No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 320 (เล่ม 33)

ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของ
ที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้
มีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระ-
ธรรมและภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ. ขอท่านพระโคดมจงทรงจำข้าพระองค์ว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบสูตรที่ ๖
อรรถกถาสูตรที่ ๖
ในสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อญฺญตโร ได้แก่ พราหมณ์คนหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ. บทว่า
เยน ในคำว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ นี้ เป็นตติยาวิภัตติ ลงใน
อรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. เพราะฉะนั้น พึงทราบเนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่ใด พราหมณ์เข้าไปเฝ้าในที่นั้น. อีก
อย่างหนึ่ง พึงทราบเนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า พวกเทวดาและมนุษย์เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเหตุใด พราหมณ์เข้าไปเฝ้าด้วยเหตุนั้น.
ก็พราหมณ์นั้นควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเหตุอะไร. ด้วยความ
ประสงค์บรรลุคุณวิเศษนานัปการ เหมือนฝูงนกเข้าหาต้นไม้ใหญ่ที่ออกผล
เป็นนิจ ด้วยความต้องการกินผลไม้อร่อย ๆ. อนึ่ง บทว่า อุปสงฺกมิ
ท่านอธิบายว่า ไปแล้ว. บทว่า อุปสงฺกมิตฺวา เป็นคำแสดงถึง
ความสิ้นสุดของการเข้าไปเฝ้า. อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า ผู้ที่ไป
อย่างนี้ ไปยังที่ใกล้กว่านั้น กล่าวคือใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า
ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิ ความว่า พราหมณ์แม้นั้นได้มีความชื่นชมกับ

320
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 321 (เล่ม 33)

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น อย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามพราหมณ์ถึง
เรื่องพอทนได้เป็นต้น คือได้ถึงความชื่นชมอย่างเดียวกัน เหมือนน้ำร้อน
กับน้ำเย็น. ก็กถาชื่อสัมโมทนียะ เพราะให้เกิดความชื่นชมกล่าวคือปีติ
และปราโมทย์ และเพราะภาวะที่ควรชื่นชม ซึ่งชื่นชมด้วยคำเป็นต้นว่า
พอทนหรือ ท่านพระโคดมพอเป็นไปได้หรือ ท่านพระโคดมและสาวก
ของท่านพระโคดม มีอาพาธน้อย มีโรคน้อย กะปรี้กะเปร่า มีกำลัง
อยู่สบายดีหรือ ชื่อสาราณียะ เพราะสมควรให้ระลึกถึงกันตลอดกาลนาน
ระลึกอยู่เรื่อย ๆ และเพราะภาวะที่ควรระลึก เพราะมีความไพเราะ
ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ชื่อว่า สัมโมทนียะ เพราะเป็นสุขเมื่อฟัง
ชื่อว่า สาราณียะ เพราะเป็นสุขเมื่อระลึกถึง อนึ่ง ชื่อว่า สัมโมทนียะ
เพราะพยัญชนะบริสุทธิ์ ชื่อว่า สาราณียะ เพราะอรรถะบริสุทธิ์
พราหมณ์เสร็จการกล่าวสัมโมทนียกถา สาราณียกถา คือให้จบสิ้นโดย
อเนกปริยายอย่างนี้ด้วยประการฉะนั้นแล้ว ประสงค์จะทูลถามเรื่องที่ตนมา
จึงนั่งลง ณ ที่อันสมควร. ศัพท์ว่า เอกทนฺตํ แสดงภาวนปุงสกะ
เหมือนในประโยคเป็นต้นว่า วิสมํ จนฺทิมสุริยา ปริวตฺตนฺติ พระจันทร์
และพระอาทิตย์โคจรไม่เท่ากัน ดังนี้ ฉะนั้น พึงทราบเนื้อความในที่นี้
อย่างนี้ว่า นั่งอย่างที่ผู้นั่งนั่งในที่อันสมควร. อีกอย่างหนึ่ง บทนี้เป็น
ทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. บทว่า นิสีทิ ได้แก่ เข้าไปใกล้.
ธรรมดาคนฉลาด เข้าไปหาผู้ที่มีฐานะเป็นครู ย่อมนั่งในที่อันสมควร
ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในเรื่องนั่ง. และพราหมณ์นี้ก็เป็นคนหนึ่งในบรรดา
คนฉลาดเหล่านั้น ฉะนั้น จึงนั่ง ณ ที่อันสมควร.

321
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 322 (เล่ม 33)

ถามว่า นั่งอย่างไร จึงชื่อว่านั่ง ณ ที่อันสมควร. แก้ว่า นั่งเว้น
โทษของการนั่ง ๖ อย่าง. โทษของการนั่ง ๖ อย่าง อะไรบ้าง. โทษ
ของการนั่ง ๖ อย่าง คือ ไกลเกินไป ใกล้เกินไป นั่งเหนือลม นั่งที่สูง
นั่งตรงหน้าเกินไป นั่งข้างหลังเกินไป. ผู้นั่งไกลเกินไป ถ้าต้องการจะพูด
ก็ต้องพูดเสียงดัง. นั่งใกล้เกินไป ย่อมจะเสียดสี. นั่งเหนือลม ย่อมจะ
เบียดเบียนด้วยกลิ่นตัว. นั่งที่สูง ย่อมประกาศว่าไม่เคารพ. นั่งตรงหน้า
เกินไป ถ้าต้องการจะดู ก็จะสบตากัน. นั่งข้างหลังเกินไป ถ้าต้องการ
จะดู ก็จะต้องยื่นคอดู. เพราะฉะนั้น พราหมณ์แม้นี้จึงนั่งเว้นโทษของ
การนั่ง ๖ อย่างเหล่านี้ เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นั่งลง ณ ที่อันสมควร.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า คำถามมี ๒ อย่าง คือ คำถามของ
คฤหัสถ์ ๑ คำถามของบรรพชิต ๑ ใน ๒ อย่างนั้น คำถามของคฤหัสถ์
มาโดยนัยเป็นต้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล.
คำถามของบรรพชิตมาโดยนัยนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านี้หรือหนอแล. ก็พราหมณ์นี้เมื่อจะถามคำถามของคฤหัสถ์ซึ่งสมควร
แก่ตน จึงได้กราบทูลคำนี้ คือคำเป็นต้นว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม อะไร
หนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย. บรรดาบทเหล่านั้น บททั้งสองว่า
เหตุปจฺจโย นี้ เป็นคำแสดงไขถึงเหตุนั่นเอง. บทว่า อธมฺมจริยา
วิสมจริยาเหตุ แปลว่า เพราะเหตุแห่งความประพฤติไม่เรียบร้อย กล่าว
คือความประพฤติผิดธรรม อธิบายว่า เพราะความประพฤตินั้นเป็นเหตุ
เพราะความพระพฤตินั้นเป็นปัจจัย. ในบทนั้น มีอรรถของบท ดังนี้
ความประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ชื่อว่าความประพฤติผิดธรรม อธิบายว่า
การกระทำที่ไม่เป็นธรรม ความประพฤติที่ไม่เรียบร้อย หรือความ

322
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 323 (เล่ม 33)

ประพฤติซึ่งกรรมอันไม่เรียบร้อย เหตุนั้น จึงชื่อว่าความประพฤติไม่เรียบ
ร้อย. ความประพฤติไม่เรียบร้อยนั่นด้วย เป็นความประพฤติผิดธรรมด้วย
เหตุนั้น จึงชื่อว่าความประพฤติไม่เรียบร้อย เป็นความประพฤติผิดธรรม.
แม้ในธรรมฝ่ายขาว ก็พึงทราบเนื้อความโดยอุบายนี้ แต่โดยใจความใน
ที่นี้ พึงทราบว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ชื่อว่าความประพฤติไม่เรียบร้อย
คือความประพฤติผิดธรรม กุศลกรรมบถ ๑๐ ชื่อว่าความประพฤติเรียบร้อย
กล่าวคือความประพฤติถูกธรรม.
อภิกฺกนฺต ศัพท์ ในคำว่า อภิกฺกนฺตํ โภ โคตน อภิกฺกนฺตํ
โภ โคตม นี้ แปลว่า สิ้นไป ดี งาม และน่าอนุโมทนายิ่ง. แปลว่า
สิ้นไป ได้ในประโยคเป็นต้นว่า อภิกฺกนฺตา ภนฺเต รตฺติ นิกฺขนฺโต
ปฐโม ยาโม จิรนิสินฺโน ภิกฺขุสงฺโฆ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีสิ้น
ไปแล้ว ปฐมยามล่วงไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งนานแล้ว. แปลว่า ดี ได้ใน
ประโยคเป็นต้นว่า บุคคล ๔ คนเหล่านี้ คนนี้ดีกว่าและประณีตกว่า.
แปลว่า งาม ได้ในคาถาเป็นต้นว่า
ใครมีวรรณะงามยิ่งนัก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ รุ่งเรือง
ด้วยยศ ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ไหว้เท้าของเรา.
แปลว่า น่าอนุโนทนายิ่ง ได้ในคำเป็นต้นว่า น่าอนุโมทนายิ่ง พระเจ้าข้า.
แม้ในที่นี้ อภิกฺกนฺต ศัพท์ ก็แปลว่า น่าอนุโมทนายิ่งนั่นแล. และ
เพราะแปลว่า น่าอนุโมทนายิ่ง ฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านอธิบายไว้ว่า
ดียิ่ง พระโคดมผู้เจริญ ดังนี้.

323
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 324 (เล่ม 33)

ท่านผู้รู้ย่อมพูดซ้ำ เพราะความกลัว โกรธ
สรรเสริญ รีบด่วน ตื่นตระหนก ร่าเริง โศก
และเลื่อมใส.
ก็ อภิกฺกนฺต ศัพท์นี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าว ๒ ครั้งในที่นี้ ด้วย
อำนาจความเลื่อมใส และด้วยอำนาจความสรรเสริญ ตามลักษณะดังกล่าว
มานี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อภิกฺกนฺตํ แปลว่า น่าปรารถนายิ่ง คือ
น่าพอใจยิ่ง อธิบายว่า ดียิ่ง. ในสองศัพท์นั้น ด้วย อภิกฺกนฺต ศัพท์
หนึ่งพราหมณ์ชมเทศนา อีกศัพท์หนึ่งชมความเลื่อมใสของตน. แลใน
ที่นี้มีอธิบายดังนี้ว่า พราหมณ์ชมพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมาย
เอาเนื้อความ ๒ เนื้อความว่า ดียิ่ง พระโคดมผู้เจริญ คือ ธรรมเทศนา
ของพระโคดมผู้เจริญ ดียิ่ง และข้าพระองค์เลื่อมใส ก็เพราะอาศัยเทศนา
ของพระโคดมผู้เจริญ. พระดำรัสของพระโคดมผู้เจริญ ดียิ่ง เพราะ
ดียิ่ง เพราะให้บรรลุคุณ พึงประกอบเหมือนกัน ด้วยบทมีอาทิอย่างนี้
ว่า เพราะให้เกิดศรัทธา เพราะให้เกิดปัญญา เพราะมีอรรถ เพราะมี
พยัญชนะ เพราะบทตื้น เพราะอรรถลึก เพราะสะดวกหู เพราะถึงใจ
เพราะไม่ยกตน เพราะไม่ข่มท่าน เพราะเย็นด้วยกรุณา เพราะตรัสด้วย
ปัญญา เพราะเป็นทางที่น่ารื่นรนย์ เพราะข่มศัตรูได้ เพราะสบายแก่ผู้ฟัง
เพราะน่าพิจารณา และเพราะเกื้อกูล. แม้ต่อจากนั้น ก็ยังชมเทศนาด้วย
อุปมาถึง ๔ ข้อทีเดียว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกุชฺชิตํ ได้แก่
ตั้งคว่ำหน้า หรือเอาหน้าไว้ล่าง. บทว่า อุกฺกุชฺเชยฺย แปลว่า
หงายหน้า. บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ ได้แก่ ปกปิดด้วยหญ้าเป็นต้น. บทว่า
วิวเรยฺย แปลว่า หงายหน้าขึ้น. บทว่า มูฬฺหสฺส ได้แก่ คนหลงทิศ.

324
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 325 (เล่ม 33)

บทว่า มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย ความว่า จูงมือไปบอกว่าทางนี้. บทว่า
อนฺธกาเร ได้แก่ มืด ๔ อย่าง คือ แรม ๑๔ ค่ำ เที่ยงคืน ไพรสัณฑ์ทึบ
เมฆหนา. เนื้อความของบทที่ยากเท่านี้. มีอธิบายดังต่อไปนี้ พระโคดม
ผู้เจริญให้ข้าพระองค์ผู้หันหลังให้พระสัทธรรม ตกอยู่ในอสัทธรรม ออก
จากอสัทธรรมได้ เหมือนคนบางคนหงายของที่คว่ำ ทรงเปิดคำสอนที่ถูก
มิจฉาทิฏฐิปกปิดจำเดิมแต่ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะอันตรธาน
เหมือนเปิดของที่ปิด ทรงทำให้แจ้งซึ่งทางสวรรค์และนิพพานแก่ข้าพระ-
องค์ผู้ดำเนินทางชั่วทางผิด เหมือนบอกทางแก่คนหลง ทรงประกาศ
ธรรมแก่ข้าพระองค์ ด้วยทรงชูประทีปคือเทศนา กำจัดความมือคือโมหะ
ที่ปกปิดพระรัตนตรัยนั้น แก่ข้าพระองค์ผู้จมอยู่ในที่มืดคือโมหะ ไม่เห็น
รูปแห่งพุทธรัตนะเป็นต้น เหมือนคนส่องประทีปน้ำมันในที่มืด. เพราะ
ทรงประกาศโดยปริยายเหล่านี้ เป็นอันทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย.
พราหมณ์ชมเทศนาอย่างนี้แล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเพราะเทศนา
นี้ เมื่อกระทำอาการของผู้ที่เลื่อมใส จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า เอสาหํ ดังนี้ .
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาหํ ตัดบทเป็น เอโส อหํ แปลว่า
ข้าพระองค์นี้. บทว่า ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ ความว่า
ข้าพระองค์ขอถึง คือคบ เสพ นั่งใกล้ ซึ่งพระโคดมผู้เจริญ ด้วย
ความประสงค์นี้ว่า พระโคดมผู้เจริญ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
เป็นผู้กำจัดความชั่ว และเป็นผู้ประทานประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพระองค์
อธิบายว่า ทราบ คือรู้อย่างนี้. ก็ธาตุเหล่าใดมีความว่า ไป ธาตุเหล่า
นั้นมีความว่า รู้ ก็มี ฉะนั้น ความของบทว่า คจฺฉามิ นี้ ท่านจึงกล่าว
ว่า ชานามิ พุชฺฌามิ ข้าพระองค์ทราบ คือรู้ ดังนี้ . ในบทว่า

325
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 326 (เล่ม 33)

ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ นี้ ชื่อว่าธรรม เพราะทรงเหล่าสัตว์ผู้บรรลุ
มรรค และทำนิโรธให้แจ้ง ปฏิบัติตามคำสั่งสอน ไม่ให้ตกไปในอบาย ๔
โดยอรรถ ได้แก่อริยมรรคและพระนิพพาน. สมจริงดังที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาสังขตธรรมทั้งหลาย อริย-
มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เรากล่าวว่าเป็นยอดของสังขตธรรมเหล่านั้น.
ว่าโดยพิสดาร มิใช่แต่อริยมรรคและพระนิพพานเท่านั้น ที่ชื่อว่าธรรม
ที่จริง แม้ปริยัติธรรมกับอริยผล ก็ชื่อว่าธรรม. สมจริงดังที่ตรัสไว้ใน
ฉัตตมาณวกวิมานวัตถุว่า
ราควิราคมเนชมโสกํ ธมฺมมสงฺขตมปฺปฏิกูลํ
มธุรมิมํ ปคุณํ สุวิภตฺตํ ธมฺมมิมํ สรณติถมุเปหิ.
เธอจงเข้าถึงธรรมเครื่องสำรอกราคะ ไม่หวั่น
ไหว ไม่เศร้าโศก เป็นอสังขตธรรม ไม่ปฏิกูล
งาม คล่องแคล่ว จำแนกไว้ดีแล้ว นี้ ว่าเป็นสรณะ
เถิด.
บทว่า ราควิราโค ในที่นี้ ตรัสหมายถึงมรรค. บทว่า อเนชมโสกํ
ได้แก่ ผล. ธมฺมมสงฺขตํ ได้แก่นิพพาน. บทว่า อปฺปฏิกูลํ มธุรมิมํ
ปคุณํ สุวิภตฺตํ ได้แก่ ธรรมขันธ์ทั้งหมดที่จำแนกเป็น ๓ ปิฎก ชื่อว่า
สงฆ์ เพราะเกี่ยวเนื่องกันโดยทิฏฐิและศีล. สงฆ์นั้น โดยอรรถได้แก่กลุ่ม
พระอริยบุคคล ๘. สมจริงดังที่ตรัสไว้ในวิมานวัตถุนั้นแหละว่า
ยตฺถ จ ทินฺนมหปฺผลมาหุ
จตูสุ สุจีสุ ปุริสยุเคสุ
อฏฺฐ จ ปุคฺคลธมฺมทสา เต
สงฺฆมิมํ สรณตฺถมุเปหิ.

326
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 327 (เล่ม 33)

เธอจงเข้าถึงสงฆ์ คือ คนสะอาด ๔ คู่ เป็น
พระอริยบุคคล ๘ ซึ่งบัณฑิตกล่าวว่า ทานที่ถวาย
ท่านแล้วมีผลมาก นี้ ว่าเป็นสรณะเถิด.
หมู่แห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อภิกษุสงฆ์. พราหมณ์ประกาศการถึงสรณะ
๓ ประการ ด้วยคำเพียงเท่านี้ . เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในสรณคมน์เหล่า
นั้น แม้ในที่นี้ก็ควรทราบวิธีนี้ว่า สรณคมน์ของผู้ที่ถึงสรณะมี ๒
ประเภท คือ สรณคมน์ประเภท ๑ อานิสงส์แห่งสรณคมน์ประเภท ๑.
คือ อย่างไร. พึงทราบโดยเนื้อความของบทก่อน ชื่อว่าสรณะ เพราะ
อรรถว่ากำจัด อธิบายว่า ฆ่าเครื่องเศร้าหมองรอบ ๆ คือความสะดุ้ง
ความทุกข์ และทุคติ ทำให้พินาศ ด้วยสรณคมน์นั่นแหละ ของผู้ที่ถึง
สรณะ คำว่า สรณคมน์นี้เป็นชื่อของพระรัตนตรัย. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
พุทธ เพราะกำจัดภัยของเหล่าสัตว์ ด้วยให้สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นไป
ให้ออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์. ชื่อว่า ธรรม เพราะยกสัตว์ให้ข้าม
จากกันดารคือภพ และเพราะทำความเบาใจแก่สัตว์โลก ชื่อว่า สงฆ์
เพราะทำสักการะแม้มีประมาณน้อย กลับได้ผลไพบูลย์. ฉะนั้น พระ-
รัตนตรัยจึงเป็นสรณะ โดยปริยายแม้นี้ จิตตุปบาทที่กำจัดกิเลสได้ด้วย
ความเลื่อมใสและความเคารพพระรัตนตรัยนั้น ที่เป็นไปโดยอาการ คือ
ความเป็นผู้มีพระรัตนตรัยนั้นเป็นเบื้องหน้า ชื่อว่าสรณคมน์ สัตว์ที่มี
ความพร้อมเพรียงด้วยสรณคมน์นั้น ถึงสรณะ คือถึงรัตนะ ๓ เหล่านี้ว่า
เป็นสรณะ ด้วยจิตตุปบาทมีประการดังกล่าวแล้ว อธิบายว่า เข้าถึงรัตนะ
๓ เหล่านี้ว่า เป็นที่ไปในเบื้องหน้าอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. ก็สรณคมน์
ของผู้ที่ถึงสรณะ พึงทราบเพียงเท่านี้ก่อน. ก็ในประเภทแห่งสรณคมน์

327
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 328 (เล่ม 33)

สรณคมน์มี ๒ ประเภท คือ ที่เป็นโลกุตระประเภท ๑ ที่เป็นโลกิยะ
ประเภท ๑. ใน ๒ ประเภทนั้น สรณคมน์ที่เป็นโลกุตระ สำหรับผู้
ที่เห็นอริยสัจแล้ว โดยอารมณ์มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยกิจ ย่อม
สำเร็จในพระรัตนตรัยทั้งสิ้น ด้วยการตัดขาดอุปกิเลสด้วยสรณคมน์ใน
มรรคขณะ. สรณคมน์ที่เป็นโลกิยะสำหรับพวกปุถุชน โดยอารมณ์มีพุทธ-
คุณเป็นต้นเป็นอารมณ์ ย่อมสำเร็จด้วยการข่มอุปกิเลสด้วยสรณคมน์แล.
สรณคมน์นั้น โดยอรรถ ได้แก่การได้ศรัทธาในวัตถุ ๓ มีพระพุทธเจ้า
เป็นต้น และสัมมาทิฏฐิที่มีศรัทธาเป็นมูล. ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ท่าน
เรียกว่า ทิฏฐุชุกรรม. สรณคมน์นี้นั้นเป็นไปโดยอาการ ๔ คือ โดย
การมอบถวายตน ๑ โดยความเป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นเบื้องหน้า ๑ โดย
เข้าถึงความเป็นศิษย์ ๑ โดยการนอบน้อม ๑. ใน ๔ อย่างนั้น ที่ชื่อว่า
การมอบถวายตน ได้แก่การสละตนถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นต้น อย่างนี้
ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอมอบถวายตนแด่พระพุทธเจ้า แด่
พระธรรม แด่พระสงฆ์. ที่ชื่อว่าความเป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นเบื้องหน้า
ได้แก่ความเป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นเบื้องหน้า อย่างนี้ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็น
ต้นไป ข้าพเจ้ามีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเบื้องหน้า
ขอท่านทั้งหลายจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ ดังนี้. ที่ชื่อว่าเข้าถึงความเป็นศิษย์
ได้แก่การเข้าถึงความเป็นศิษย์ อย่างนี้ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้า
เป็นอันเตวาสิก (ศิษย์) ของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระสงฆ์
ขอท่านทั้งหลายจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ ดังนี้. ที่ชื่อว่าทำความนอบน้อม
ได้แก่การทำความเคารพอย่างยิ่งในพระพุทธเจ้าเป็นต้น อย่างนี้ว่า ตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอการทำอภิวาท การลุกขึ้นรับ อัญชลีกรรม

328
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 329 (เล่ม 33)

สามีจิกรรม แด่วัตถุ ๓ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเท่านั้น ขอท่านทั้งหลาย
จงทรงจำข้าพเจ้าไว้ ดังนี้ . เมื่อทำอาการ ๔ อย่างนี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง
ย่อมเป็นอันรับสรณคมน์แล้วทีเดียว. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบการมอบ
ถวายตน แม้อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอสละตน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอสละ
ตน แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอสละชีวิต ดังนี้ เป็นอัน
ข้าพเจ้าสละตนแล้วทีเดียว เป็นอันข้าพเจ้าสละชีวิตแล้วทีเดียว ข้าพเจ้า
ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่เร้น เป็นที่
ฟังของข้าพเจ้า จนสุดสิ้นชีวิต ด้วยประการฉะนี้. การเข้าถึงความเป็น
ศิษย์ พึงเห็นเช่นสรณคมน์ของพระมหากัสสปะ แม้อย่างนี้ว่า ถ้าข้าพเจ้า
จะพึงเห็นพระศาสดา ก็ขอเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ถ้าข้าพเจ้าจะ
พึงเห็นพระสุคต ก็ขอเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ถ้าข้าพเจ้าจะพึง
เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ขอเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น. ความ
เป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นเบื้องหน้า พึงทราบอย่างสรณคมน์ของอาฬวก-
ยักษ์เป็นต้น แม้อย่างนี้ว่า
โส อหํ วจริสฺสามิ คามา คามํ ปุรา ปุรํ
นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธํ ธมฺมสฺส จ สุธมฺมตํ.
ข้าพเจ้านั้น จักเที่ยวไป จากบ้านสู่บ้าน จาก
เมืองสู่เมือง ขอนมัสการพระพุทธเจ้า และพระ-
ธรรมของพระองค์อันเป็นธรรมดี ดังนี้แล.
ครั้งนั้นแล พราหมณ์พรหมายุ ลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า
หมอบศีรษะลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า จูบพระยุคลบาท
นวดด้วยฝ่ามือ และประกาศชื่อว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้า

329