไม่เชื่อมต่อกัน, ไม่เป็น
อาบัติเหมือนกัน.
ภิกษุทำหน้าต่างและปล่องไฟด้วยอิฐล้วน ในกุฎีฝาผนังอิฐ เป็น
อาบัติโดยเชื่อมด้วยการฉาบทีเดียว. ภิกษุฉาบบรรณศาลา, เป็นอาบัติ
โดยเชื่อมด้วยการฉาบเหมือนกัน, เพื่อต้องการแสงสว่างในบรรณศาลานั้น
จึงฉาบเว้นที่ไว้ประมาณ ๘ นิ้ว, การฉาบชื่อว่ายังไม่เชื่อมต่อกัน, ยังไม่
เป็นอาบัติเหมือนกัน.
ถ้าภิกษุทำในใจว่า เราได้หน้าต่างแล้ว จักตั้งตรงนี้ แล้วจึงทำ,
เมื่อติดตั้งหน้าต่างเสร็จแล้ว เป็นอาบัติโดยเชื่อมด้วยการฉาบ. ถ้าภิกษุ
ทำฝาผนังด้วยดินเหนียว, เป็นอาบัติในเพราะการเชื่อมกันกับด้วยการฉาบ
หลังคา. รูปหนึ่งพักให้เหลือไว้ก้อนหนึ่ง. อีกรูปอื่นเห็นหนึ่งก้อนที่ไม่ได้
ฉาบนั้น ทำในใจว่า นี้เป็นทุกกฏ จึงฉาบเสียด้วยมุ่งวัตร ไม่เป็นอาบัติ
ทั้งสองรูป.
[แก้อรรถนี้บทภาชนีย์ว่าด้วยจตุกกะทำให้เป็นอาบัติต่าง ๆ]
๓๖ จตุกกะมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกขุ กุฏี กโรติ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ เพื่อทรงแสดงชนิดแห่งอาบัติ. ใน ๓๖ จตุกกะนั้น พึงทราบ
อาบัติที่คละกันด้วยอำนาจแห่งทุกกฏและสังฆาทิเสสเหล่านี้ คือทุกกฏ

120
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 421 (เล่ม 3)

เพราะมีผู้จองไว้, ทุกกฏ เพราะไม่มีชานรอบ, สังฆาทิเสส เพราะทำ
ล่วงประมาณ, สังฆาทิเสส เพราะสงฆ์ไม่ได้แสดงที่สร้างให้.
ก็ในคำเป็นต้นว่า อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสสานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺก-
ฏานํ บัณฑิตพึงทราบใจความโดยนัยเป็นต้นว่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
พร้อมด้วยสังฆาทิเสส ๒ ตัว
ก็ในคำเป็นต้นว่า โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ มีอรรถวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้:-
บทว่า โส ได้แก่ ภิกษุผู้สั่งแล้วหลีกไปเสีย.
บทว่า วิปฺปกเต ได้แก่ เมื่อการสร้างกุฎียังไม่เสร็จ.
สองบทว่า อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา มีความว่า พึงสละให้แก่บุคคล
อื่น หรือแก่สงฆ์.
สองบทว่า ภินฺทิตวา วา ปุน กาตพฺพา มีความว่า กุฎีจัดว่าเป็น
อันรื้อแล้ว ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร ? ถ้าเสาฝังลงที่พื้นดิน พึงถอนขึ้น.
ถ้าตั้งไว้บนหิน พึงนำออกเสีย. พึงรื้อผนังแห่งกุฎีที่ก่ออิฐออกเสีย จน
ถึงอิฐมงคล (ศิลาฤกษ์). โดยสังเขป กุฎีที่ถูกพังลงให้เรียบเสมอพื้น
ย่อมจัดว่าเป็นอันรื้อแล้ว เหนือพื้นดินขึ้นไป เมื่อยังมีฝาผนังเหลืออยู่
แม้ประมาณ ๔ นิ้ว กุฎีจัดว่ายังไม่ได้รื้อเลย คำที่เหลือในทุก ๆ จตุกกะ
ปรากฏชัดแล้วทั้งนั้น แท้จริง ในจตุกกะทั้งปวงนี้ ไม่มีคำอะไรอื่นที่จะ
พึงรู้ได้ยาก ตามแนวแห่งพระบาลีเลย.
ก็ในคำว่า อตฺตนา วิปฺปกตํ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:- ที่ชื่อว่า
ยังกุฎีที่ตนริเริ่มไว้ให้สำเร็จลงด้วยตนเอง คือ เมื่อภิกษุใส่ก้อนสุดท้าย

421
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 422 (เล่ม 3)

เข้าในกุฎีที่คนมีความประสงค์จะให้ถึงความเป็นของสร้างแล้วเสร็จด้วยดิน-
เหนียวจำนวนมาก หรือด้วยดินเหนียวผสมแกลบ ชื่อว่าให้สำเร็จลง.
สองบทว่า ปเรหิ ปริโยสาเปติ มีความว่า ใช้คนเหล่าอื่นทำ ให้
สำเร็จ เพื่อประโยชน์แก่ตน
ในคำนี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ว่า ก็กุฎีอันตนเอง หรืออันคน
เหล่าอื่น หรือว่าทั้งสองฝ่าย ทำค้างไว้ก็ตามที, ก็แล ภิกษุยังกุฎีนั้นให้
สำเร็จด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้คนอื่นทำให้สำเร็จก็ดี ใช้คนที่รวมเป็นคู่ คือ
ตนเองและคนเหล่าอื่นสร้างให้สำเร็จก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตน เป็นสังฆา-
ทิเสสทั้งนั้น.
แต่ในกุรุนที ท่านกล่าวว่า ภิกษุ ๒-๓ รูป รวมกันทำกล่าวว่า
พวกเราจักอยู่, ยังรักษาอยู่ก่อน, ยังไม่เป็นอาบัติ เพราะยังไม่แจกกัน,
แจกกันว่า ที่นี่ของท่าน แล้วช่วยกันทำ, เป็นอาบัติ, สามเณรกับภิกษุ
ร่วมกันทำ, ยังรักษาอยู่ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้แบ่งกัน, แจกกันโดยนัยก่อน
แล้วช่วยกันทำ เป็นอาบัติแก่ภิกษุ ดังนี้.
[อนาปัตติวารวรรณนา]
ในคำว่า อนาปตฺติ เลเณ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:- ไม่เป็นอาบัติ
แก่ภิกษุผู้กระทำถ้ำแม้ให้ใหญ่ เพราะการฉาบในถ้ำนี้ไม่เชื่อมต่อกัน.
สำหรับภิกษุผู้กระทำแม้คูหา คือ คูหาก่ออิฐก็ดี คูหาศิลาก็ดี คูหาไม้ก็ดี
คูหาดินก็ดี แม้ให้ใหญ่ก็ไม่เป็นอาบัติ.
บทว่า ติณกุฎีกาโย มีความว่า ปราสาทแม้มีพื้น ๗ ชั้น แต่
หลังคามุงด้วยหญ้าและใบไม้ ท่านก็เรียกว่า กุฎีหญ้า. แต่ในอรรถกถา

422
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 423 (เล่ม 3)

ทั้งหลาย ท่านเรียกกุฎีที่เขาทำหลังคาให้ประสานกันดุจตาข่าย ด้วยไม้
ระแนงทั้งหลายย แล้วมุงด้วยพวกหญ้าหรือใบไม้นั้นแลว่า เรือนเล้าไก่
ไม่เป็นอาบัติในเพราะกุฎีที่เขามุงแล้วนั่น. จะกระทำเรือนหลังคามุงหญ้า
แม้ให้ใหญ่ ก็ควร เพราะว่าภาวะมีการโบกฉาบปูนภายในเป็นต้นเป็น
ลักษณะแห่งกุฎี. และภาวะมีโบกฉาบปูนภายในเป็นต้นนั้น บัณฑิตพึง
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงหลังคาเท่านั้น.
ก็คำว่า หญ้าและใบไม้แห่งโรงจงกรมพังลง... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
เราอนุญาตเพื่อกำหนดทำการโบกฉาบปูนทั้งภายในและภายนอก เป็นต้น
เป็นเครื่องสาธกในกุฎีหญ้านี้. เพราะฉะนั้น เรือนหลังใด มีปีกสองข้าง
หรือติดยอด กลม หรือ ๔ เหลี่ยมจตุรัสเป็นของที่เขาสร้างโดยสังเขปว่า
นี้เป็นหลังคาของเรือนหลังนี้ เมื่อการฉาบเชื่อมติดต่อกันกับด้วยการฉาบ
ฝาผนังของเรือนหลังนั้นแล้ว เป็นอาบต. ก็ถ้าว่าภิกษุทั้งหลายมุงด้วย
หญ้าข้างบน เพื่อรักษาเครื่องฉาบของเรือนที่มีหลังคาโบกฉาบปูนไว้ทั้ง
ภายในและภายนอก ไม่ชื่อว่าเป็นกุฎีหญ้า ด้วยอาการเพียงเท่านี้.
ถามว่า ก็ในกุฎีหญ้านี้ ไม่เป็นอาบัติ เพราะสงฆ์ไม่ได้แสดงที่ให้
และทำล่วงประมาณเป็นปัจจัยเท่านั้น หรือว่า แม้เพราะมีผู้จองไว้และ
ไม่มีชานรอบเป็นปัจจัยเล่า ?
ตอบว่า ไม่เป็นอาบัติ แม้ในทุก ๆ กรณี.
จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงกุฎีเช่นนี้ จึงตรัสไว้
ในคัมภีร์ปริวารว่า

423