หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 344 (เล่ม 3)

สองบทว่า อิสฺสริยํ กาเรติ ความว่า ห้ามการอยู่คามอำเภอใจแห่ง
หญิงนั้น พระพฤติข่มขี่.
สองบท วสํ วตฺเตติ ความว่า ยังอำนาจของตนให้เป็นไปใน
เบื้องบนแห่งหญิงนั้นอย่างนี้ว่า เจ้าจงทำสิ่งนี้, อย่าได้ทำอย่างนี้. แม้
หญิงทั้งหลาย มีหญิงที่บิดารักษาเป็นต้น ก็พึงทราบโดยอุบายนี้.
โคตร หรือ ธรรม ย่อมรักษาไม่ได้, แต่ว่า หญิงอันชนผู้มี
โคตรเสมอกัน และอันชนผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน คือ ชนผู้บวชอุทิศ
พระศาสดาพระองค์เดียวกัน และชนผู้นับเนื่องในคณะเดียวกัน รักษาแล้ว
ท่านเรียกว่า หญิงอันโคตรรักษา หญิงอันธรรมรักษา. เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวบทภาชนะแห่งบทเหล่านั้น โดยนัยเป็นต้นว่า สโคตฺตา
รกฺขนฺติ. หญิงที่เป็นไปกับด้วยอารักขา ชื่อว่า หญิงมีอารักขา. หญิง
เป็นไปกับด้วยอาชญารอบ ชื่อว่า หญิงมีอาชญารอบ. นิเทศแห่งหญิง
เหล่านั้นปรากฏชัดแล้วแล. บรรดาหญิง ๑๐ จำพวกนี้ เฉพาะสองพวก
หลังเท่านั้นเมื่อคบหาชายอื่นย่อมเป็นมิจฉาจาร, พวกนอกนี้หาเป็นไม่.
บรรดาหญิงที่เขาซื้อด้วยทรัพย์เป็นต้น หญิงที่เขาซื้อมาด้วยทรัพย์
น้อยบ้าง มากบ้าง ชื่อว่า ธนักกีตา ก็เพราะหญิงนั้น เพียงเขาซื้อมา
ด้วยทรัพย์เท่านั้น ยังไม่ชื่อว่าเป็นภรรยา, แต่ที่ชื่อว่าภรรยา ก็เพราะเขา
ซื้อมาเพื่อประโยชน์แก่การอยู่ร่วม, ฉะนั้น ในนิเทศแห่งบทว่า ธนกฺกีตา
นั้น พระอุบาลีเถระจึงกล่าวว่า ชายซื้อมาด้วยทรัพย์แล้วให้อยู่.
หญิงใด ย่อมอยู่ด้วยความพอใจ คือ ด้วยความยินดีของตน,
เหตุนั้น หญิงนั้น ชื่อว่า ฉันทวาสินี. ก็เพราะเหตุที่หญิงนั้นยอมเป็น
ภรรยาด้วยเหตุสักว่าความพอใจของตนฝ่ายเดียว ก็หามิได้, แต่ที่ชื่อว่า

344
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 345 (เล่ม 3)

เป็นภรรยา เพราะเป็นผู้อันชายรับรองแล้ว, ฉะนั้น ในนิเทศแห่งบทว่า
ฉนฺทวาสินี นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชายที่รัก ย่อมยังหญิงที่รักให้อยู่.
หญิงใด ย่อมอยู่ด้วยโภคะ. เหตุนั้น หญิงนั้น ชื่อว่า โภค-
วาสินี. คำว่า โภควาสินี นั่น เป็นชื่อแห่งหญิงในชนบท ผู้ได้อุปกรณ์
แห่งเรือน มีครก สากเป็นต้น แล้วเข้าถึงความเป็นภรรยา.
หญิงใด ย่อมอยู่ด้วยแผ่นผ้า, เหตุนั้น หญิงนั้น ชื่อว่า ปฏวาสินี.
คำว่า ปฏวาสินี นั่น เป็นชื่อแห่งหญิงเข็ญใจ ผู้ได้เพียงผ้านุ่งบ้าง
ผ้าห่มบ้าง แล้วเข้าถึงความเป็นภรรยา.
คำว่า โอทปตฺตกินี นั่น เป็นชื่อแห่งหญิงผู้ที่หมู่ญาติยังมือของ
คู่บ่าวสาวให้จุ่มลงในถาดน้ำ ถาดเดียวกัน แล้วกล่าวว่า เจ้าทั้งสองจง
ปรองดองไม่แตกกันดุจน้ำนี้เถิด ดังนี้ แล้วกำหนดถือเอา. แม้ในนิเทศ
แห่งบทว่า โอทปตฺตกินิ นั้น พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า ญาติให้ชาย
นั้น จับภาชนะน้ำร่วมกับหญิงนั้น แล้วให้อยู่.
เทริดของสตรีนั้นอันบุรุษนำลง คือ ปลงลงแล้ว เหตุนั้น สตรีนั้น
ชื่อว่า โอภฏจุมฺพฏา, คือ บรรดาสตรีทั้งหลาย มีสตรีขายฟืนเป็นต้น
คนใดคนหนึ่ง. คำว่า โอภฏจุมฺพฏา นั่น เป็นชื่อแห่งสตรีผู้ที่บุรุษยก
เทริดลงจากศีรษะ แล้วให้อยู่ในเรือน.
บทว่า ทาสี จ ได้แก่ สตรีเป็นทั้งทาสี ทั้งภรรยาของตน. สตรี
ผู้ทำงานในเรือนเพื่อค่าจ้าง ชื่อว่า สตรีทำการงาน, บุรุษบางคนไม่มี
ความต้องการด้วยภรรยาของตน จงสำเร็จการครองเรือนกับสตรีนั้น;
สตรีนี้ ท่านเรียกว่า สตรีผู้ทำการงานด้วย เป็นภรรยาด้วย.
สตรีผู้อันธงนำมาแล้ว ชื่อว่า ธชาหฏา. มีคำอธิบายว่า สตรี

345
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 346 (เล่ม 3)

ผู้อันกองทัพยกธงขึ้นแล้วไปโจมตีเขตแดนของปรปักษ์แล้วนำมา บุรุษ
บางคนทำสตรีนั้นให้เป็นภรรยา, สตรีนี้ชื่อว่า ธชาหฏา สตรีที่บุรุษ
พึงอยู่ร่วมเพียงชั่วครู่หนึ่ง มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. เป็นมิจฉาจารแก่
สตรีทั้ง ๑๐ จำพวกนี้ ในเพราะคบหาชายาอื่น. ก็ในสตรีทั้ง ๓๐ จำพวกนี้
เป็นมิจฉาจารแก่พวกบุรุษ, และก็เป็นการชักสื่อแก่ภิกษุด้วย.
[อธิบายนิกเขปบทเรื่องชายวานภิกษุ]
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปุริโส ภิกฺขุ ปกิณาติ เป็นอาทิ
ดังต่อไปนี้:-
ภิกษุนั้นรับคำที่ชายนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านโปรดไปพูดกะหญิง
ที่มารดาปกครองชื่อนี้ว่า ได้ยินว่า หล่อนจงเป็นภรรยาสินไถ่ของชาย
ชื่อนี้ ดังนี้ ด้วยลั่นวาจาด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งว่า ดีละอุบาสก ?
หรือว่าจงสำเร็จ หรือว่าเราจักบอก หรือด้วยกายวิการมีพยักศีรษะเป็นต้น
ชื่อว่า รับ.
ครั้นรับอย่างนั้นแล้ว ไปยังสำนักหญิงนั้น บอกคำสั่งนั้น ชื่อว่า
บอก.
เมื่อคำสั่งนั้นอันเธอบอกแล้ว หญิงนั้นรับว่า ดีละ หรือห้ามเสีย
หรือนิ่งเสีย เพราะอายก็ตามที, ภิกษุกลับมาบอกข่าวนั้นแก่ชายนั้น ชื่อว่า
กลับมาบอก. ด้วยอาการเพียงเท่านี้เป็นสังฆาทิเสส เพราะครบองค์ ๓
กล่าวว่า รับคำ บอก กลับมาบอก. แต่หญิงนั้น จะเป็นภรรยาของชาย
นั้นหรือไม่ ก็ตามที นั่นไม่ใช่เหตุ พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า ก็ถ้า
ภิกษุนั้น อันชายวานไปยังสำนักของหญิงที่มารดาปกครอง ไม่พบหญิงนั้น
จึงบอกคำสั่งนั้นแก่มารดาของหญิงนั้น ชื่อว่าบอกนอกคำสั่ง, เพราะฉะนั้น

346
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 347 (เล่ม 3)

จึงผิดสังเกต. ฝ่ายพระมหาสุมเถระกล่าวว่า จะเป็นมารดา หรือบิดา
ก็ตามที่ ชั้นที่สุดแม้เป็นทาสีในเรือน หรือผู้อื่นคนใดคนหนึ่ง จักยัง
กิริยานั้นให้สำเร็จได้, เมื่อคำสั่งนั้นอันภิกษุนั้น แม้บอกแล้วแก่ผู้นั้น
เป็นอันบอกแล้วทีเดียว, เพราะฉะนั้น คงเป็นอาบัติเหมือนกัน ในเวลา
ครบองค์ ๓, ภิกษุใดใคร่จะกล่าวว่า พุทธํ ปจฺจกฺขามิ พึงกล่าวผิดไปว่า
ธมฺมํ ปจฺจกฺขามิ สิกขาพึงเป็นอันเธอลาแล้วมิใช่หรือ ข้อนี้ ฉันใด,
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุใคร่จะกล่าวว่า ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชามิ พึงกล่าว
ผิดไปว่า ทุติยํ ฌานํ สมาปชฺชามิ เธอพึงเป็นผู้ต้องปาราชิกแท้มิใช่หรือ
ข้อนี้ ฉันใด, คำเป็นเครื่องยังอุปไมยให้ถึงพร้อมนี้ ก็ฉันนั้น.
ก็คำของพระสุมเถระนั่นแหละ สมด้วยบทนี้ว่า ภิกษุรับแต่ให้
อันเตวาสิกบอก แล้วกลับมาบอกด้วยตนเอง ต้องสังฆาทิเสส, เพราะ-
ฉะนั้น คำของท่านเป็นอันกล่าวชอบแล้ว.
เมื่อภิกษุอันชายสั่งว่า ท่านโปรดบอกหญิงอันมารดาปกครอง แล้ว
ไปบอกแม้แก่ชนอื่นมีมารดาเป็นต้น ผู้สามารถจะบอกแก่หญิงนั้นได้,
ความผิดสังเกตย่อมไม่มี ฉันใด; ในเมื่อควรจะบอกว่า ได้ยินว่า หล่อนจง
เป็นภรรยาสินไถ่ของชายชื่อนี้ แม้เมื่อภิกษุบอกด้วยอำนาจคำว่า ผู้อยู่
ร่วมด้วยความพอใจ เป็นต้น คำใดคำหนึ่ง ที่ตรัสไว้ในบาลีอย่างนี้ว่า
ได้ยินว่า หล่อนจงเป็นภรรยา ผู้อยู่ด้วยความพอใจของชายชื่อนี้ หรือ
ด้วยอำนาจคำทั้งหลาย แม้ที่ไม่ได้ตรัสไว้แต่แสดงความอยู่ร่วมกันมีอาทิ
อย่างนี้ว่า ได้ยินว่า หล่อนจงเป็นภรรยา ชายา ปชาบดี มารดาของบุตร
แม่เรือน แม่เจ้าเรือน แม่ครัว นางบำเรอ หญิงบำเรอกาม ของชาย

347
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 348 (เล่ม 3)

ชื่อนี้ ดังนี้ คำใดคำหนึ่ง ความผิดสังเกต ย่อมไม่มี ฉันนั้นแล. คง
เป็นอาบัติแท้ เพราะครบองค์ ๓.
แต่เมื่อภิกษุอันชายวานว่า โปรดบอกหญิงที่มารดาปกครอง แล้วไป
บอกหญิงเหล่าอื่นมีหญิงที่บิดาปกครองเป็นต้น คนใดคนหนึ่ง ผิดสังเกต.
แม้ในบทว่า ปิตุรกฺขิตํ พฺรูหิ เป็นต้น ก็นัยนี้แหละ. อันที่จริง ความ
แปลกกันในบทว่า ปิตุรกฺขิตํ พฺรูหิ เป็นต้นนี้ ก็เพียงความต่างแห่ง
เปยยาล ด้วยอำนาจแห่งจักร มีเอกมูลจักร และทุมูลกจักรเป็นต้น
และด้วยอำนาจแห่งคนเดิม มีอาทิอย่างนี้ คือมารดาของชายวานภิกษุ,
มารดาของหญิงอันมารดาปกครองวานภิกษุ, หญิงที่มารดาปกครองวาน
ภิกษุเท่านั้น. แต่ความแปลกกันนั้น ผู้ศึกษาอาจทราบได้ ตามแนวแห่ง
พระบาลีนั่นเอง เพราะมีนัยดังได้กล่าวไว้แล้วในก่อน เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงมิได้ทำความเอื้อเฟื้อเพื่อแสดงวิภาคแห่งความแปลกกันนั้น.
ก็ใน ๒จตุกกะ มีคำว่า ปฏิคฺคณฺหาติ เป็นอาทิ ในจตุกกะ
ที่ ๑ เป็นสังฆาทิเสส เพราะครบองค์ ๓ ด้วยบทต้น เป็นถุลลัจจัย
เพราะครบองค์ ๒ ด้วยบทท่ามกลาง, เป็นทุกกฏ เพราะครบองค์ ๑
ด้วยบทเดียวสุดท้าย. ในจตุกกะที่ ๒ เป็นถุลลัจจัย เพราะครบองค์ ๒
ด้วยบทต้น, เป็นทุกกฏ เพราะครบองค์ ด้วยสองบทท่ามกลาง,
ไม่เป็นอาบัติ เพราะไม่มีองค์ ด้วยบทเดียวสุดท้าย.
[อธิบายเรื่องภิกษุรับคำของหญิงผู้วานเป็นต้น]
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รับ ได้แก่ รับคำสั่งของผู้วาน.
บทว่า บอก ได้แก่ ไปสู่ที่ซึ่งเขาวานไปแล้ว บอกคำสั่งนั้น.

348
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 349 (เล่ม 3)

บทว่า กลับมาบอก ได้แก่ กลับมาบอกแก่ผู้วานซึ่งเป็นต้นเดิม.
บทว่า ไม่กลับมา ได้แก่ บอกแล้วหลีกไปจากที่นั้นเสีย.
บทว่า ไม่บอก แต่กลับมาบอก ได้แก่ ผู้อันชายวานว่า ท่าน
โปรดไปบอกหญิงชื่อนี้ รับคำสั่งของเขาว่า ได้ซี แล้วจะลืมเสีย หรือ
ไม่ลืมคำสั่งนั้นก็ตาม ไปสู่สำนักของหญิงนั้นด้วยกรณียกิจอย่างอื่น นั่ง
กล่าวคำบ้างเล็กน้อย, ด้วยอาการเพียงเท่านี้ ท่านเรียกว่า รับ แต่ไม่บอก.
ลำดับนั้น หญิงนั้นพูดเองกะภิกษุนั้นว่า ได้ยินว่า อุปัฏฐากของ
ท่านอยากได้ดิฉัน ดังนี้, ครั้นพูดอย่างนี้แล้ว จึงพูดว่า ดิฉันจักเป็น
ภรรยาของเขา หรือว่าจักไม่เป็น ก็ดี, ภิกษุนั้นไม่รับรอง ไม่คัดค้าน
คำของหญิงนั้น นิ่งเฉยเสีย ลุกจากที่นั่งมายังสำนักของชายนั้นบอกข่าว
นั้น, ด้วยอาการเพียงเท่านี้ ท่านเรียกว่า ชื่อว่า ไม่บอก แต่กลับมา
บอก.
บทว่า ไม่บอก ไม่กลับมาบอก ได้แก่ รับในเวลาที่บอกคำสั่ง
อย่างเดียวเท่านั้น, แต่ว่า ไม่ทำกิจสองอย่างนอกนี้.
บทว่า ไม่รับ แต่บอก กลับมาบอก ได้แก่ ชายบางคนกล่าว
ถ้อยคำเห็นปานนั้น ในที่ซึ่งภิกษุยืนอยู่ หรือที่ซึ่งนั่งอยู่ ภิกษุแม้อันเขาไม่
ได้วานเลย แต่เป็นดังถูกเขาวาน จึงไปยังสำนักของหญิง แล้วบอกโดย
นัยเป็นต้นว่า ได้ยินว่า หล่อนจงเป็นภรรยาของชายชื่อนี้ แล้วกลับมาบอก
ความชอบใจ หรือไม่ชอบใจปองหญิงนั้นแก่ชายนี้. ภิกษุบอกแล้วกลับ
มาบอกโดยนัยนั้นนั่นแหละ ท่านเรียกว่า ไม่รับ แต่บอก และกลับ
มาบอก ภิกษุผู้ไปแล้วโดยนัยนั้นนั่นแล แต่ไม่บอก ฟังถ้อยคำของหญิง
นั้นพูดแล้ว มาบอกแก่ชายนี้ ตามนัยที่กล่าวแล้ว ในบทที่ ๓ แห่งปฐม-

349
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 350 (เล่ม 3)

จตุกกะ ท่านเรียกว่า ไม่รับ ไม่บอก แต่กลับมาบอก. บทที่ ๔
ชัดเจนแล้วแล. นัยทั้งหลายเป็นต้นว่า วานภิกษุมากหลาย ชัดเจนแล้ว
เหมือนกัน. เหมือนอย่างว่า ภิกษุแม้หลายรูปด้วยกัน ย่อมต้องอาบัติ
ในเพราะวัตถุเดี่ยว ฉันใด, พึงทราบอาบัติมากหลายในเพราะวัตถุมาก
หลาย แม้แห่งภิกษุรูปเดียว ฉันนั้น.
เป็นอย่างไร ? ชายวานภิกษุว่า ท่านขอรับ ! ขอท่านโปรดไป
ที่ปราสาทชื่อโน้น มีหญิงประมาณ ๖๐ หรือ ๗๐ คน, ท่านโปรดบอก
หญิงเหล่านั้นว่า ได้ยินว่า พวกหล่อนจงเป็นภรรยาของชายชื่อนี้ ภิกษุ
นั้นรับแล้ว ไปที่ปราสาทนั้นทีเดียว บอกแล้วนำข่าวนั้นกลับมาอีก
เธอต้องอาบัติเท่าจำนวนหญิง. จริงอยู่ แม้ในคัมภีร์ปริวาร พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าก็ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
ภิกษุพึงต้องครุกอาบัติ ที่ยังทำคืนได้ทั้งหมด
พร้อมกันทั้ง ๖๔ ตัว ด้วยสักว่าย่างเท้าเดินไป และ
กล่าวด้วยวาจา ปัญหานี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกัน
แล้ว.
ได้ยินว่า ปัญหานี้ ท่านอาศัยอำนาจแห่งอรรถนี้กล่าวแล้ว. ส่วน
คำว่าอาบัติ ๖๔ ตัว ในคำถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส เพื่อความสล ะ
สลวยแห่งถ้อยคำ. แต่เมื่อภิกษุทำอย่างนั้น ย่อมต้องอาบัติตั้ง ๑๐๐ ตัวก็ได้
ตั้ง ๑,๐๐๐ ตัวก็ได้ฉะนั้นแล.
เหมือนอย่างว่า เป็นอาบัติมากหลายในเพราะหญิงมากหลายแก่
ภิกษุรูปเดียว ที่ชายคนเดียววานไป ฉันใด, ชายคนเดียว วานภิกษุมาก
หลายไปยังสำนักของหญิงคนเดียว, เป็นสังฆาทิเสส แก่ภิกษุทั้งหมดทุกรูป
ฉันนั้น.

350
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 351 (เล่ม 3)

ชายคนเดียว วานภิกษุมากรูปด้วยกันไปยังสำนักของหญิงจำนวน
มากด้วยกัน เป็นสังฆาทิเสสตามจำนวนหญิง. ชายมากคนด้วยกัน วาน
ภิกษุรูปเดียวไปยังสำนักของหญิงคนเดียว เป็นสังฆาทิเสสตามจำนวน
ของชาย. ชายมากคนด้วยกัน วานภิกษุรูปเดียวไปยังสำนักของหญิงมาก
คนด้วยกัน เป็นสังฆาทิเสสตามจำนวนวัตถุ. ชายมากคนด้วยกัน วาน
ภิกษุมากรูปด้วยกันไปยังสำนักหญิงคนเดียว เป็นสังฆาทิเสสตามจำนวน
วัตถุ. ชายมากคนด้วยกัน วานภิกษุมากรูปไปยังสำนักแห่งหญิงมากคน
ด้วยกัน เป็นสังฆาทิเสสตามจำนวนวัตถุ. แม้ในคำว่า หญิงคนเดียว
วานภิกษุรูปเดียว เป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ก็ในสัญจริตตสิกขาบทนี้
ชื่อว่า ความเป็นผู้ถูกส่วน และไม่ถูกส่วนกันไม่เป็นประมาณ. เมื่อภิกษุ
ทำการชักสื่อ แก่บิดามารดาก็ดี แก่สหธรรมิกทั้ง ๕ ก็ดี เป็นอาบัติ
ทั้งนั้น. จตุกกะว่า ชายวานภิกษุว่า ไปเถิดท่านขอรับ ท่านกล่าวไว้
เพื่อแสดงชนิดแห่งอาบัติ ด้วยอำนาจแห่งองค์.
ในบทท้ายแห่งจตุกกะนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-
หลายบทว่า อันเตวาสิกบอกแล้ว กลับมาบอกภายนอก มีความ
ว่า อันเตวาสิกมาแล้วไม่บอกแก่อาจารย์ ไปเสียทางอื่นบอกแก่ชายผู้นั้น.
หลายบทว่า อาปตฺติ อุภินฺนฺนํ ถุลฺลจฺจยสฺส มีความว่า เป็นถุล-
ลัจจัยแก่อาจารย์ด้วยองค์ ๒ คือ เพราะคำรับ ๑ เพราะใช้ให้บอก ๑.
เป็นถุลลัจจัยแก่อันเตวาสิกด้วยองค์ ๒ คือ เพราะบอก ๑ เพราะกลับมา
บอก ๑. คำที่เหลือ ปรากฏชัดแล้วแล.

351
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 352 (เล่ม 3)

สองบทว่า คจฺฉนฺโต สมฺปาเหติ ได้แก่ รับ และบอก.
สองบทว่า อาคจฺฉนฺโต วิสํวาเทติ ได้แก่ ไม่กลับมาบอก.
สองบทว่า คจฺฉนฺโต วิวาเทติ ได้แก่ ไม่รับ.
สองบทว่า อาคจฺฉนฺโต สมฺปาเทติ ได้แก่ บอก และกลับมาบอก.
ในบททั้งสองอย่างนี้ เป็นถุลลัจจัยด้วยองค์ ๒. ในบทที่ ๓ เป็น
อาบัติ, ในบทที่ ๔ ไม่เป็นอาบัติ.
ในคำว่า อนาปตฺติ สงฺฆสฺส วา เจติยสฺส วา คิลานสฺส วา กรณี-
เยน คจฺฉติ อุมมฺตฺตกสฺส อาทิกมฺมิกสสฺ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- I
อุโปสถาคาร หรือการงานอะไร ๆ ของภิกษุสงฆ์ที่ทำค้างไว้มีอยู่,
อุบาสกวานภิกษุไปยังสำนักของอุบายสิกา หรืออุบายสิกาวานภิกษุไปยัง
สำนักของอุบาสก เพื่อต้องการอาหารและค่าแรงงานสำหรับพวกคนงาน
(พวกช่าง) ในการสร้างอุโปสถาคารเป็นต้นนั้น, เมื่อภิกษุไปด้วยกรณียะ
ของสงฆ์เช่นนี้ ไม่เป็นอาบัติ. แม้ในเจติยกรรมที่กำลังทำ ก็มีนัยเหมือน
กันนี้. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้อันอุบาสกวานแล้ว ไปยังสำนักของอุบาสิกา
หรือผู้อันอุบาสิกาวานแล้ว ไปยังสำนักของอุบาสก แม้เพื่อต้องการยา
สำหรับภิกษุอาพาธ. ภิกษุบ้าและภิกษุผู้เป็นอาทิกัมมิกะ มีนัยดังกล่าว
แล้วนั่นแล.
บรรดาปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๖
เมื่อภิกษุรับข่าวสารด้วยกายวิการมีผงกศีรษะเป็นต้น ไปบอกด้วยหัวแม่มือ
แล้วกลับมาบอกด้วยหัวแม่มือ, อาบัติเกิดโดยลำพังกาย. เมื่อใคร ๆ กล่าว
แก่ภิกษุผู้นั่งที่หอฉันว่า หญิงชื่อนี้ จักมา, ท่านพึงทราบจิตของนาง
แล้วรับว่า ดีละ บอกกะนางผู้มาหา เมื่อนางกลับไปแล้ว บอกในเมื่อ

352
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 353 (เล่ม 3)

ชายนั้นกลับมาหา, อาบัติเกิดโดยลำพังวาจา. แม้เมื่อภิกษุรับคำสั่งด้วย
วาจาว่า ได้ซี แล้วไปยังเรือนของหญิงนั้นด้วยกรณียะอื่น หรือพบหญิง
นั้นในเวลาไปที่อื่น แล้วบอกด้วยเปล่งวาจานั้นแล ยังไม่หลีกไปจากที่นั้น
ด้วยเหตุอื่นนั่นเอง บังเอิญพบชายคนนั้นเข้าอีกแล้วบอก, อาบัติย่อมเกิด
โดยลำพังวาจาอย่างเดียว. แต่อาบัติย่อมเกิดโดยทางกายและวาจา แม้แก่
พระขีณาสพผู้ไม่รู้พระบัญญัติ.
เป็นอย่างไร? ก็ถ้าว่า มารดากับบิดาของภิกษุนั้นโกรธกันเป็น
ผู้หย่าร้างขาดกันแล้ว. ก็บิดาของพระเถระนั้น พูดกะภิกษุนั้นผู้มายังเรือน
ว่า แน่ะลูก ! โยมมารดาของท่านทิ้งโยมผู้แก่เฒ่าไปสู่ตระกูลญาติเสียแล้ว,
ขอท่านไปส่งข่าวให้โยมมารดานั้น (กลับมา) เพื่อปรนนิบัติโยมเถิด. ถ้า
ภิกษุนั้นไปพูดกะโยมมารดานั้นแล้วกลับมาบอกข่าวการมา หรือไม่มาแห่ง
โยมมารดานั้น แก่โยมบิดา เป็นสังฆาทิเสส.
๓ สมุฏฐานนี้ เป็นอจิตตกสมุฏฐาน แต่เมื่อภิกษุทราบพระบัญญัติ
แล้ว ถึงความชักสื่อโดยนัยทั้ง ๓ นี้แหละ อาบัติย่อมเกิดทางกายกับ
จิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑. ๓ สมุฏฐานนี้ เป็น
สจิตตกสมุฏฐาน ด้วยจิตที่รู้พระบัญญัติ. เป็นกิริยาโนสัญญาวิโมกข์
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม และในสิกขาบทนี้ มีจิต ๓ ดวง
ด้วยสามารถแห่งกุศลจิตเป็นต้น มีเวทนา ๓ ด้วยสามารถแห่งสุขเวทนา
เป็นต้น ฉะนี้แล.
บรรดาวินีตวัตถุทั้งหลาย ใน ๕ เรื่องข้างต้น เป็นทุกกฏ เพราะ
เป็นแต่เพียงรับ.
ในเรื่องทะเลาะกัน มีวินิจฉัย ดังนี้:-

353