หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 404 (เล่ม 3)

เบี้ยเลี้ยง โดยการขาดมูลก็ดี สมควรทุกอย่าง และเมื่อจะนำของมาจากป่า
ควรให้นำของทั้งหมดที่ใคร ๆ ไม่ได้คุ้มครอง (ไม่หวงแหน) มา.
อนึ่ง มิใช่แต่ประสงค์จะสร้างปราสาทอย่างเดียว แม้ประสงค์จะ
ให้ทำเตียงตั่งบาตร ธมกรกกรองน้ำ และจีวรเป็นต้น ก็พึงให้นำมา,
ได้ไม้ โลหะ และด้ายเป็นต้นแล้ว เข้าไปหาพวกช่างศิลป์นั้น ๆ พึง
ขอหัตถกรรมโดยนัยดังกล่าวนั่นแล. และสิ่งของแม้ที่ตนได้มาด้วยอำนาจ
แห่งการขอหัตถกรรมก็ดี ด้วยการเพิ่มให้ค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยงโดยการขาด
มูลก็ดี พึงรับเอาทั้งหมด.
ก็ ถ้าพวกคนงานไม่ปรารถนาจะทำ, เกี่ยงเอาค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยง,
ของเป็นอกัปปิยะมีเหรียญกษาปณ์เป็นต้น ไม่ควรให้. จะแสวงหา
ข้าวสารเป็นต้น ด้วยภิกขาจารวัตรให้ ควรอยู่.
ภิกษุให้ช่างบาตรทำบาตรด้วยอำนาจแห่งหัตถกรรมแล้ว ให้ระบม
ทำนองเดียวกันนั้นแล้ว เข้าไปยังภายในบ้าน เพื่อต้องการน้ำมันชโลม
บาตรที่ระบมใหม่ เมื่อชาวบ้านเข้าใจว่า มาเพื่อภิกษา แล้วนำข้าวต้ม
หรือข้าวสวยมา (ถวาย) พึงเอามือปิดบาตร. ถ้าอุบาสิกาถามว่า ทำไม
เจ้าค่ะ ! ภิกษุพึงบอกว่า บาตรระบมใหม่ ต้องการน้ำมันสำหรับทา.
ถ้าอุบาสิกานั้นกล่าวว่า โปรดให้บาตรเถิด เจ้าค่ะ ! แล้วรับบาตรไปทา
น้ำมัน บรรจุข้าวต้ม หรือข้าวสวยให้เต็มแล้วถวาย, ไม่ชื่อว่า เป็นวิญญัติ
จะรับควรอยู่ฉะนี้แล.
พวกภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตแต่เช้ามืด ไปถึงหอฉันไม่เห็นที่นั่ง
ยืนคอยอยู่. ถ้าที่หอฉันนั้น พวกอุบาสิกาเห็นพวกภิกษุยืนอยู่ ช่วยกัน
ให้นำที่นั่งมาเอง. พวกภิกษุผู้นั่งแล้ว เมื่อจะไป พึงบอกลาก่อนแล้ว

404
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 405 (เล่ม 3)

จึงไป. เมื่อพวกภิกษุไม่บอกลาก่อนแล้วไป ของหาย ไม่เป็นสินใช้.
แต่การบอกลาแล้วไป เป็นธรรมเนียม.
ถ้าอาสนะเป็นของที่ชาวบ้านซึ่งภิกษุทั้งหลายสั่งว่า พวกท่านจง
นำอาสนะมา จึงนำมาให้; ภิกษุทั้งหลายต้องบอกลาแล้วจึงไป. เมื่อ
พวกภิกษุไปไม่บอกลา เป็นการเสียธรรมเนียม และของหาย เป็นสินใช้
ด้วย; แม้ในพรมสำหรับปูลาด ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน .
แมลงหวี่มีชุมมาก พึงกล่าวว่า จงเอาพัดปัดแมลงหวี่. พวก
ชาวบ้านนำกิ่งสะเดาเป็นต้นมาให้ พึงให้ทำกัปปิยะก่อน แล้วจึงรับ.
ภาชนะน้ำที่หอฉันว่างเปล่า ไม่ควรกล่าวว่า จงนำธมกรกมา. เพราะ
เมื่อหย่อนธมกรกลงไปในภาชนะว่างเปล่า จะพึงทำภาชนะแตก. แต่
จะไปยังแม่น้ำ หรือบึง แล้วกล่าวว่า จงนำน้ำมา ควรอยู่ จะกล่าวว่า
จงนำมาจากเรือน ก็ไม่ควรเหมือนกัน. อยู่บริโภคน้ำที่เขานำมาให้.
ภิกษุทั้งหลายผู้ทำภัตกิจที่หอฉัน หรือเสนาสนะป่าก็ดี ใบไม้หรือ
ผลไม้ที่ควรกินเป็นกับแกล้มอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีคนหวงห้ามเกิดใน
ที่นั้น ถ้าพวกเธอจะให้คนทำงานบางอย่างนำมา ควรจะให้นำมาด้วย
อำนาจแห่งหัตถกรรมแล้วฉัน, แต่ไม่ควรใช้พวกภิกษุ หรือสามเณรผู้เป็น
อลัชชีให้ทำหัตถกรรม, ในเรื่องปุริสัตถกร (แรงงานคน) มีนัยเท่านี้ก่อน.
แต่การที่ภิกษุจะให้นำโคมาจากสถานที่แห่งคนผู้มีใช่ญาติ และมิใช่
ปวารณา ย่อมไม่ควร. เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ให้นำมา. จะขอโดยขาด
มูลค่าแม้จากสถานที่แห่งญาติและคนปวารณา ก็ไม่ควร. จะขอโดยนัย
ของขอยืม ควรทุกแห่ง. และพึงรักษาบำรุงโคที่ให้นำมาแล้วอย่างนี้
*อตฺถโยชนา ๑/๔๕๔ มจฺฉิกาติ มกฺขากา. มกฺขิกาติปิ อตฺถิ.

405
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 406 (เล่ม 3)

เสร็จแล้วพึงมอบให้เจ้าของรับมันคืนไป. ถ้าเท้าหรือเขาของมันแตกหัก
หรือเสียไป, ถ้าเจ้าของยอมรับมันคืนไป, การยินยอมรับนั่นอย่างนั้นเป็น
การดี, ถ้าเจ้าของไม่ยอมรับ. เป็นสินใช้. ถ้าหากเจ้าของกล่าวว่า พวก
ผมถวายท่านเลย ไม่ควรรับ. แต่เมื่อเจ้าของกล่าวว่า พวกผมถวายวัด
พึงกล่าวว่า พวกท่านจงบอกแก่บุคคลผู้ทำการวัด เพื่อประโยชน์แก่การ
เลี้ยงดูมัน. จะกล่าวกะพวกคนที่มิใช่ญาติ และไม่ได้ปวารณาว่า พวก
ท่านจงถวายเกวียน ดังนี้ก็ดี ไม่ควร. ย่อมเป็นวิญญัติแท้ คือต้อง
อาบัติทุกกฏ. แต่ในฐานแห่งญาติและคนปวารณา ควรอยู่. ของขอยืม
ก็ควร. ทำการงานเสร็จแล้วพึงคืนให้. ถ้ากงเป็นต้นแตกไป พึงกระทำ
ให้เหมือนเดิม แล้วให้คืน. เมื่อเสียหาย เป็นสินใช้. เมื่อเจ้าของกล่าวว่า
พวกผมถวายท่านเลย ธรรมดาว่าเครื่องไม้ควรจะรับไว้. ในมีด ขวาน
ผึ่ง จอบ และสิ่วก็ดี ในพฤกษชาติ มีเถาวัลย์เป็นต้นก็ดี ที่เจ้าของ
หวงแหน ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ก็ในพวกพฤกษชาติมีเถาวัลย์เป็นต้น ที่
พอเป็นครุภัณฑ์ได้เท่านั้น จึงเป็นวิญญัติ ต่ำกว่านั้นหาเป็นไม่.
แต่ภิกษุจะให้นำเอาของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่มีคนหวงห้ามมา ควรอยู่.
เพราะว่า ในที่มีคนรักษาคุ้มครองเท่านั้น ท่านเรียกว่า วิญญัติ. วิญญัติ
นั้น ย่อมไม่ควรในปัจจัยทั้งสอง (คือ จีวรและบิณฑบาต) โดยประการ
ทุกอย่าง. แต่ในเสนาสนปัจจัย เพียงแต่ออกปากขอว่า ท่านจงนำมา
จงให้ เท่านั้น ไม่ควร. ปริกถา โอภาส และนิมิตตกรรม ควร.
บรรดาปริกถา โอภาส และนิมิตตกรรมนั้น คำพูดของภิกษุ
ผู้ต้องการโรงอุโบสถ หอฉัน หรือเสนาสนะอะไร ๆ อื่น โดยนัยเป็นต้น ว่า
การสร้างเสนาสนะเห็นปานนี้ ในโอกาสนี้ ควรหนอ หรือว่าชอบหนอ

406
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 407 (เล่ม 3)

หรือสมควรหนอ ดังนี้ ชื่อว่า ปริกถา. ภิกษุถามว่า อุบาสก ! พวก
ท่านอยู่ที่ไหน ? พวกอุบาสกตอบว่า ที่ปราสาท ขอรับ ! พูดต่อไปว่า
ก็ปราสาทไม่ควรแก่ภิกษุทั้งหลายหรือ อุบาสก ! คำพูดมีอาทิอย่างนี้
ชื่อว่า โอภาส. ก็การกระทำมีอาทิอย่างนี้ คือภิกษุเห็นพวกชาวบ้านแล้ว
ขึงเชือก ให้ตอกหลัก เมื่อพวกชาวบ้านถามว่า นี้ให้ทำอะไรกัน ขอรับ ?
ตอบว่า พวกอาตมาจะสร้างที่อยู่อาศัยที่นี้ ชื่อว่า นิมิตตกรรม. ส่วน
ในคิลานปัจจัย แม้วิญญติก็ควร จะป่วยกล่าวไปไยถึงปริกถาเป็นต้นเล่า.
คำว่า มนุสฺสา อุปทฺทุตา ยาจนาย อุปทฺทุตา วิญฺญตฺติยา
มีความว่า พวกชาวบ้านถูกบีบคั้นด้วยการขอร้อง และด้วยการออกปาก
ขอนั้นของภิกษุเหล่านั้น.
บทว่า อุพฺภิชฺชนฺติปิ มีความว่า ย่อมได้รับความหวาดสะดุ้ง คือ
ไหว หวั่นไปว่า จักให้นำอะไรไปให้หนอ ?
บทว่า อุตฺตสนฺติปิ มีความว่า พบภิกษุเข้า ก็พลันสะดุ้งชะงัก
ไปเหมือนพบงูฉะนั้น.
บทว่า ปลายนฺติปิ มีความว่า ย่อมหนีไปเสียแต่ไกล โดยทางใด
ทางหนึ่ง.
สองบทว่า อญฺเญนปิ คจฺฉนฺติ มีความว่า ละทางที่ภิกษุเดินไป
เสีย แล้วกลับเดินมุ่งไปทางซ้าย หรือทางขวา. ปิดประตูเสียบ้างก็มี.
[แก้อรรถศัพพ์ในเรี่องมณีกัณฐนาคราช]
สองบทว่า ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเว เป็นต้น มีความว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ครั้นทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นด้วยประการฉะนี้ และตรัสธรรมี-

407
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 408 (เล่ม 3)

กถาให้สมควรแก่เรื่องราวนั้นแล้ว เมื่อจะทรงทำโทษแห่งวิญญัติให้
ปรากฏชัดแม้อีก จึงทรงแสดง ๓ เรื่องนี้ โดยนัยเป็นต้นว่า ภูตปพฺพํ
ภิกฺขเว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มณิกณฺโฐ มีความว่า ได้ยินว่า
พญานาคนั้นประดับแก้วมณีมีค่ามาก ซึ่งอำนวยให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่าง
ไว้ที่คอ เที่ยวไป ; เพราะฉะนั้น จึงปรากฎนามว่า มณิกัณฐนาคราช.
คำว่า อุปริมุทฺธนิ มหนฺตํ ผณํ อฏฺฐาสิ มีความว่า ได้ยินว่า
บรรดาฤษีทั้ง ๒ นั้น ฤษีผู้น้องนั้น เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา; เพราะ
เหตุนั้น พญานาคนั้นจึงขึ้นมาจากแม่น้ำ นิรมิตเพศเป็นเทวดานั่งในสำนัก
แห่งฤษีนั้น กล่าวสันโมทนียกถา ละเพศเทวดานั้นแล้ว กลับกลาย
เป็นเพศเดิมของตนนั้นแล วงล้อมฤษีนั้น เมื่อจะทำอาการเลื่อมใส จึง
แผ่พังพานใหญ่เบื้องบนศีรษะแห่งฤษีนั้น ดุจกั้นร่มไว้ยับยั้งอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
แล้วจึงหลีกไป. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ได้ยืน
แผ่พังพานใหญ่ไว้ ณ เบื้องบนศีรษะ ดังนี้.
ข้อว่า มณิมสฺส กณฺเฐ ปิลนฺธนํ มีความว่า ซึ่งแก้วมณีอัน
พญานาคนั้นประดับไว้ คือ สวมไว้ที่คอ.
สองบทว่า เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิ มีความว่า พญานาคนั้นมาแล้ว
โดยเพศเทวดานั้น ชื่นชมอยู่กับดาบส ได้ยืนอยู่ ณ ประเทศหนึ่ง.
บทว่า มนฺนปานํ ได้แก่ ข้าวและน้ำของเรา.
บทว่า วิปุลํ ได้แก่ มากมาย.
บทว่า อุฬารํ ได้แก่ ประณีต.

408
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 409 (เล่ม 3)

บทว่า อติยาจโกสิ ได้แก่ เป็นผู้ขอจัดเหลือเกิน. มีคำอธิบายว่า
ท่านเป็นคนขอซ้ำ ๆ ซาก ๆ.
บทว่า สุสู มีความว่า คนหนุ่ม คือ ผู้สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง
ได้แก่บุรุษที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม.
ศิลาดำ ท่านเรียกว่า หินลับ. ดาบที่เขาลับแล้วบนหินลับนั้น
ท่านเรียกว่า สักขรโธตะ. ดามที่ลับดีแล้วบนหินลับ มีอยู่ในมือของ
บุรุษนั้น; เพราะเหตุนั้น บุรุษนั้น จึงชื่อว่า ผู้ถือดาบซึ่งลับดีแล้ว
บนหินลัน, อธิบายว่า มีมือถือดาบซึ่งขัดและลับดีแล้วบนหิน. ท่าน
วอนขอแก้วกะเรา ทำให้เราหวาดเสียว เหมือนบุรุษมีดาบในมือนั้น
ทำให้คนอื่นหวาดเสียวฉะนั้น.
ข้อว่า เสลํ มํ ยาจมาโน มีความว่า วอนขออยู่ซึ่งแก้วมณี.
ข้อว่า น ตํ ยาเจ มีความว่า ไม่ควรขอของนั้น.
ถามว่า ของสิ่งไหน ?
ตอบว่า ของที่ตนรู้ว่า เป็นที่รักของเขา.
ข้อว่า ยสฺส ปิยํ ชิคึเส มีความว่า คนพึงรู้ว่า สิ่งใดเป็นที่รัก
ของสัตว์นั้น (ไม่ควรขอของนั้น ).
ข้อว่า กิมงฺคํ ปน นนุสฺสภูตานํ มีความว่า ในคำว่า
(การอ้อนวอนขอนั้น) ไม่เป็นที่พอใจของเหล่าสัตว์ที่เป็นมนุษย์ นี้ จะพึง
กล่าวทำไมเล่า ?
[แก้อรรถศัพท์ในเรื่องนกฝูงใหญ่เป็นต้น]
หลายบทว่า สกุณสงฺฆสฺส สทฺเทน อุพฺพาฬฺโห มีความว่า
ได้ยินว่า ฝูงนกนั้น ทำเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ติดต่อกันไปจนตลอดปฐมยาม

409
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 410 (เล่ม 3)

และปัจฉิมยาม. ภิกษุนั้นเป็นผู้รำคาญด้วยเสียงนกนั้น จึงได้ไปยังสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เข้ามาหาเราถึงที่อยู่.
ในคำว่า กุโต จ ตฺวํ ภิกฺขุ อาคจฺฉสิ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:-
ภิกษุนั้นนั่งอยู่แล้ว (ในสำนักแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ) มิใช่พึงมา, แต่
การที่จะกล่าวอย่างนี้ในอดีตกาลใกล้ปัจจุบันกาลยอมมีได้. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ! ก็เธอมาจากไหนเล่า ?
อธิบายว่า เธอเป็นผู้มาแล้วแต่ที่ไหน ?
แม้ในคำว่า ตโต อหํ ภควา อาคจฺฉามิ นี้ ก็มีนัยอย่างนั้น
เหมือนกัน.
บทว่า อุพฺพาฬฺโห มีความว่า เป็นผู้ถูกเสียงรบกวน คือ ก่อให้
เกิดความรำคาญ.
ในคำว่า โส สกุณสงฺโฆ ภิกขุ ปตฺตํ ยาจติ นี้ มีวินิจฉัย ดังนี้:-
ฝูงนกย่อมไม่รู้คำพูดของภิกษุ. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำให้
มันรู้โดยอานุภาพของพระองค์.
คำว่า อปาหํ เต น ชานามิ มีความว่า เออ เราก็ไม่รู้จักชน
เหล่านั้นว่า ชนเหล่านี้ เป็นคนพวกไหน หรือว่า ชนพวกนี้เป็นคน
ของใคร.
สองบทว่า สงฺคมฺม ยาจนฺติ มีความว่า ชนเหล่านั้นพากันมา คือ
รวมกันเป็นพวก ๆ อ้อนวอนขออยู่.
คำว่า ยาจโก อปฺปิโย โหติ มีความว่า บุคคลผู้ขอย่อมไม่เป็นที่รัก
(ของผู้ถูกขอ).

510
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 411 (เล่ม 3)

คำว่า ยาจํ อททมปฺปิโย มีความว่า สิ่งที่คนอื่นขอ ท่านเรียกว่า
ยาจัง แม้ผู้ไม่ให้ซึ่งประโยชน์ที่เขาขอ ย่อมไม่เป็นที่รัก (ของคนผู้ขอ).
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยาจํ ได้แก่ ของบุคคลผู้ขออยู่.
คำว่า อททมปฺปิโย มีความว่า ผู้ไม่ให้ (แก่ผู้ขอ) ย่อมไม่เป็น
ที่รัก (ของผู้ขอ).
คำว่า มา เม วิทฺเทสนา อหุ มีความว่า ความเป็นผู้ไม่เป็น
ที่รัก อย่าได้มีแล้วแก่ข้าพเจ้า, อธิบายว่า ข้าพเจ้าอย่าได้เป็นที่เกลียดชัง
คือ ไม่เป็นที่รักของท่าน หรือว่าท่านอย่าได้เป็นที่เกลียดชัง คือไม่เป็น
ที่รักของข้าพเจ้า.
บทว่า ทุสฺสํหรานิ มีความว่า รวบรวมมาได้โดยยาก ด้วยอุบาย
ทั้งหลาย มีกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้น. การอ้อนวอนขอที่ภิกษุให้
เป็นไปเอง ท่านเรียกว่า สังยาจิกา ในคำว่า สํยาจิกาย ปน ภิกฺขุนา
นี้. เพราะเหตุนั้น บทว่า สํยาจิกา จึงมีรูปความที่ท่านกล่าวไว้ว่า ด้วย
การวิงวอนขอของตน. อธิบายว่า ด้วยอุปกรณ์ทั้งหลายที่ตนขอมาเอง.
ก็เพราะว่า กุฎีนั้นเป็นอันภิกษุทำอยู่ด้วยเครื่องอุปกรณ์ที่ตนขอมาเอง คือ
ขอเอามากระทำเอง; ฉะนั้น เพื่อแสดงบรรยายแห่งอรรถนั้น ท่านจึงกล่าว
บทภาชนะแห่งบทว่า สํยาจิกาย นั้นอย่างนี้ว่า ขอเองซึ่งคนบ้าง เป็นต้น .
[แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์ ว่าด้วยการโบกฉาบกุฎี]
บทว่า อุลฺลิตฺตา ได้แก่ โบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายใน.
บทว่า อวลิตฺตา ได้แก่ โบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายนอก.

411
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 412 (เล่ม 3)

บทว่า อลฺลิตฺตาวลิตตา มีคำอธิบายว่า โบกฉาบปูนไว้ทั้งภายใน
ทั้งภายนอก.
ในบทภาชนะแห่งบทว่า การยมาเนน นี้ คำเพียงว่า การาเปนฺเตน
นี้เท่านั้น เป็นคำที่ท่านพระอุบาลีกล่าวไว้ เพราะว่าเมื่อมีคำอย่างนี้
พยัญชนะย่อมเสมอกัน. แต่เพราะเหตุที่ภิกษุแม้ให้สร้างกุฎีด้วยอาการ
ขอเอาเอง พึงปฏิบัติโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในสิกขาบทนี้นั่นแล, ฉะนั้น
เพื่อแสดงอรรถนี้ว่า ภิกษุผู้สร้างเองก็ตามให้ผู้อื่นสร้างก็ตาม ทั้งสอง
พวกนี้สงเคราะห์ด้วยบทว่า การยมาเนน นี้แล จึงกล่าวว่า กโรนฺโต
วา การาเปนฺโต วา ดังนี้เป็นต้น. ก็ถ้าว่าท่านพระอุบาลีจะพึงกล่าวว่า
กโรนฺเตน วา การาเปนฺเตน วา พยัญชนะจะต้องผิดไป. เพราะว่า
ภิกษุใช้ให้เขาทำ จะชื่อว่าเป็นผู้ทำเองไม่ได้. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า
ในบทภาชนะนี้พระอุบาลีแสดงแต่เพียงใจความเท่านั้น .
บทว่า อตฺตุทฺเทสํ มีความว่า คนเป็นที่เจาะจงแห่งกุฎีนั้นอย่างนี้ว่า
กุฎีนี้ของเรา เพราะฉะนั้น กุฎีนั้นจึงชื่อว่าเฉพาะตนเอง. ซึ่งกุฎีเฉพาะ
ตนเองนั้น. ก็เพราะกุฎีมีตนเป็นที่เจาะจงนั้น ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ตน;
ฉะนั้น ท่านพระอุบาลีเมื่อจะแสดงบรรยายแห่งอรรถนั้น จึงกล่าวว่า
บทว่า อตฺตุตฺเทสํ คือ เพื่อประโยชน์แก่ตน.
สองบทว่า ปมาณิกา กาเรตพฺพา คือ พึงสร้างให้ได้ประมาณ.
สองบทว่า ตตฺรีทํ ปมาณํ คือ นี้ ประมาณแห่งกุฎีนั้น.
บทว่า สุคติวิทตฺถิยา มีความว่า ที่มีชื่อว่า คืบพระสุคตคือ ๓ คืบ
ของบุรุษกลางคนในปัจจุบันนี้ เท่ากับศอกคืบ โดยศอกช่างไม้.

412
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 413 (เล่ม 3)

สองบทว่า พาหิริเมน มาเนน ได้แก่ ๑๒ คืบ โดยวัดนอกฝาผนัง
แห่งกุฎี. แต่เมื่อจะวัด ไม่พึงกำหนดเอาที่สุดก้อนดินเหนียวใหญ่ที่ตนให้
ไว้แต่แรกเขาหมด. พึงวัดโดยที่สุดก้อนดินผสมแกลบ (ก้อนอิฐ). การ
ฉาบทาปูนขาวข้างบนแห่งก้อนดินผสมแกลบ เป็นอัพโพหาริก. ถ้าภิกษุ
ไม่มีความต้องการด้วยก้อนดินผสมแกลบ สร้างให้เสร็จด้วยก้อนดินเหนียว
ใหญ่เท่านั้น, ดินเหนียวใหญ่นั่นแล เป็นเขตกำหนด.
บทว่า ติริยํ แปลว่า โดยส่วนกว้าง.
บทว่า สตฺต แปลว่า ๗ คืบพระสุคต.
บทว่า อนฺตรา นี้ มีนิเทศดังนี้:- คือ โดยการวัดอันมีในร่วม
ใน มีอธิบายว่า เมื่อไม่ถือเอาที่สุดด้านนอกฝา วัดเอาที่สุด โดยการวัด
ทางริมด้านใน ได้ประมาณด้านกว้าง ๗ คืบพระสุคต.
ส่วนภิกษุใดอ้างเลศว่า เราจักทำให้ได้ประมาณตามที่ตรัสไว้จริง ๆ
แต่พึงทำประมาณด้านยาว ๑๑ คืบ ด้านกว้าง ๘ คืบ หรือด้านยาว ๑๓ คืบ
ด้านกว้าง ๖ คืบ. การทำนั้นไม่สมควรแก่ภิกษุนั้น. จริงอยู่ ประมาณ
แม้ที่เกินไปทางด้านเดียว ก็จัดว่าเกินไปเหมือนกัน. คืบจงยกไว้ จะลด
ด้านยาวเพิ่มด้านกว้าง หรือลดด้านกว้างเพิ่มด้านยาว แม้เพียงปลายเส้นผม
เดียว ก็ไม่ควร. จะป่วยกล่าวไปไยในการขยายเพิ่มทั้งสองด้านเล่า.
สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุสร้างเองก็ดี ให้
ผู้อื่นสร้างก็ดี (ซึ่งกุฎี)ให้ล่วงประมาณไปทางด้านยาว หรือด้านกว้าง โดย
ที่สุดแม้เพียงปลายเส้นผมเดียว เป็นทุกกฏทุก ๆ ประโยค ดังนี้เป็นต้น.
ก็กุฎีมีประมาณตามที่กล่าวไว้เท่านั้น จึงสมควร.
ส่วนกุฎีใด ด้านยาวมีประมาณถึง ๖๐ ศอก ด้านกว้างมีประมาณ

413