No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 226 (เล่ม 32)

เอตทัคคบาลี
วรรคที่ ๑
ว่าด้วยภิกษุผู้มีตำแหน่งเลิศ ๑ ท่าน
[๑๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอัญญาโกณฑัญญะ เลิศกว่า
พวกภิกษุสาวกของเราผู้รู้ราตรีนาน.
พระสารีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษสาวกของเราผู้มีปัญญามาก.
พระมหาโมคคัลลานะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์.
พระมหากัสสป เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา ผู้ทรงธุดงค์
และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์.
พระอนุรุทธะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีทิพยจักษุ.
พระภัตทิยกาฬิโคธาบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เกิด
ในตระกูลสูง.
พระลกุณฏกภัททิยะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีเสียง
ไพเราะ.
พระปิณโฑลภารทวาชะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้
บันลือสีหนาท.
พระปุณณมันตานีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เป็น
ธรรมกถึก.
พระมหากัจจานะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้จำแนก
อรรถแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร.
จบวรรคที่ ๑

226
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 227 (เล่ม 32)

เอตทัคควรรคที่ ๔
๑. วรรคที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๑
ในสูตรที่ ๑ ของวรรคที่ ๑ ในเอตทัคควรรค พึงทราบวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้.
บทว่า เอตทคฺคํ ตัดบทเป็น เอตํ อคฺคํ. ก็อัคคศัพท์นี้ ในบทว่า
เอตทคฺคํ นั้น ปรากฏในอรรถว่าเบื้องต้น ในประโยค มีอาทิว่า
ที่สุด. อัคคศัพท์ ปรากฏในอรรถว่าเบื้องต้น ในประโยค มีอาทิว่า
ดูก่อนนายประตูผู้สหาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราเปิดประตู สำหรับ
พวกนิครนถ์ชายหญิง. มาในอรรถว่า ปลาย ในประโยคมีอาทิว่า
บุคคลพึงเอาปลายนิ้วมือนั้นนั่นแล แตะต้องปลายนิ้วมือนั้น ปลายอ้อย
ปลายไม้ไผ่. มาในอรรถว่า ส่วน ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตแบ่งส่วนเปรี้ยว ส่วนอร่อย หรือส่วนขม, ตาม
ส่วนแห่งวิหาร หรือตามส่วนแห่งบริเวณ. มาในอรรถว่า ประเสริฐ
สุด ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย มีประมาณ
เท่าใด ไม่มีเท้าก็ตาม ฯลฯ พระตถาคตปรากฏว่าประเสริฐ ุ
กว่าสัตว์เหล่านั้น. ในที่นี้ อัคคศัพท์นี้ ย่อมใช้ได้ ทั้งในอรรถว่าปลาย
ทั้งในอรรถว่าประเสริฐสุด. จริงอยู่ พระเถระเหล่านั้น ชื่อว่าอัคคะ
เพราะเป็นที่สุดบ้าง เพราะประเสริฐสุดบ้าง ในตำแหน่งอันประเสริฐ
สุดของตน เพราะฉะนั้น อรรถในบทว่า เอตทคฺคํ นี้ มีดังนี้ว่า
นี้เป็นที่สุด นี้ประเสริฐสุด. แม้ในสูตรทั้งปวงก็นัยนี้เหมือนกัน.

227
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 228 (เล่ม 32)

ก็ธรรมดาการแต่งตั้งในตำแหน่ง เอตทัคคะ นี้ ย่อมได้โดย
เหตุ ๔ ประการคือ โดยเหตุเกิดเรื่อง โดยการมาก่อน โดยเป็นผู้
ช่ำชองชำนาญ โดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ ในเหตุ ๔ อย่างนั้น พระเถระ
บางรูป ย่อมได้ตำแหน่งเอตทัคคะ โดยเหตุอย่างเดียว บางรูปได้
โดยเหตุ ๒ อย่าง บางรูปได้โดยเหตุ ๓ อย่าง บางรูปได้ด้วยเหตุ
ทั้ง ๔ อย่างหมดทีเดียว เหมือนท่านพระสารีบุตรเถระ. จริงอยู่
ท่านพระสารีบุตรเถระนั้น ได้ตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะเป็นผู้มีปัญญา
มาก โดยเหตุเกิดเรื่องบ้าง โดยเหตุการณ์มาก่อนบ้าง. อย่างไร ?
สมัยหนึ่ง พระศาสดาประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงแสดง
ยมกปาฏิหาริย์ ปราบพวกเดียรถีย์ ณ โคนต้นคัณฑามพฤกษ์
ไม้มะม่วงหอม ทรงดำริว่า พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย ทรงกระทำ
ยมกปาฏิหาริย์แล้ว เข้าจำพรรษา ณ ที่ไหนหนอ ทรงทราบว่า
ณ ภพดาวดึงส์ ทรงแสดงรอยพระบาทไว้ ๒ รอย รอยที่ ๓ ประทับไว้
ณ ดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราช ทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ลุกจากบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เสด็จไปต้อนรับ พร้อมด้วยหมู่เทพดา.
เทวดาทั้งหลายคิดกันว่า ท้าวสักกเทวราช แวดล้อมไปด้วยหมู่เทพ
ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ยาว ๖๐ โยชน์ เสวยมหาสมบัติ.
จำเดิมแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทับนั่งแล้ว คนอื่นไม่สามารถ
จะวางแม้แต่มือลง ณ พระแท่นนี้ได้ ฝ่ายพระศาสดา ประทับนั่ง
ณ ที่นั้นแล้ว ทรงทราบวาระจิต ของทวยเทพเหล่านั้นแล้ว ประทับนั่ง
ล้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์หมดเลย เหมือนท่านผู้ทรงผ้าบังสุกุลผืนใหญ่
นั่งล้นตั่งน้อยฉะนั้น.

228
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 229 (เล่ม 32)

แต่ใคร ๆ ไม่ควรกำหนดว่า พระศาสดาเมื่อประทับนั่งอย่างนี้
ทรงนิรมิตพระสรีระของพระองค์ให้ใหญ่ หรือทรงทำบัณฑุกัมพล
ศิลาอาสน์ให้เล็ก. ด้วยว่าพุทธวิสัย เป็นอจินไตย (ใคร ๆ ไม่ควรคิด) ก็
พระองค์ประทับนั่งอย่างนี้แล้ว การทำพระมารดาให้เป็นกายสักขีประจักษ์
พยาน เริมทรงแสดงอภิธรรมปิฎก มีอาทิว่า กุศลธรรม อกุศลธรรม
โปรดทวยเทพในหมื่นจักรวาล
แม้ในที่ทรงทำยมกปฏิหาริย์ บริษัททั้งหมดประมาณ ๒ โยชน์
เข้าไปหาพระอนุรุทธะ ถามว่า ท่านผู้เจริญ พระทสพลประทับอยู่
ณ ที่ไหน ? พระอนุรุทธะตอบว่า พระทสพลเข้าจำพรรษา ณ บัณฑุ-
กัมพลศิลาอาสน์ ในภพดาวดึงส์ เริ่มแสดงอภิธรรมปิฎก บริษัท
ถามว่า ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้า ไม่เห็นพระศาสดาก็จักไม่กลับไป
ท่านทั้งหลายจงรู้เวลาที่พระศาสดาเสด็จมาว่า เมื่อไรพระศาสดา
จักเสด็จมา พระอนุรุทธะ กล่าวว่า พวกท่านจงไว้หน้าที่แก่พระ-
มหาโมคคัลลานเถระเถิด ท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว จักนำข่าว
มา. บริษัทถามว่า ก็กำลังของพระเถระที่จะไปในที่นั้นไม่มี
หรือ ? พระอนุรุทธะกล่าวอย่างนี้ว่า มีอยู่. แต่ขอบริษัทจงดูคุณ
วิเศษเถิด. มหาชนเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานเถระ อ้อนวอนขอให้
ท่านรับข่าวของพระศาสดาเสด็จมา. เมื่อมหาชนกำลังเห็นอยู่นั่นแหละ.
พระเถระก็ดำลงในมหาปฐพีไปภายในเขาสิเนรุ ถวายบังคมพระ
ศาสดาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาชนประสงค์จะเฝ้าพระองค์
อยากจะทราบวันที่พระองค์จะเสด็จมา. พระศาสดาตรัสว่า ถ้า
อย่างนั้น เธอจงบอกว่า ท่านทั้งหลาย จะเห็นที่ประตูเมืองสังกัสสะ

229
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 230 (เล่ม 32)

ฝ่ายพระศาสดาทรงแสดงธรรม ๗ คัมภีร์ แล้วทรงแสดง
อาการเพื่อเสด็จกลับมนุษยโลก. ท้าวสักกเทวราช ตรัสเรียกวิสส-
กัมมเทพบุตรมา มีเทวโองการสั่ง ให้นิรมิตบันได เพื่อพระตถาคต
เสด็จลง วิสสุกัมมเทพบุตร เนรมิตบันไดทองข้างหนึ่ง บันไดเงิน
ข้างหนึ่ง แล้วเนรมิตบันไดแก้วมณีไว้ตรงกลาง. พระศาสดาประทับ
ยืนบนบันไดแก้วมณี ทรงอธิษฐานว่า ขอมหาชนจงเห็นเรา ทรง
อธิษฐานด้วยอานุภาพของพระองค์ว่า ขอมหาชนจงเห็นอเวจีมหานรก
และทรงทราบว่า มหาชนเกิดความสลดใจ เพราะเห็นนรก จึงทรง
แสดงเทวโลก. ลำดับนั้น เมื่อพระองค์เสด็จลง ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร
ท้าวสักกเทวราชทรงรับบาตร. ท้าวสุยามเทวราชพัดด้วย วาลวีชนีอัน
เป็นทิพย์. ปัญจสิขคันธัพพเทพบุตร บรรเลงพิณสีเหลือง ดังผลมะตูม
ให้เคลิบเคลิ้มด้วยมุจฉนาเสียงประสาน ๕๐ ถ้วน ลงนำเสด็จ. ใน
เวลาที่พระพุทธเจ้า ประทับยืนบนแผ่นดิน มหาชนอธิษฐานว่า
ข้าฯ จักถวายบังคมก่อน ๆ พร้อมด้วยการเหยียบมหาปฐพีของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งมหาชน ทั้งพระอสีติมหาสาวก ไม่ทันได้
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน. พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร
เถระเท่านั้น ทันถวายบังคม.
ตั้งแต่นี้ล่วงไป ๓ เดือน. พระเถระ นำข่าวของพระผู้มีพระภาคเจ้า
มาบอกแก่มหาชน. มหาชนตั้งค่ายอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ๓ เดือน ท่าน
จุลลอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ได้ถวายข้าวยาคูและภัต แก่บริษัทประมาณ
๑๒ โยชน์ ตลอด ๓ เดือน.

230
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 231 (เล่ม 32)

ลำดับนั้น พระศาสดา ทรงเริ่มปุถุชนปัญจกปัญหา (ปัญหา
มีปุถุชนเป็นที่ ๕) ในระหว่างบริษัท ๑๒ โยชน์ ด้วยพระพุทธประสงค์ว่า
มหาชนจงรู้อานุภาพปัญญาของพระเถระ. ครั้งแรกตรัสถามปุถุชน
ด้วยพุทธประสงค์ว่า โลกิยมหาชน จักกำหนดได้. ชนเหล่าใด ๆ
กำหนดได้ ขนเหล่านั้น ๆ ก็ตอบได้. ครั้งที่ ๒ ตรัสถามปัญหาใน
โสดาปัตติมรรค ล่วงวิสัยปุถุชน. ปุถุชนทั้งหลายก็นิ่ง. พระโสดาบัน
เท่านั้นตอบได้. ลำดับนั้นจึงตรัสถามปัญหาในสกทาคามิมรรค
ล่วงวิสัยพระโสดาบัน. พระโสดาบันก็นิ่ง. พระสกทาคามิบุคคล
เท่านั้นตอบได้. ตรัสถามปัญหาในอนาคามิมรรค ล่วงวิสัยแม้ของ
พระสกทาคามิบุคคลเหล่านั้น พระสกทาคามิบุคคลก็นิ่ง. พระอนาคามิ-
บุคคลเท่านั้นตอบได้. ตรัสถามปัญหาในอรหัตมรรค ล่วงวิสัย ของ
พระอนาคามิบุคคล แม้เหล่านั้น. พระอนาคามีก็นิ่ง. พระอรหันต์
เท่านั้นตอบได้. ตั้งแต่เงื่อนปัญหาเบื้องต่ำกว่านั้น ตรัสถามพระสาวก
ผู้รู้ยิ่ง. พระสาวกเหล่านั้นตั้งอยู่ในวิสัยแห่งปฏิสัมภิทาของตน ๆ
ก็ตอบได้. ลำดับนั้นจึงตรัสถามพระมหาโมคคัลลานเถระ. พระสาวก
นอกนั้นก็นิ่งเสีย. พระเถระเท่านั้นตอบได้. ทรงล่วงวิสัยของพระเถระ
แม้นั้น ตรัสถามปัญหาในวิสัยของพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ
ก็นิ่งเสีย. พระสารีบุตรเถระเท่านั้นตอบได้. ทรงล่วงวิสัยแม้ของ
พระเถระ ตรัสถามปัญหาในพุทธวิสัย พระธรรมเสนาบดีแม้นึกอยู่
ก็ไม่สามารถจะเห็น มองดูไปรอบ ๆ คือ ทิศใหญ่ ๔ คือทิศตะวันออก
ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศน้อยทั้ง ๔ ก็ไม่สามารถจะ
กำหนดฐานที่เกิดปัญหาได้.

231
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 232 (เล่ม 32)

พระศาสดาทรงทราบว่า พระเถระลำบากใจ จึงทรงดำริว่า
พระสารีบุตรลำบากใจ จำเราจักแสดงแนวทางแก่เธอ จึงตรัสว่า เธอ
จงรอก่อนสารีบุตร แล้วตรัสบอกว่าปัญหานั้นเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า
ด้วยพระดำรัสว่า ปัญหานี้มิใช่วิสัยของเธอ เป็นวิสัยของพระสัพพัญญู
พุทธเจ้าผู้มียศ แล้วตรัสว่า สารีบุตรเธอจงเห็นภูตกายนี้. พระเถระ
รู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสบอกการกำหนดกายอันประกอบด้วย
มหาภูตรูป ๔ แล้วทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์รู้แล้ว
ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้าพระองค์รู้แล้ว. เกิดการสนทนากันขึ้นในที่นี้
ดังนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ชื่อว่าพระสารีบุตร มีปัญญามากหนอ ตอบ
ปัญหาที่คนทั้งปวงไม่รู้ และตั้งอยู่ในนัยที่พระพุทธเจ้าประทานแล้ว
ตอบปัญหาในพุทธวิสัยได้ ดังนั้น ปัญญานุภาพของพระเถระจึงขจร
ไปท่วมฐานะทั้งปวง เท่าที่กิตติศัพท์ของพระพุทธเจ้าขจรไป. พระ
เถระได้ตำแห่ง เอตทัคคะ เพราะมีปัญญามาก โดยอัตถุปปัตติ
(เหตุเกิดเรื่อง) ด้วยประการฉะนี้ก่อน.
ได้ตำแหน่ง เอตทัคคะ โดยการมาก่อนอย่างไร ? โดยนัย
แห่งอัตถุปปัตตินี้นี่แหละ พระศาสดา ตรัสว่า สารีบุตร เป็นผู้มี
ปัญญาแต่ในปัจจุบันนี้เท่านั้นหามิได้ ในอดีตกาล แม้เธอบวชเป็น
ฤษี ๕๐๐ ชาติ ก็ได้เป็นผู้มีปัญญามากเหมือนกัน.
สาวกรูปใด ละกามที่น่ารื่นรมย์ใจแล้ว
บวชถึง ๕๐๐ ชาติ ท่านทั้งหลายจงไหว้สาวก
รูปนั้น ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว
ผู้ดับสนิทแล้ว คือสารีบุตร.

232
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 233 (เล่ม 32)

ท่านเพิ่มพูนการบวชอย่างนี้ สมัยหนึ่ง บังเกิดในตระกูลพราหมณ์
ณ กรุงพาราณสี เรียนไตรเพท ไม่เห็นสาระในไตรเพทนั้น จึงเกิด
ความคิดขึ้นว่า ควรที่เราจะบวชแสวงหาโมกขธรรมสักอย่างหนึ่ง.
สมัยนั้น แม้พระโพธิสัตว์ ก็บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ ผู้
มหาศาลเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะ เห็นโทษในกามทั้งหลายและ
อานิสงส์ในเนกขัมมะ ละการครองเรือน เข้าป่าหิมพานต์ กระทำ
บริกรรมกสิณ ทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้บังเกิด มีผลหมาก
รากไม่ในป่าเป็นอาหาร ใกล้หิมวันตประเทศ แม้มาณพนั้นก็บวช
แล้วในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้นนั่นแล. ท่านมีปริวารมาก มีฤาษี
ประมาณ ๕๐๐ เป็นปริวาร. ลำดับนั้นหัวหน้าอันเตวาสิกของท่าน
ได้พาบริษัทส่วนหนึ่ง ไปยังถิ่นมนุษย์เพื่อเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว.
สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทำกาละ (ตาย) ณ หิมวันตประเทศ
นั้นนั่นเอง. ในเวลาจะทำกาละ อันเตวาสิกทั้งหลาย ประชุมกัน
ถามว่า คุณวิเศษอะไร ที่ท่านบรรลุมีอยู่หรือ. พระโพธิสัตว์ตอบว่า
อะไร ๆ ไม่มี เป็นผู้ไม่เสื่อมฌานบังเกิดในพรหมโลกชั้นอาภัสสร.
ท่านได้อากิญจัญญายตนสมาบัติก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ธรรมดาว่า
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ปฏิสนธิในอรูปาวจรภูมิ. เพราะเหตุไร ?
เพราะเป็นฐานะอันไม่ควร. ดังนั้น ท่านถึงแม้ได้อรูปสมาบัติก็
บังเกิดในรูปาวจรภูมิ. ฝ่ายอันเตวาสิกของท่าน ไม่กระทำสักการะ
และสัมมานะอะไร ๆ ด้วยคิดว่า อาจารย์กล่าวว่า อะไร ๆ ไม่มีการ
กระทำกาลกิริยาของท่านเป็นโมฆะเปล่าคุณ. ลำดับนั้นหัวหน้า
อันเตวาสิกรูปนั้น เมื่อล่วงพรรษาแล้ว จึงกลับมาแล้วถามว่า อาจารย์

233
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 234 (เล่ม 32)

ไปไหน ? อันเตวาสิกทั้งหลายตอบว่า ทำกาละเสียแล้ว. ท่านถามว่า
พวกท่านถามถึงคุณที่อาจารย์ได้บ้างหรือ ? อันเตวาสิกตอบว่า
ขอรับ พวกกระผมถามแล้ว. หัวหน้าอันเตวาสิกถามว่า ท่านพูดว่า
กระไร ? พวกอันเตวาสิก ตอบว่า อาจารย์กล่าวว่า อะไร ๆ ไม่มี
แม้พวกกระผมก็คิดว่า ชื่อว่าคุณที่อาจารย์ได้แล้ว ย่อมไม่มี จึงไม่
กระทำสักการะและสัมมานะแก่ท่าน. หัวหน้าอันเตวาสิก กล่าวว่า
พวกท่านไม่รู้ความของภาษิต ท่านอาจารย์ได้อากิญจัญญายตน-
สมาบัติ. อันเตวาสิกเหล่านั้น ก็ไม่เชื่อคำของหัวหน้าอันเตวาสิก.
หัวหน้าอันเตวาสิกแม้พูดอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่อาจให้พวกอันเตวาสิกเชื่อได้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์รำพึงถึงอยู่คิดว่า มหาชนผู้บอดเขลา ย่อม
ไม่เชื่อคำของหัวหน้าอันเตวาสิกของเรา จำเราจักกระทำเหตุนี้ให้
ปรากฏ ดังนี้แล้วลงจากพรหมโลก ยืนอยู่ท้ายอาศรมทั้งที่อยู่ในอากาศ
นั่นแล พรรณนาอานุภาพแห่งปัญญา ของหัวหน้าอันเตวาสิก ได้
กล่าวคาถานี้ว่า
ปโรสหสฺสํปิ สมาคตานํ
กนฺเทยฺยุํ เต วสฺสสตํ อปญฺญา
เอโกว เสยฺโย ปุริโส สปญฺโญ
โย ภาสิตสฺส วิชานามิ อตฺกํ
คนแม้เกิน ๑๐๐๐ คน ประชุมกัน ผู้ที่ไม่มี
ปัญญาพึงคร่ำครวญอยู่ตลอด ๑๐๐ ปี บุคคลผู้รู้แจ้ง

234
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 235 (เล่ม 32)

ความหมายของภาษิต เป็นผู้มีปัญญา คนเดียว
เท่านั้น ประเสริฐกว่า (คนตั้ง ๑๐๐ คน).
พระโพธิสัตว์ทำให้หมู่ฤาษีเข้าใจอย่างนี้แล้ว กลับไปพรหมโลก.
แม้หมู่ฤาษีที่เหลือ ไม่เสื่อมฌานทำกาลแล้ว มีพรหมโลกเป็นที่ไป
ในเบื้องหน้า ในบรรดาบบุคคลเหล่านั้น พระโพธิสัตว์บรรลุพระ
สัพพัญญุตญาณ. หัวหน้าอันเตวาสิก เป็นพระสารีบุตร. ฤาษีที่เหลือ
เป็นพุทธบริษัท แม้ในอดีตกาล ก็พึงทราบว่าพระสารีบุตรมีปัญญา
มาก สามารถรู้อรรถของภาษิตที่ตรัสไว้อย่างสังเขป โดยพิสดาร
ได้ ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำ ปุถุชนปัญจกปัญหา
ให้เป็นเหตุเกิดเรื่องแล้ว ตรัสชาดกนี้ว่า
ถ้าแม้คนเกิน ๑๐๐ คน ประชุมกัน คนเหล่านั้น
ไม่ปัญญา พึงเพ่งพินิจอยู่ถึง ๑๐๐ ปี ผู้รู้อรรถ
ของภาษิต ผู้มีปัญญาคนเดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า
เนื้อความของชาดกนั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในชาดก
ก่อนนั่นแล. ทรงกระทำปุถุชนปัญจกปัญหานี้แล อีกข้อหนึ่ง ให้เป็น
เหตุเกิดเรื่องแล้ว ทรงแสดงอนังคณชาดกนี้ว่า
ทั้งคนมีสัญญาก็ ทุคคตะ ทั้งคนไม่มีสัญญา
ก็ทุคคตะ สุขในสมาบัตินั่น ไม่มีเครื่องยียวน
ย่อมมีได้แก่เหล่าชนเว้นคน ๒ พวกนั้น.

235