อันเกิดพร้อมกับสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ชื่อว่า ปัตถนา ความปรารถนา. ก็
ในอธิการนี้ ท่านกล่าวหมายเอาสัมมาทิฏฐิทั้งโลกิยะและโลกุตระ คำที่
เหลือในที่ทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาวรรคที่ ๒

อันเกิดพร้อมกับสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ชื่อว่า ปัตถนา ความปรารถนา. ก็
ในอธิการนี้ ท่านกล่าวหมายเอาสัมมาทิฏฐิทั้งโลกิยะและโลกุตระ คำที่
เหลือในที่ทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาวรรคที่ ๒
วรรคที่ ๓
ว่าด้วยบุคคลคนเดียวที่เกิดขึ้นแล้วยังความพินาศแก่โลกเป็นต้น
[๑๙๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียวคือใคร คือบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มี
ความเห็นวิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมากออกจากสัทธรรมแล้ว ให้ตั้ง
อยู่ในอสัทธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียวนี้แล เมื่อเกิดขึ้น
ในโลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชน
เป็นอันมาก เพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์
แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
[๑๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่อประโยชน์หิตสุขแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียวคือใคร
คือบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นไม่วิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมาก
ออกจากอสัทธรรมแล้ว ให้ตั้งอยู่ในสัทธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
คนเดียวนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อประโยชน์หิตสุขแก่เทพยดาและมนุษย์
ทั้งหลาย.
[๑๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้
ข้อหนึ่ง ซึ่งจะมีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.
[๑๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นบุคคลอื่นแม้คนเดียว
ที่ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกับโมฆบุรุษชื่อว่ามักขลินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนบุคคลพึงทิ้งลอบไว้ที่ปากอ่าว เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความทุกข์ เพื่อความเสื่อม ความพินาศแก่ปลาเป็นอันมาก. แม้ฉันใด
โมฆบุรุษชื่อว่ามักขลิ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เป็นดังลอบสำหรับดัก
มนุษย์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์
เพื่อความเสื่อม เพื่อความพินาศแก่สัตว์เป็นอันมาก.
[๑๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าว
ไว้ชั่ว ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมด
นั้น ย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
ธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.
[๑๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าว
ไว้ดี ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมด
นั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่าน
กล่าวไว้ดีแล้ว.
[๑๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทายกพึงรู้จักประมาณในธรรมวินัย
ที่กล่าวไว้ชั่ว ปฏิคาหกไม่จำต้องรู้จักประมาณ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.
[๑๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิคาหกพึงรู้จักประมาณในธรรม
วินัยที่กล่าวไว้ดี ทายกไม่จำต้องรู้จักประมาณ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว.
[๑๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ปรารภความเพียรในธรรมวินัย
ที่กล่าวไว้ชั่ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่าน
กล่าวไว้ชั่ว.
[๒๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าว
ไว้ดี ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้
ดีแล้ว.
[๒๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าว
ไว้ชั่ว ย่อมอยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.
[๒๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ปรารภความเพียรในธรรมวินัย
ที่กล่าวไว้ดี ย่อมอยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่าน
กล่าวไว้ดีแล้ว.
[๒๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคูถแม้เพียงเล็กน้อย
ก็มีกลิ่นเหม็น ฉันใด ภพแม้เพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราไม่
สรรเสริญ โดยที่สุดแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเลย.
[๒๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมูตร... น้ำลาย...
หนอง... เลือดแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็น แม้ฉันใด ภพแม้เพียง
เล็กน้อยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราไม่สรรเสริญ โดยที่สุดแม้ชั่วกาลเพียง
ลัดนิ้วมือเดียวเลย.
จบวรรคที่ ๓
อรรถกถาวรรคที่ ๓๑
อรรถกถาสูตรที่ ๑
ในวรรคที่ ๓ สูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิโฏ ได้แก่ ผู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง. บทว่า
วิปรีตทสฺสโน ได้แก่ เป็นผู้มีความเห็นแปรปรวนไปตามความเห็นผิดนั้น
ทีเดียว. บทว่า สทฺธมฺมา วุฏฺฐาเปตฺวา ความว่า ให้ออกจากธรรม
คือกุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า อสทฺธมฺเม ปติฏฺฐาเปติ ความว่า ให้
ตั้งอยู่ในอสัทธรรม กล่าวคืออกุศลกรรมบถ ๑๐. ก็ในบทว่า เอกปุคฺคโล
นี้ พึงทราบว่า ได้แก่ พระเทวทัตกับครูทั้ง ๖ และคนอื่น ๆ ที่เป็น
อย่างนี้.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๒
ในสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิโฏ ได้แก่ ผู้มีความเห็นตามความเป็นจริง.
บทว่า อวิปรีตทสฺสโน ได้แก่ ผู้มีความเห็นอันไม่แปรปรวนไป
จากความเห็นชอบนั้นนั่นแหละ. บทว่า อสทฺธมฺมา ความว่า จาก
อกุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า สทฺธมฺเม ความว่า ในสัทธรรม กล่าวคือ
กุศลกรรมบถ ๑๐. ก็ในบทว่า เอกปุคฺคโล นี้ ในเมื่อพระพุทธเจ้า
ยังมิได้เสด็จอุปบัติ ย่อมได้แก่บุคคลมีอาทิอย่างนี้ คือ พระเจ้าจักรพรรดิ
๑. บาลี ๑๙๑ - ๒๐๔.
พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้ว ย่อมได้พระพุทธเจ้า
และสาวกของพระพุทธเจ้า.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๒
อรรถกถาสูตรที่ ๓
ในสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิปรมานิ นี้ มีวิเคราะห์ว่า มิจฉาทิฏฐิเป็น
อย่างยิ่งของโทษเหล่านั้น เหตุนั้น โทษเหล่านั้น ชื่อว่า มิจฺฉาทิฏฐิ-
ปรมานิ โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง. อธิบายว่า อนัน-
ตริยกรรม ๕ ชื่อว่ากรรมมีโทษมาก. มิจฉาทิฏฐิเท่านั้น ชื่อว่ามีโทษ
มากกว่าอนันตริยกรรม ๕ แม้เหล่านั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะอนันตริยกรรม ๕ นั้นมีเขต
กำหนด. ด้วยว่า ท่านกล่าวอนันตริยกรรม ๔ อย่างว่า ให้เกิดในนรก.
แม้สังฆเภทก็เป็นกรรมตั้งอยู่ในนรกชั่วกัปเท่านั้น. อนันตริยกรรมเหล่านั้น
มีเขตกำหนดที่สุด ก็ยังปรากฏ ด้วยประการอย่างนี้. ส่วนนิยตมิจฉาทิฏฐิ
คือ ความเห็นผิดอันดิง ไม่มีเขตกำหนด เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นราก
เหง้าของวัฏฏะ. การออกไปจากภพ ย่อมไม่มีสำหรับคนผู้ประกอบด้วย
นิยตมิจฉาทิฏฐินั้น . ชนเหล่าใด เชื่อฟังถ้อยคำของตนผู้ประกอบด้วย
นิยตมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ชนเหล่านั้นก็ย่อมปฏิบัติผิด. อนึ่ง ทั้งสวรรค์
ทั้งมรรค ย่อมไม่มีแก่คนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น ในคราวกัป
พินาศ เมื่อมหาชนพากันเกิดในพรหมโลก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ
ไม่เกิดในพรหมโลกนั้น (แต่กลับ) เกิดที่หลังจักรวาล. ถามว่า ก็หลัง
จักรวาลไฟไม่ไหม้หรือ. ตอบว่า ไหม้. บางอาจารย์กล่าวว่า ก็เมื่อหลัง
จักรวาลแม้ถูกไฟไหม้อยู่ คนผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ ก็ถูกไฟไหม้อยู่ใน
โอกาสแห่งหนึ่งในอากาศ.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๓
อรรถกถาสูตรที่ ๔
ในสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มกฺขลิ ความว่า เจ้าลัทธิผู้ได้ชื่ออย่างนี้ เพราะยึดคำว่า
มา ขลิ อย่าพลาดล้มนะ. บทว่า นทีมุเข ความว่า ในที่ที่แม่น้ำ ๒
สายมาบรรจบกัน. คำนี้ เป็นเพียง ( ยกมา ) เทศนาเท่านั้น. น้ำแม้
อย่างอื่นเห็นปานนั้น ซึ่งมีสถานที่มาบรรจบกันของแม่น้ำสายใดสายหนึ่ง
ในบรรดาน้ำแม้เหล่านี้ คือ ลำธาร ๒ สาย สายน้ำ ๒ สาย ทะเล
สายน้ำจืด ทะเลสายน้ำเค็ม และแม่น้ำแห่งสมุทร. บทว่า ขิปํ๑ แปลว่า
ลอบ. บทว่า อุชฺเฌยฺย แปลว่า ดัก. อธิบายว่า พวกมนุษย์เอาไม้อ้อ
ต้นอ้อย ไม้ไผ่ หรือเส้นเถาย่านทรายมาสานให้เป็นลอบขนาดเท่าหม้อ
ใบเดียวบ้าง ๒ ใบบ้าง ๓ ใบบ้าง ผูกงาที่ปากลอบด้วยหวาย นำไป
ดักเอาปากลอบจมไว้ในน้ำ ดอกหลักขนาบไว้ทั้งสองข้าง ผูกลอบด้วย
หวายไว้กับหลักนั้น. คำว่า ดักลอบ นี้ ท่านกล่าวหมายเอาการกระทำ
ดังกล่าวแล้วนั้น. ก็แม้ปลาตัวเล็ก ๆ เข้าไปในลอบนั้นแล้วก็หลุดออกไป
ไม่ได้. บทว่า อนยาย ความว่า เพื่อความไม่เจริญ. บทว่า พฺยสนาย
ความว่า เพื่อความฉิบหาย. บทว่า มกฺขลิ โมฆปุริโส ได้แก่ บุรุษ
๑. ม. ขิปฺปํ ลอบ.
เปล่าชื่อ มักขลิโคสาล ผู้นี้. บทว่า มนุสฺสขิปํ มญฺเญ โลเก อุปฺปนฺโน
ความว่า เกิดขึ้นแล้วในโลก เป็นเหมือนลอบดักมนุษย์ เพื่อห้ามมหาชน
ไปในทางนั้น คือทางไปสวรรค์และพระนิพพาน.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๔
อรรถกถาสูตรที่ ๕ เป็นต้น
ในสูตรที่ ๕ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทุรกฺขาเต ภิกฺขเว ธมฺมวินเย มีอธิบายว่า คำสอนของ
เจ้าลัทธินอกพระศาสนา ชื่อว่าธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว. เพราะว่า ใน
คำสอนนั้น แม้ผู้สอนก็ไม่เป็นสัพพัญญู แม้ธรรมก็เป็นธรรมที่กล่าวไว้ชั่ว
แม้หมู่คณะก็เป็นผู้ปฏิบัติชั่ว. บทว่า โย จ สมาทเปติ ได้แก่ บุคคล
ผู้เป็นอาจารย์คนใดย่อมชักชวน. บทว่า ยญฺจ สมาทเปติ ความว่า
ชักชวนอันเตวสิก (ศิษย์) คนใด. บทว่า โย จ สมาทปิโต
ตถตฺตาย ปฏิปชฺชติ ความว่า อันเตวาสิกคนใดถูกอาจารย์ชักชวนแล้ว
กระทำตามคำของอาจารย์อยู่ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น. บทว่า
พหุํ อปุญฺญํ ปสวติ อธิบายว่า ก็บุคคลผู้ชักชวน เมื่อชักชวนคน
๑๐๐ คน ในกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้น ย่อมได้อกุศลเท่ากันกับอกุศล
ของคนผู้ถูกชักชวนแม้ทั้งหมดนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า คนเหล่านั้นทั้งหมดย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก.
บทว่า สฺวากฺขาเต ได้แก่ ในพระธรรมและพระวินัยที่ตรัสไว้ดีแล้ว.
คือแสดงไว้ดีแล้ว เพราะในพระธรรมและพระวินัยเห็นปานนี้ พระ-
ศาสดาก็ทรงเป็นพระสัพพัญญู พระธรรมพระศาสดาก็ตรัสไว้ดีแล้ว และ
หมู่คณะก็เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว. บทว่า สพฺเพ เต พหุ ปุญฺญ ปสวติ
อธิบายว่า คนผู้ชักชวนได้เห็นภิกษุทั้งหลายเข้าไปบิณฑบาต ได้ชักชวน
คนอื่น ๆ ให้ถวายข้าวยาคูและภัตเป็นต้น ย่อมได้กุศลเท่ากับกุศลของผู้
ถวายทานแม้ทั้งหมด. เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า คนเหล่านั้น
ทั้งหมด ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก.
บทว่า ทายเกน มตฺตา ชานิตพฺพา ความว่า บุคคลผู้ให้พึงรู้
ประมาณคือพึงให้พอประมาณ ให้จนเต็ม ไม่ควรให้จนล้น แต่ไม่กล่าวว่า
ไม่พึงให้ ดังนี้ กล่าวว่าพึงให้หน่อยหนึ่ง ๆ พอประมาณ. ถามว่า เพราะ
เหตุไร. ตอบว่า เพราะเมื่อเต็มแล้วแม้จะให้เกินไป มนุษยสมบัติ ทิพย-
สมบัติ หรือนิพพานสมบัติที่เกินไปย่อมไม่มี. บทว่า โน ปฏิคฺคาหเกน
ความว่า ก็สำหรับปฏิคาหก ชื่อว่ากิจในการรู้จักประมาณแล้วรับเอา
ย่อมไม่มี. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะขึ้นชื่อว่าปฏิปทาใน
ความเป็นผู้มักน้อย ซึ่งมีมูลมาแต่การรู้ประมาณ เต็มแล้วรับพอประมาณ
ย่อมไม่มีแก่ปฏิคาหกนั้น. แต่ว่าได้เท่าใด ควรรับเอาเท่านั้น. เพราะ
เค้ามูลในการรับอย่างเหลือล้น สำหรับปฏิคาหกนั้น จักเป็นการรับ
เพื่อเลี้ยงบุตรและภรรยาไป.
บทว่า ปฏิคฺคาหเกน มตฺตา ชานิตพฺพา ความว่า บุคคลผู้
เป็นปฏิคาหก พึงรู้ประมาณ. พึงรู้อย่างไร. คือเมื่อจะรับ ต้องรู้อำนาจ
ของผู้ให้ ต้องรู้อำนาจ (ความมากน้อย) ของไทยธรรม ต้องรู้กำลัง
ของตน. ก็ถ้าไทยธรรมมีมาก ผู้ให้ต้องการให้น้อยไซร้ ควรรับเอาแต่
น้อยตามอำนาจของผู้ให้. ไทยธรรมมีน้อย ผู้ให้ต้องการให้มาก ควร
รับเอาแต่น้อยตามอำนาจของไทยธรรม. แม้ไทยธรรมก็มาก แม้ผู้ให้
ก็ต้องการจะให้มาก ปฏิคาหกควรรู้กำลังของตนแล้วรับเอาพอประมาณ
ก็เมื่อรู้ประมาณอย่างนี้แล้วรับเอา ย่อมทำปฏิปทาคือความมักน้อยให้เต็ม
บริบูรณ์. ลาภย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่เคยมีลาภเกิดขึ้นแล้ว ลาภที่เกิด
ขึ้นแล้วย่อมอยู่มั่นคง. บุคคลผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสก็เลื่อมใส บุคคลผู้ที่เลื่อมใส
แล้วก็เลื่อมใสยิ่งขึ้น เป็นประหนึ่งบุคคลผู้เป็นที่สนใจของมหาชน กระทำ
พระศาสนาให้ดำรงอยู่ตลอดกาลนาน. ในข้อนั้น มีเรื่องต่อไปนี้เป็นตัว
อย่าง:-
ได้ยินว่า ในโรหนชนบท มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งอยู่ในกุฬุมริยวิหาร
ในสมัยที่ภิกษาหายาก (ท่าน) รับภัตตาหารทัพพีเดียวเพื่อฉัน ในเรือน
ของนายลัมพกัณณ์ (กรรมกร) คนหนึ่งในบ้านนั้น แล้วรับภัตตาหาร
อีกทัพพีหนึ่งเท่านั้น เพื่อจะไป. วันหนึ่ง ท่านได้เห็นพระภิกษุอาคันตุกะ
รูปหนึ่งในเรือนนั้น จึงรับเอาภัตตาหารทัพพีเดียวเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น
ต่อมาภายหลัง กุลบุตรผู้นั้นเลื่อมใสท่าน จึงบอกแก่พวกมิตรอมาตย์ที่
ประตูพระราชวังว่า พระประจำสกุลของเรา เป็นผู้ชื่อว่ามักน้อยเห็นปาน
นี้. มิตรอำมาตย์แม้ทั้งปวงเหล่านั้นก็เลื่อมใสในคุณคือความมักน้อยของ
ท่าน ต่างพากันตั้งภัตตาหารประจำ ๖๐ ที่ เฉพาะวันหนึ่ง ๆ. ภิกษุผู้
มักน้อยเป็นธรรมดาอย่างนี้แล ย่อมยังลาภที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น.
แม้พระเจ้าสัทธาติสสมหาราช ทรงให้ติสสอำมาตย์ ผู้เป็นคน
อุปัฏฐากใกล้ชิดไปสอบสวน ทรงให้เขาปิ้งนกกระทาตัวหนึ่งมาให้. เมื่อ
ติสสอำมาตย์ทำอย่างนั้นแล้ว ครั้นเวลาจะเสวยจงตรัสว่า เราให้ส่วนที่
เลิศแล้วจึงจักบริโภค จึงให้ประทานเนื้อนกกระทาแก่สามเณรผู้ถือสิ่งของ
ของพระมหาเถระใกล้บริเวณกัสสัตถศาลา เมื่อท่านรับเอาแต่น้อย ก็