No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 130 (เล่ม 33)

พุทธเจ้าออกจากสมาบัติ สะบัดจีวรแล้วก็เหาะขึ้นสู่เวหา ทั้งที่สตรีเหล่านั้น
มองเห็นอยู่นั้นแล. สตรีเหล่านั้นไหม้ในนรกด้วยกรรมนั้น แล้วก็ถึงความ
พินาศครั้งนี้ด้วยเศษกรรมที่สุกงอมแล้ว. แต่ในบริษัท ๔ เกิดการสนทนา
กันขึ้นว่า นางขุชชุตตราผู้พหูสูตตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรี กล่าวธรรมแก่
สตรี ๕๐๐ คนให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ฝ่ายพระนางสามาวดีแผ่เมตตา
ห้ามลูกธนูที่พระราชาทรงกริ้วตนได้. มหาชนก็กล่าวคุณของพระนาง. เรื่อง
ที่เกิดขึ้นอย่างนี้. ต่อมา พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร ทรง
ทำเหตุนั้นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่องแล้วทรงสถาปนานางขุชชุตตรา
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าอุบาสิกาอริยสาวิกาผู้เป็นพหูสูต
ทรงสถาปนาพระนางสามาวดีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าอุบาสิกา
ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๔
อรรถกถาสูตรที่ ๕
๕. ประวัตินางอุตตรานันทมารดา
ในสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ณายีนํ ท่านแสดงว่า นางอุตตรานันทมารดาเป็นเลิศ
กว่าพวกอุบาสิกาผู้ยินดีในฌาน.
ดังได้สดับมา นางอุตตรานั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุ-
มุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ฟังธรรมกถาของพระศาสดา

130
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 131 (เล่ม 33)

เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศ
กว่าพวกอุบาสิกาสาวิกาผู้ยินดีในฌาน ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนา
ตำแหน่งนั้น. นางเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป ในพุทธุป-
บาทกาลนี้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยาปุณณ๑เศรษฐี ผู้อาศัยสุมนเศรษฐี
อยู่ในกรุงราชคฤห์. บิดามารดาตั้งชื่อนางว่า อุตตรา. ในวันงานฉลอง
นักษัตรฤกษ์ครั้งหนึ่ง ราชคหเศรษฐีเรียกนายปุณณะมากล่าวว่า พ่อ
ปุณณะ นักษัตรฤกษ์หรืออุโบสถจักทำอะไรให้แก่คนยากเข็ญได้ เมื่อ
เป็นเช่นนั้น เจ้าจงบอกมาว่า เจ้าจักรับทรัพย์ค่าใช้จ่ายในงานนักษัตร-
ฤกษ์แล้วเล่นนักษัตรฤกษ์ หรือจักพาโคมีกำลัง ผาลและไถไปไถนา
นายปุณณะกล่าวว่า นายท่าน ผมจักปรึกษากับภริยาผมก่อนจึงจะรู้ แล้ว
บอกเรื่องนั้นแก่ภริยา. ภริยาเขากล่าวว่า ธรรมดาเศรษฐีเป็นนายเป็น
อิสรชน คำพูดของเขาที่กล่าวกับท่าน ย่อมงดงาม ส่วนท่านอย่าสละการ
ทำนาของตนเลย. นายปุณณะนั้นฟังคำภริยาแล้ว ก็ไปเพื่อนำเครื่องมือนำ
ไปไถนา. ในวันนั้น พระสารีบุตรเถระออกจากนิโรธสมาบัติ นึกว่าวันนี้
เราควรจะทำการสงเคราะห์ใคร ก็เห็นอุปนิสัยของนายปุณณะนี้ ในเวลา
แสวงหาอาหาร จึงถือบาตรจีวรไปยังที่ ๆ นายปุณณะไถนา แสดงตัว
ในที่ไม่ไกล. นายปุณณะเห็นพระเถระก็หยุดไถนาไปหาพระเถระ ไหว้
ด้วยเบญจางคประดิษฐ์. พระเถระแสดงเขาแล้ว ถามถึงน้ำที่ใช้ได้. เขา
คิดว่า พระผู้เป็นเจ้านี้จักต้องการบ้วนปาก จึงรีบไปจากที่นั้น นำไม้
ชำระฟันมาทำให้เป็นกัปปิยะของสมควรแล้วถวายพระเถระ เมื่อพระเถระ
กำลังเคี้ยวไม้ชำระฟัน ก็นำธมกรก หม้อกรองน้ำกับบาตรออกแล้ว
๑. ม. ปุณฺณสีหสฺส นาม ของบุรุษชื่อว่า ปุณณสีหะ.

131
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 132 (เล่ม 33)

ใส่น้ำเต็มแล้วนำมา. พระเถระก็บ้วนปาก เดินทางแสวงหาอาหาร.
นายปุณณะคิดว่า พระเถระไม่เดินทางนี้ในวันอื่น ๆ แต่วันนี้ที่จัก
เดินทางเพื่อสงเคราะห์เรา โอหนอ ภริยาของเราพึงวางอาหารที่จะนำมาให้
เราลงในบาตรพระเถระ. ครั้งนั้น ภริยาของเขาคิดว่า วันนี้เป็นวัน
นักษัตรฤกษ์ จึงจัดของเคี้ยวของบริโภค โดยทำนองที่ตนจะได้ ถือไป
แต่เช้าตรู่ มายังสถานที่สามีไถนา ระหว่างทางพบพระเถระจึงคิดว่า เรา
พบพระเถระในวันอื่น ๆ ไทยธรรมไม่มี แม้เมื่อมีไทยธรรมเราก็ไม่พบ
พระเป็นเจ้า แต่วันนี้ ทั้งสองอย่างมีพร้อมหน้าแล้ว จำเราจะจัดแจง
ส่วนของสามีของเรานำมาใหม่ จักถวายอาหารส่วนนี้แด่พระเถระเสียก่อน
ทำทานให้ประกอบด้วยเจตนาทั้ง ๓ แล้ววางโภชนะนั้นลงในบาตรพระ-
สารีบุตรเถระแล้วกล่าวว่า ขอดิฉันจงพ้นจากชีวิตยากเข็ญในโลกนี้ ด้วย
ทานอย่างนี้เถิดเจ้าข้า. แม้พระเถระก็ทำอนุโมทนาแก่นางว่า ขออัธยาศัย
ของนางจงเต็มเทอญ กลับจากที่นั้นแล้วก็ไปวิหาร. แม้นางก็กลับบ้าน
ตนอีก แล้วจัดหาอาหารสำหรับสามีนำไปยังสถานที่สามีไถนา กลัวสามี
จะโกรธ จึงกล่าวว่า นายจ๋า วันนี้ขอนายจงอดกลั้นใจของนายไว้วันหนึ่ง
เถิด. เขาถามว่า เพราะเหตุไร. นางตอบว่า วันนี้ดิฉันกำลังนำอาหารมา
สำหรับนาย ระหว่างทางพบพระเถระ จึงวางอาหารส่วนของนายลงใน
บาตรพระเถระ จึงกลับไปเรือนอีก หุงต้มอาหารแล้วนำมา บัดนี้ . เขา
กล่าวว่า น้องเอ๋ย เจ้าทำถูกใจจริง ๆ ถึงฉันก็ถวายไม้ชำระฟันและน้ำ
บ้วนปากแด่พระเถระแต่เช้าตรู่ วันนี้ช่างเป็นโชคของเราจริง ๆ แม้ของ
ทั้งหมดที่เราถวายพระเถระ ก็เกิดเป็นสมบัติของเราทั้งนั้น . แม้ทั้งสองคน
ก็มีจิตเสมือนเป็นอันเดียวกัน.

132
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 133 (เล่ม 33)

ครั้งนั้น นายปุณณะกินอาหารเสร็จแล้ว ก็เอาศีรษะหนุนตักภริยา
นอนครู่หนึ่ง. ขณะนั้นเขาก็หลับไป. เขาหลับไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ตื่นมองดู
ถามที่ไถนา สถานที่มองดูแล้วมองดูอีก ก็ได้เป็นประหนึ่งเต็มไปด้วย
ดอกบวบขมขนาดใหญ่ เขาจึงพูดกะภริยาว่า น้องเอ๋ย นั่นอะไรกัน
วันนี้สถานที่ไถนานี้ปรากฏเป็นทองไปได้. ภริยาพูดว่า นายท่าน วันนี้
เพราะนายท่านเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ชะรอยดวงตาจะพร่าไปก็ได้. เขา
ว่า น้องเอ๋ย เจ้าไม่เชื่อพี่ก็มองดูเองสิ. เวลานั้นภริยามองดูแล้วก็พูด
ว่า นายท่านพูดจริง นั่นคงจักเป็นอย่างนั้น. นายปุณณะลุกขึ้นจับไม้
อันหนึ่งตีที่หัวขี้ไถ. ดินหัวขี้ไถก็เป็นเหมือนเม็ดกลมๆ ฝั่งอยู่ในดินหัวขี้ไถ
ฉะนั้น. เขาเรียกภริยามากล่าวว่า น้องเอ๋ย เมื่อคนอื่น ๆ หว่านเมล็ดพืช
พืชก็ให้ผล ๓-๔ เดือน ส่วนผลทานที่ให้ในวันนี้ ก็ด้วยพืช
คือศรัทธาที่เราจะปลูกลงในระหว่างท่านพระสารีบุตรเถระพระผู้เป็นเจ้า
ของเรา. ในพื้นที่ประมาณกรีสหนึ่งนี้ ทองแม้ขนาดเท่าผลมะขามป้อม
ชื่อว่าไม่ใช่ทอง ไม่มีเลย. ภริยาพูดว่า นายท่าน บัดนี้เราจักทำอย่างไร
เล่า. นายปุณณะพูดว่า น้องเอ๋ย เราไม่อาจนำทองเท่านี้ไปกินได้ดอก
แล้วใส่ทองเต็มถาดที่ภริยานำมาวางไว้ในที่นั้น ให้ภริยานำไปกราบทูล
พระราชาว่า มนุษย์ผู้หนึ่งยืนถือถาดใส่ทอง พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่ง
ให้เรียกเขาเข้าไปตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย เจ้าได้มาแต่ที่ไหน. เขากราบทูลว่า
ข้าแต่เทวะ. สถานที่ข้าพระองค์ไถนาแห่งหนึ่ง ขอได้โปรดส่งคนไปให้
ขนทองที่เกิดแล้วทั้งหมดมาเสีย พระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า เจ้าชื่ออะไร.
ทูลตอบว่า ชื่อว่าปุณณะ พระเจ้าข้า. ตรัสสั่งว่า พนาย พวกเจ้าจงไป
เทียมเกวียนขนทองมาจากสถานที่นายปุณณะไถนา. เหล่าราชบุรุษไปกับ

133
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 134 (เล่ม 33)

เหล่าเกวียน กล่าวว่า บุญของพระราชา ถือเอาก้อนทองไป. ก้อนทองที่ถือ
เอานั้น ก็เป็นก้อนดินขี้ไถไป. ราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลพระราชา.
พระราชาตรัสว่า พนาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงไปกล่าวว่า บุญของนาย
ปุณณะแล้วถือเอาทอง. สิ่งที่เขาถือเอาเป็นทองไปทั้งนั้น . ราชบุรุษ
เหล่านั้นก็นำทองทั้งหมดนั้นมากองไว้ที่พระลานหลวง. กองสูงประมาณ
เท่าต้นตาล. พระราชาโปรดให้เรียกพวกพ่อค้ามาตรัสถามว่า ในเรือนใด
มีทองเท่านี้บ้าง. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ของใคร ๆ ก็ไม่มี
พระเจ้าข้า. ตรัสปรึกษาว่า เราควรจะทำอะไรแก่เจ้าของทรัพย์เท่านี้เล่า
กราบทูลว่า ควรตั้งเขาเป็นธนเศรษฐีสิ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า
ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงแต่งตั้งปุณณะชื่อว่าธนเศรษฐีในพระนครนี้. แล้ว
พระราชทานของทั้งหมดนั้นแก่นายปุณณะนั้นเท่านั้น พระราชทาน
ตำแหน่งเศรษฐีแก่เขาในวันนั้นนั่นเอง. เศรษฐีนั้น เมื่อกระทำมงคล
ก็ได้ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๗ วัน. ใน
วันที่ ๗ เมื่อพระทศพล ทรงทำการอนุโมทนาในภัตทานของปุณณเศรษฐี
ก็ดี ภริยาก็ดี ธิดาก็ดี ทั้งหมดก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
ภายหลัง ราชคหเศรษฐีทราบว่า ปุณณเศรษฐีมีธิดาสาวกเจริญ
วัยอยู่ จึงส่งสาสน์ไปเรือนของปุณณเศรษฐีนั้นขอธิดาเพื่อบุตรของตน.
ปุณณเศรษฐีนั้น ฟังสาสน์ราชคหเศรษฐีนั้นแล้ว ก็ส่งสาสน์ตอบไปว่า
เราไม่ให้ธิดาดอก. ฝ่ายสุมนเศรษฐี [ราชคหเศรษฐี] ส่งสาสน์ไปอีกว่า
ท่านอาศัยเรือนเราอยู่ บัดนี้ ก็เป็นอิสรชน โดยทันทีทันใด แล้วยังจะ
ไม่ให้ธิดาแก่เราหรือ. แต่นั้น ปุณณเศรษฐี ก็ตอบว่า ท่านพูดถึงแต่
สภาพเศรษฐีของท่านก่อนเท่านั้น ชื่อว่าบุรุษ ท่านไม่ควรกำหนดเอาว่า

134
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 135 (เล่ม 33)

ต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาล ความจริงเราสามารถรับเอาพวกบุรุษเช่นนั้น
ทำเป็นทาสก็ได้นะ แต่เราไม่อาจเอื้อมถึงชาติและโคตรของท่านได้ดอก.
อนึ่งเล่า ธิดาของเราก็เป็นพระอริยสาวิกาผู้พระโสดาบัน กระทำการบูชา
ด้วยดอกไม้มีค่าหลายกหาปณะทุก ๆ วัน เราจักไม่ส่งธิดาไปเรือนคน
มิจฉาทิฏฐิเช่นท่าน. ราชคหเศรษฐีรู้ว่า ปุณณเศรษฐีปฏิเสธอย่างนั้น ก็
ส่งสาสน์ไปอีกว่า โปรดอย่าทำลายความสนิทสนมเก่า ๆ เสียเลย เราจัก
ให้จัดดอกไม้มีค่า ๒ กหาปณะทุก ๆ วัน แก่สะใภ้ของเรา. ปุณณเศรษฐี
ก็ตอบรับแล้วส่งธิดาไปเรือนของราชคหเศรษฐีนั้น.
ต่อมาวันหนึ่ง นางอุตตราธิดาของปุณณเศรษฐีนั้น ก็กล่าวกะสามี
ของตนอย่างนี้ว่า ดิฉันทำอุโบสถกรรมประจำเดือนละ ๘ วัน ในเรือน
สกุลของตน แม้บัดนี้ เมื่อท่านรับให้ความยินยอมได้ เราก็จะพึงอธิษฐาน
องค์อุโบสถ. สามีนั้นกล่าวว่า ฉันยินยอมไม่ได้ แล้วก็ไม่รับคำ. นางไม่
อาจทำสามีนั้นให้ยินยอมได้ ก็นิ่งเสีย คิดว่า เราจักอธิฐานองค์อุโบสถ
ภายในพรรษาอีก แม้ครั้งนั้นเมื่อนางขอโอกาส ก็ไม่ได้โอกาสอีกนั่นเอง.
ภายในพรรษา ล่วงไป ๒ เดือนครึ่งยังเหลืออยู่ครึ่งเดือน นางจึงส่งข่าว
ไปบอกบิดามารดาว่า ดิฉันถูกท่านพ่อท่านแม่ส่งไปขังไว้ในที่กักขังตลอด
กาลยาวนานเท่านี้แล้ว จะอธิษฐานองค์อุโบสถแม้ตลอดวันหนึ่งก็ไม่ได้
โปรดส่งกหาปณะ แก่ดิฉัน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะเถิด. บิดามารดาฟังข่าวธิดา
แล้วก็ไม่ถามว่า เพราะเหตุไร ส่งเงินไปให้เลย. นางอุตตรารับกหาปณะ
เหล่านั้นแล้ว. มีหญิงโสเภณีชื่อสิริมาอยู่ในนครนั้น จึงให้เรียกนางมา
แล้วกล่าวว่า แม่สิริมาจ๋า ดิฉันจักอธิฐานองค์อุโบสถ ตลอดครึ่งเดือน
นี้ ขอแม่นางจงรับกหาปณะ ๑๕,๐๐๐ กหาปณะเหล่านั้นไว้ แล้วบำเรอ

135
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 136 (เล่ม 33)

บุตรเศรษฐีตลอดครึ่งเดือนนี้. นางสิริมาก็รับปากว่า ดีละแม่เจ้า. ตั้งแต่
นั้นมา บุตรเศรษฐีคิดว่า เราจักสำเริงสำราญกับนางสิริมา จึงอนุญาตให้
นางอุตตรารับอุโบสถกรรมตลอดครึ่งเดือน. นางอุตตรารู้ว่าสามีรับปาก
ยินยอมแล้ว มีหมู่ทาสีแวดล้อม จัดแจงของเคี้ยวของฉันด้วยมือเองแต่
เช้าตรู่ทุก ๆ วัน เมื่อพระศาสดาทรงทำภัตกิจเสร็จ เสด็จไปวิหารแล้ว
ก็อธิษฐานองค์อุโบสถ ขึ้นปราสาทอันประเสริฐ นั่งระลึกถึงศีลของตน.
ล่วงเวลาไปครึ่งเดือนด้วยอาการอย่างนี้ ในวันสละอุโบสถ นางจึงเที่ยว
จัดแจงข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้นแต่เช้าตรู่.
เวลานั้น บุตรเศรษฐีอยู่บนปราสาทอันประเสริฐกับนางสิริมา เปิด
หน้าต่างกรุตาข่าย ยืนดูสิ่งของไปตามลำดับ นางอุตตราแหงนดูไปทาง
ช่องหน้าต่าง. บุตรเศรษฐีมองดูนางอุตตราคิดว่า หญิงผู้นี้คงถือกำเนิด
แต่สัตว์นรกหนอ ละสมบัติอย่างนี้แล้วเป็นผู้เปรอะเปื้อนด้วยเขม่าหม้อข้าว
วุ่นวายอยู่ระหว่างทาสีทั้งหลายโดยหาควรแก่เหตุไม่ แล้วกระทำการยิ้มแย้ม
นางอุตตราทราบความที่บุตรเศรษฐีนั้นประมาท คิดว่า บุตรเศรษฐีนี้
ชื่อว่าเป็นคนเขลา คงจักสำคัญว่าสมบัติของตนจะอยู่ถาวรทุกเวลา ดังนี้
แล้ว แม้ตนเองก็ทำการยิ้มแย้มบ้าง. แต่นั้นนางสิริมาก็โกรธแล้ว
บริภาษว่า นางทาสีผู้นี้เมื่อเรายืนอยู่ก็ยังทำการยิ้มแย้มกับสามีของเราอย่างนี้
จึงรีบลงจากปราสาท. โดยอากัปกิริยาที่มาของนางสิริมานั้นนั่นแหละ
นางอุตตราก็ทราบว่า หญิงโง่คนนี้อยู่ในเรือนหลังนี้เพียงครึ่งเดือน ก็เกิด
สำคัญว่าเรือนหลังนี้เป็นของเราคนเดียว ดังนี้ ทันใดนั้นนั่งเองก็ยืนเข้า
ฌานมีเมตตาเป็นอารมณ์. ฝ่ายนางสิริมา ก็มาในระหว่างทาสีทั้งหลาย
จับกระบวยเต็มด้วยน้ำมันที่เดือด ในกระทะทอดขนม ราดลงบนศีรษะ

136
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 137 (เล่ม 33)

นางอุตตรา. ด้วยการแผ่เมตตาฌาน น้ำมันเดือดที่นางสิริมาราดลง
บนศีรษะนางอุตตรา ไหลกลับไป เหมือนน้ำที่ราดลงบนใบบัวฉะนั้น.
ขณะนั้นทาสีทั้งหลายที่ยืนใกล้นางสิริมร เห็นเหตุนั้นแล้วก็บริภาษ
นางสิริมานั้น ต่อหน้าว่า ไฮ้ แม่มหาจำเริญ เจ้ารับมูลค่าจากมือแม่นาย
ของเรานาอยู่ในเรือนหลังนี้ ยังพยายามจะมาทำเทียมแม่นายของพวกข้า
หรือ. ขณะนั้น นางสิริมารู้ว่าตัวเป็นอาคันตุกะมาอยู่ชั่วคราว ก็ไปจากที่
นั้นแล้วหมอบลงแทบเท้านางอุตตรา กล่าวว่า แม่นาง ดิฉันไม่ทัน
ใคร่ครวญก็ทำกรรมอย่างนี้ โปรดยกโทษให้ดิฉันเสียเถิด. นางอุตตรา
กล่าวว่า แม่สิริมาจ๋า ฉันยกโทษให้แม่ในฐานะนี้ไม่ได้ดอก ฉันเป็นธิดา
มีบิดา จะยกโทษให้ก็ต่อเมื่อพระทศพลทรงยกโทษให้แม่เท่านั้น.
แม้พระศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร ก็เสด็จมาประทับเหนืออาสนะ
ที่จัดไว้ ณ นิเวศน์ของนางอุตตรา. นางสิริมาจึงไปหมอบแทบพระยุคล
บาทพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กระทำ
ความผิดอย่างหนึ่ง ในระหว่างแม่นางอุตตรา นางกล่าวว่า เมื่อพระองค์
ทรงยกโทษประทาน เราก็จักยกโทษให้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอ
พระองค์โปรดทรงยกโทษประทานแก่ข้าพระองค์ซึ่งขมาโทษอยู่ด้วยเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สิริมา เรายกโทษให้เจ้า. เวลานั้น นางสิริมา
นั้นก็ไปขอให้นางอุตตรายกโทษให้. และในวันนั้น นางสิริมาฟังอนุโมทนา
ภัตทานของพระทศพลว่า
อกฺโกเธน ชิเน โกธํ อสาธุํ สาธุนา ชิเน
ชิเน กทริยํ พาเนน สจฺเจนาลิกวาทินํ.
พึงชำนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชำนะ

137
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 138 (เล่ม 33)

คนไม่ดีด้วยความดี พึงชำระคนตระหนี่ด้วยการให้
พึงชำนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง.
เมื่อจบพระคาถา ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล นิมนต์พระทศพลถวายมหา-
ทาน ในวันรุ่งขึ้น. เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างนี้. ภายหลัง พระศาสดาประทับ
อยู่ ณ พระเชตวันวิหารเมื่อทรงสถาปนาพวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ
จึงทรงสถาปนานางอุตตรานันทมารดา ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็น
เลิศกว่าพวกอุบาสิกา ผู้เข้าฌานแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๕
อรรถกถาสูตรที่ ๖
๖. ประวัติพระนางสุปปวาสา โกลิยธิดา
ในสูตรที่ ๖ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ปณีตทายิกานํ ท่านแสดงว่า พระนางสุปปวาสา
โกลิยธิดา เป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีต.
ดังได้สดับมา พระนางสุปปวาสา โกลิยธิดานั้น ครั้งพระพุทธเจ้า
พระนามว่า ปทุมมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี กำลังฟัง
พระ ธรรมทศนาของพระศาสดาเห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่ง
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีค
ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. นางเวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในสกุลกษัตริย์
พระนครโกลิยะ. พระประยูรญาติจึงขนานพระนามพระนางว่า สุปปวาสา

138
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 139 (เล่ม 33)

ทรงเจริญวัยแล้ว อภิเษกกับศากยกุมารพระองค์หนึ่ง ด้วยการเข้าเฝ้า
ครั้งแรกเท่านั้น สดับธรรมกถาของพระศาสดา ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
ต่อมา พระนางประสูติพระโอรส พระนามว่า สีวลี. เรื่องของพระสีวลี
นั้นกล่าวไว้พิสดารแล้วแต่หนหลัง. วันหนึ่ง พระนางถวายโภชนะอัน
ประณีตมีรสเลิศต่าง ๆ แก่พระภิกษุสงฆ์. มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข.
พระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว เมื่อทรงกระทำอนุโมทนา ทรงแสดงธรรมนี้
แก่พระนางสุปปวาสาว่า ดูก่อนสุปปวาสา อริยสาวิกาผู้ถวายโภชนะ ชื่อว่า
ให้ฐานะทั้ง ๕ แก่พวกปฏิคาหก คือ ให้อายุ ให้วรรณะ ให้สุข ให้พละ
ให้ปฏิภาณ. ก็แลผู้ให้อายุ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุ ทั้งที่เป็นของทิพย์
ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ฯล ฯ ผู้ให้ปฏิภาณ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งปฏิภาณ
ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างนี้. ต่อมา
ภายหลังพระศาสดาประทับนั่ง พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนาพวก
อุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ จึงทรงสถาปนาพระนางสุปปวาสา ไกลิยธิดา
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาสาวิกา ผู้ถวายของมีรส
ประณีต แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๖
อรรถกถาสูตรที่ ๗
๗. ประวัตินางสุปปิยาอุบาสิกา
ในสูตรที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า คิลานุปฏฺฐากานํ ท่านแสดงว่า นางสุปปิยาอุบาสิกา

139