No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 30 (เล่ม 31)

๒. ชีวิตินทริยสูตร
ว่าด้วยอินทรีย์ ๓
[๘๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๓ ประการนี้ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ อิตถินทรีย์ ๑ ปุริสินทรีย์ ๑ ชีวิตินทรีย์ ๑ อินทรีย์ ๓
ประการนี้แล.
จบชีวิตินทริยสูตรที่ ๒
ฉฬินทริยวรรควรรณนาที่ ๓
อรรถกถาชีวิตินทริยสูตร
สูตรที่ ๒. ในคำเป็นต้นว่า อิตถินทรีย์ พึงทราบวิเคราะห์ดัง
ต่อไปนี้. ที่ชื่อว่า อิตถินทรีย์ เพราะย่อมกระทำอรรถว่าใหญ่ในความเป็น
หญิง. ที่ชื่อว่า ปุริสินทรีย์ เพราะย่อมกระทำอรรถว่าใหญ่ในความเป็นชาย.
ที่ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์ เพราะย่อมกระทำอรรถว่าใหญ่ในความเป็นอยู่. เล่ากัน
มาว่า พระสูตรนี้มีเหตุเกิดแห่งเนื้อความว่า ก็แลในท่ามกลางสงฆ์ เกิดถ้อยคำ
ว่า อินทรีย์ที่เป็นวัฏฏะมีเท่าไรหนอแล. ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เห็นอินทรีย์ที่เป็นวัฏฏะอยู่จึงตรัสคำเป็นต้นว่าภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์สามเหล่านี้.
จบอรรถกถาชีวิตินทริยสูตรที่ ๒

30
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 31 (เล่ม 31)

๓. อัญญาตาวินทริยสูตร
อินทรีย์ ๓ อีกอย่างหนึ่ง
[๘๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็น
ไฉน คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ๑ อัญญินทรีย์ ๑ อัญญาตาวินทรีย์ ๑
อินทรีย์ ๓ ประการนี้แล.
จบอัญญาตาวินทริยสูตรที่ ๓
อรรถกถาอัญญาตาวินทริยสูตร
สูตรที่ ๓. อินทรีย์ที่เกิดขึ้นในขณะแห่งโสดาปัตติมรรคของผู้
ปฏิบัติ ที่คิดว่า เราจักรู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ในสงสารที่มีที่สุดเบื้องต้นอันไม่มีใครรู้
ได้ ชื่อว่า อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์. อินทรีย์ที่เกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๖
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ด้วยอาการคือรู้สิ่งที่รู้ทั่วถึงแล้วเหล่านั้นแหละ ชื่อว่า
อัญญินทรีย์. ที่ชื่อว่า อัญญาตาวินทรีย์ ได้แก่ อินทรีย์ที่เกิดขึ้นใน
ธรรมทั้งหลาย ในอรหัตผล ที่รู้ทั่วถึงแล้วเป็นต้น. คำว่า อินทรีย์ นี้
เป็นชื่อของญาณที่เกิดขึ้นด้วยอาการนั้น ๆ ในมรรคผลนั้น ๆ แม้สูตรนี้ ก็มี
เหตุเกิดขึ้นแห่งเนื้อความเหมือนกัน คือในท่ามกลางสงฆ์เกิดถ้อยคำขึ้นว่า
อินทรีย์ที่เป็นโลกุตระ มีเท่าไรหนอแล. ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะ
ทรงแสดงอินทรีย์เหล่านั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๓
อย่างเหล่านี้ ดังนี้.
จบอรรถกถาอัญญาตาวินทริยสูตรที่ ๓

31
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 32 (เล่ม 31)

๔. เอกาภิญญาสูตร
ความเป็นพระอริยบุคคลระดับต่าง ๆ
[๘๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็น
ไฉน คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้แล.
[๙๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นพระอรหันต์ เพราะอินทรีย์
๕ ประการนี้เต็มบริบูรณ์ เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี เพราะอินทรีย์
๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี เป็น
พระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของ
พระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี เพราะ
อินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี เป็นพระ-
อนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของ
พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี เป็นพระสกทาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยัง
อ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นพระโสดาบันผู้
เอกพีชี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระสกทาคามี เป็นพระ-
โสดาบันผู้โกลังโกละ เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบัน
ผู้เอกพีชี เป็นพระโสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะ เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า
อินทรีย์ของพระโสดาบันผู้โกลังโกละ เป็นพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารี เพราะ
อินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะ เป็นพระ-
โสดาบันผู้สัทธานุสารี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบัน
ผู้ธัมมานุสารี.
จบเอกาภิญญาสูตรที่ ๔

32
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 33 (เล่ม 31)

อรรถกถาเอกาภิญญาสูตร
สูตรที่ ๔. พึงทราบความคละปนกันโดยวิปัสสนาด้วยคำว่า ตโต
มุทุตเรหิ. คือ อินทรีย์ทั้ง ๕ อย่างที่สมบูรณ์แล้ว ก็ย่อมชื่อว่าวิปัสสนินทรีย์
ของอรหัตมรรค. ที่อ่อนกว่านั้น ก็เป็นของอันตราปรินิพพายี ฯลฯ ชื่อว่า
เป็นวิปัสสนินทรีย์ ของอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี. แม้ในฐานะนี้ ก็พึงชักเอาแต่
ความเจือปนกันทั้งห้าอย่างที่ตั้งอยู่ในอรหัตมรรคออกตามนัยก่อนเหมือนกัน.
และในที่นี้ต้องชักเอาความเจือปนห้าอย่างออกมาเหมือนที่ตั้งอยู่ในสกทาคามิ
มรรค ต้องชักเอาความเจือปนสามอย่างออกมาตามนัยก่อนนั่นแหละ. ก็วิปัส-
สนินทรีย์แห่งโสดาปัตติมรรคอ่อนกว่าวิปัสสนินทรีย์ของสกทาคามิมรรค และ
วิปัสสนินทรีย์ของมรรคของเอกพีชีเป็นต้น ก็อ่อนกว่าวิปัสสนินทรีย์เหล่านั้น
ของโสดาปัตติมรรค. และก็พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เอกพีชี มีพืชเดียว
นี้ต่อไป บุคคลใดได้เป็นพระโสดาบันแล้ว ละเพียงอัตภาพเดียวเท่านั้น แล้ว
สำเร็จเป็นพระอรหันต์ บุคคลนี้ ชื่อ เอกพีชี. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ว่า
ก็แล เอกพีชีบุคคล เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะ
สังโยชน์ ๓ หมดไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นพระโสดาบัน ซึ่งไม่มีความตกต่ำ
เป็นธรรมดา เที่ยงแท้ มุ่งหน้าแต่จะตรัสรู้ ท่องเที่ยวไปสู่ภพมนุษย์อีกครั้งเดียว
เท่านั้นแล้ว ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า เอกพีชี.
ส่วนบุคคลใด ท่องเที่ยวไปสองสามภพแล้ว จึงจะทำที่สุดทุกข์ได้
บุคคลนี้ ชื่อโกลังโกละ ผู้ออกจากตระกูลไปสู่ตระกูล. สมดังที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

33
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 34 (เล่ม 31)

ก็แล โกลังโกลบุคคล เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
เพราะสังโยชน์ ๓ หมดไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นพระโสดาบัน ซึ่งไม่มี
ความตกต่ำเป็นธรรมดา แน่นอนมุ่งหน้าแต่จะตรัสรู้ เขาเที่ยววิ่งไป
อีกสองหรือสามตระกูลแล้ว จึงจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้
เรียกว่า โกลังโกละ.
พึงทราบว่า ตระกูล ในพระพุทธดำรัสนั้น ได้แก่ ภพ. และคำว่า
สองหรือสาม นี้ สักว่าเป็นการแสดงในที่นี้เท่านั้น เพราะผู้ท่องเที่ยวไป
จนถึงภพที่ ๖ ก็ยังเป็นโกลังโกละอยู่นั่นเอง.
ผู้ที่เกิดขึ้นอีกอย่างมากก็แค่เจ็ดครั้ง ไม่ถือเอาภพที่แปด นี้ชื่อ
สัตตักขัตตุปรมะ มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ก็แล สัตตักขัตตุปรมบุคคล เป็นไฉน บุคคลบางคนใน
โลกนี้ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นพระโสดาบัน
ที่ไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดาเป็นผู้แน่นอน มุ่งหน้าแต่จะตรัสรู้ เขา
ท่องเที่ยวไปสู่เทพและมนุษย์ อีก ๗ ครั้งแล้ว จึงจะทำที่สุดแห่งทุกข์
ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ.
ก็แล ฐานะของท่านเหล่านั้น ย่อมมีได้ด้วยอำนาจชื่อที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงถือเอาแล้ว คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาชื่อของท่านเหล่านี้
ว่า ผู้ถึงฐานะเท่านี้ เป็นเอกพีชี เท่านี้เป็นโกลังโกละ เท่านี้เป็นสัตตัก-
ขัตตุปรมะ ส่วนที่กำหนดตายตัวลงไปว่า นี้เป็นเอกพีชี นี้เป็นโกลังโกละ
นี้เป็นสัตตักขัตตุปรมะ ไม่มี.
ถามว่า ก็ใครกำหนดประเภทเท่านั้นเท่านี้ของท่านเหล่านั้น
ลงไป.

34
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 35 (เล่ม 31)

ตอบว่า ก็พระเถระบางท่านกล่าวว่า บุรพเหตุ กำหนดลงไป บ้าง
ก็ว่า ปฐมมรรค บ้างก็ว่า มรรค ๓ ข้างบน บ้างก็ว่า วิปัสสนาแห่งมรรค
ทั้ง ๓ กำหนดลงไป ในวาทะที่ว่า บุรพเหตุ กำหนดลงไปนั้น อุปนิสัยแห่ง
ปฐมมรรค ย่อมชื่อเป็นอันท่านได้กระทำไว้แล้ว ย่อมพ้องกับคำว่า มรรค ๓
ข้างบน ก็เป็นอุปนิสัยที่เกิดแล้ว. ในวาทะที่ว่า ปฐมมรรค กำหนดลงไป
ก็จะไปติดกับข้อที่ว่ามรรค ๓ ข้างบนหาประโยชน์อะไรไม่ได้. ในวาทะที่ว่า
มรรค ๓ ข้างบน กำหนดลงไป ก็จะไปพ้องกับข้อว่า เมื่อปฐมมรรคยังไม่
เกิดขึ้นเลย มรรค ๔ ข้างบนก็เกิดขึ้นแล้ว. ส่วนวาทะที่ว่า วิปัสสนาแห่ง
มรรคทั้งสาม ย่อมกำหนดลงไป ถูก. เพราะว่า หากวิปัสสนาแห่งสามมรรค
ข้างบนมีกำลังพอ ก็ย่อมชื่อว่าเป็นเอกพีชี. ที่อ่อนกว่านั้น ก็เป็นโกลังโกละ.
ที่อ่อนกว่านั้นอีก ก็เป็นสัตตักขัตตุปรมะ ด้วยประการฉะนี้. จริงอยู่
พระโสดาบันบางท่านยังมีอัธยาศัยในวัฏฏะ ชอบวัฏฏะจึงท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะ
นั่นแหละอยู่ร่ำไป. อนาถปิณฑิกเศรษฐี วิสาขาอุบาสิกา จุลลรถเทพบุตร
มหารถเทพบุตร อเนกวรรณเทพบุตร ท้าวสักกเทวราช นาคทัตตเทพบุตร
ท่านเหล่านี้เท่านี้แหละ. ยังมีอัธยาศัยในวัฏฏะ ชอบวัฏฏะ ต้องชำระเทวโลก
หกชั้นตั้งแต่ต้น แล้วดำรงอยู่ในชั้นอกนิฏฐพรหมโลก จึงจะปรินิพพาน
ท่านเหล่านี้ ไม่ถือเอาในกรณีนี้. ไม่ใช่แต่ท่านเหล่านี้เท่านั้น ผู้ที่ท่องเที่ยว
อยู่ในมนุษย์เท่านั้น ครบเจ็ดครั้งแล้ว จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ดี ผู้ที่เกิด
ในเทวโลกแล้วเที่ยวไปเที่ยวมาแต่ในเทวโลกเท่านั้นจนครบเจ็ดครั้ง แล้วจึง
จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ดี แม้ท่านพวกนี้ ก็ไม่ถือเอาในที่นี้ แต่ในที่นี้ถือ
เอาแต่ผู้ที่บางทีก็ท่องเที่ยวไปในมนุษย์ บางทีก็ในเทวดาแล้วสำเร็จเป็นพระ-
อรหันต์เท่านั้น เพราะฉะนั้น คำว่า สัตตักขัตตุปรมะ นี้ พึงทราบว่า

35
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 36 (เล่ม 31)

ในที่นี้ทรงแสดงชื่อของพระโสดาบันประเภทสุกขวิปัสสกที่ปะปนอยู่ในพระอริย
บุคคลทั้ง ๘ หมวด.
สำหรับในบทว่า ธมฺมานุสารี ผู้ไปตามธรรม สทฺธานุสารี
ผู้ไปตามความเชื่อถือ นี้ หมายความว่า ในศาสนานี้ มีธุระสองอย่างคือ
ศรัทธาธุระ ปัญญาธุระ มีความตั้งมั่นสองอย่างคือ ตั้งมั่นในศรัทธา ตั้งมั่น
ในปัญญา สำหรับผู้ที่จะให้โลกุตรธรรมเกิดขึ้น. ในธุระและความตั้งมั่น
เหล่านั้น ภิกษุใด ถ้าอาจให้เกิดขึ้นด้วยศรัทธาได้ แล้วทำศรัทธาธุระว่า
เราจะให้โลกุตรธรรมเกิดขึ้น แล้วยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดขึ้นมาได้ ภิกษุนั้น
ย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สัทธานุสารี ผู้ไปตามความเชื่อถือในขณะแห่งมรรค. ส่วน
ในขณะแห่งผลก็ชื่อว่า สัทธาวิมุต เป็นผู้หลุดพ้นด้วยความเชื่อถือ แบ่ง
เป็นสามพวกคือ เอกพีชี เป็นผู้มีพืช (การเกิด) ครั้งเดียว โกลังโกละ
ผู้จากตระกูลสู่ตระกูล สัตตักขัตตุปรมะ ผู้อย่างมากก็เจ็ดครั้ง. ในบุคคล
เหล่านี้ บุคคลแต่ละคนย่อมถึงสี่พวกด้วยอำนาจแห่งทุกขาปฏิปทาเป็นต้น ฉะนั้น
ด้วยศรัทธาธุระจึงมีอยู่ ๑๒ พวก. ส่วนภิกษุใด ถ้าอาจให้เกิดด้วยปัญญาได้
แล้วทำปัญญาธุระว่า เราจะให้โลกุตรธรรมเกิดขึ้น แล้วยังโสดาปัตติมรรค
ให้เกิดขึ้นมาได้ ภิกษุนั้น ในขณะแห่งมรรค ย่อมเป็นผู้ชื่อว่า ธัมมานุสารี
ผู้ไปตามธรรม. ส่วนในขณะแห่งผล ก็ชื่อว่า ปัญญาวิมุต เป็นผู้หลุดพ้น
ด้วยความรู้แจ่มชัด ซึ่งแบ่งเป็น ๑๒ พวกต่างด้วยพระอริยบุคคลมีเอกพีชีเป็นต้น
ด้วยประการฉะนี้ พระโสดาบันที่ดำรงอยู่ในมรรค ๒ ก็รวมเป็น ๒๔ พวก
ไปในขณะแห่งผล.
เล่ากันมาว่า พระติสสเถระผู้ชำนาญพระไตรปิฏก คิดว่า เราจะ
ชำระปิฏกทั้งสาม จึงไปสู่ฝั่งอื่น. มีกุฏุมพีคนหนึ่ง บำรุงท่านด้วยปัจจัย ๔
พระเถระกล่าวว่า อุบาสก เราจะไปในเวลามา.

36
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 37 (เล่ม 31)

กุฎุมพี. ที่ไหนครับ.
เถระ. สำนักอาจารย์และอุปัชฌาย์ ของอาตมา.
กุฏุมพี. กระผมไปด้วยไม่ได้หรอกครับ ก็แล กระผมรู้คุณพระศาสนา
ได้ ก็เพราะอาศัยพระคุณท่าน ลับหลังท่านแล้วกระผมจะเข้าไปหาภิกษุแบบ
ไหนได้เล่า.
ลำดับนั้น พระเถระได้บอกเขาว่า ภิกษุใดที่สามารถเพื่อจะชี้พระ-
โสดาบัน ๒๔ พวก พระสกทาคามี ๑๒ พวก พระอนาคามี ๔๘ พวก พระ
อรหันต์ ๑๒ พวก แล้วแสดงธรรมได้ ท่านควรบำรุงภิกษุเห็นปานนั้นเถิด
ดังที่กล่าวมานี้ จึงเป็นอันว่าในพระสูตรนี้ พระองค์ได้ทรงแสดงวิปัสสนาไว้
ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาเอกาภิญญาสูตรที่ ๔

37
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 38 (เล่ม 31)

๕. สุทธกสูตร
ว่าด้วยอินทรีย์ ๖
[๙๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๖ ประการนี้ ๖ ประการ
เป็นไฉน. คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑
กายินทรีย์ ๑ มนินทรีย์ ๑ อินทรีย์ ๖ ประการนี้แล.
จบสุทธกสูตรที่ ๕
อรรถกถาสุทธกสูตรที่ ๕ เป็นต้น
สูตรที่ ๕ จักษุและธรรมที่ชื่อว่า อินทรีย์ เพราะอรรถว่าใหญ่ คือ
เป็นอธิบดีของธรรมทั้งหลายที่เกิดในจักขุทวารนั้นชื่อว่า จักขุนทรีย์. แม้ใน
โสตินทรีย์เป็นต้น ก็เป็นนัยเดียวกันนี้แหละ. คำที่เหลือทุกแห่งตื้นทั้งนั้น. สูตร
ทั้ง ๖ สูตร คือสูตรที่ ๑ ในวรรคนี้ และอีก ๕ สูตร มีสูตรที่ ๖ เป็นต้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงด้วยอำนาจสัจจะ ๔ แล้วแล.
จบอรรถกถาสุทธกสูตรที่ ๕ เป็นต้น

38
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 39 (เล่ม 31)

๖. โสตาปันนสูตร
การรู้อินทรีย์ ๖ ของพระโสดาบัน
[๙๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๖ ประการนี้ ๖ ประการ
เป็นไฉน. คือ จักขุนทรีย์.. .มนินทรีย์.
[๙๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัดซึ่งความเกิด
ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ ๖ ประการนี้
ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น เราเรียกอริยสาวกนี้ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่
ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบโสตาปันนสูตรที่ ๖
๗. ปฐมอรหันตสูตร
การรู้อินทรีย์ ๖ ของพระอรหันต์
[๙๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๖ ประการนี้ ๖ ประการ
เป็นไฉน คือ จักขุนทรีย์...มนินทรีย์.
[๙๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุรู้ชัดซึ่งความเกิด ความ
ดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ ๖ ประการนี้ตามความ
เป็นจริงแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า
เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลง
ภาระลงแล้ว บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว สิ้นสังโยชน์ที่จะนำไปสู่ภพ หลุดพ้น
แล้วเพราะรู้โดยชอบ.
จบปฐมอรหันตสูตรที่ ๗

39