No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 418 (เล่ม 30)

ในวิมุตติเหล่านั้น สมาบัติ ๘ ถึงการนับว่า วิกขัมภนวิมุตติ
(พ้นได้ด้วยการข่ม) เพราะพ้นจากนิวรณ์เป็นต้น ที่ตนเองข่มได้แล้ว
อนุปัสสนา ๗ มีการตามเห็นว่าไม่เที่ยงเป็นต้น ถึงการนับว่า
ตทังควิมุตติ (พ้นได้ด้วยองค์นั้น) เพราะพ้นจากความสำคัญว่าเที่ยงเป็นต้น
ที่ตนเองละสละได้ด้วยอำนาจเป็นข้าศึกต่อนิวรณ์เป็นต้นนั้น.
อริยมรรค ๔ ถึงการนับว่า สมุจเฉทวิมุตติ (พ้นเด็ดขาด) เพราะ
พ้นจากกิเลสทั้งหลาย ที่ตนถอนขึ้นแล้ว.
สามัญญผล ๔ ย่อมถึงการนับว่า ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ (พ้นได้ด้วย
การสงบระงับ) เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแห่งการสงบระงับกิเลสทั้งหลาย ด้วย
อานุภาพมรรค.
นิพพาน ถึงการนับว่า นิสสรณวิมุตติ (พ้นได้ด้วยการสลัดออก)
เพราะสลัดจากกิเลสทั้งหลาย คือเพราะปราศจาก ได้แก่ตั้งอยู่ในที่ไกล. พึง
เห็นเนื้อความในคำนี้ว่า ชื่อว่าพ้นแล้วอย่างนี้ ด้วยอำนาจวิมุตติ ๕ เหล่านี้
ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สารีบุตร ก็ประโยชน์ ก็ประโยชน์อะไรแก่ท่าน พระพุทธเจ้า
เหล่านั้นใด จักมีอยู่ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสถามว่า พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย ล่วงไปแล้ว คือดับแล้ว โดยไม่เหลือ ได้แก่ถึงความเป็น
ผู้หาบัญญัติมิได้ ดับไปแล้วเหมือนเปลวประทีป ชื่อว่า ดับแล้วอย่างนั้น ท่าน
ถือเอาความเป็นผู้หาบัญญัติมิได้ จักรู้ได้อย่างไร ก็พระคุณของพระพุทธเจ้า
ที่ยังไม่ถึงทั้งหลาย เธอจะกำหนดรู้ด้วยใจของตนหรือ แล้วจึงตรัสอย่างนี้ว่า
สารีบุตร ก็เรามีประโยชน์อะไรแก่เธอในบัดนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ
จะทรงถามว่า พระพุทธเจ้าแม้ที่ยังไม่มาแล้ว ยังไม่มีพระชาติ ยังไม่เกิด
ยังไม่อุบัติ เธอจักรู้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้อย่างไร. ก็การที่จะรู้พระพุทธเจ้า

418
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 419 (เล่ม 30)

เหล่านั้น เป็นเหมือนการแลดูรอยเท้าในอากาศ ที่ไม่ปรากฏรอยเท้า บัดนี้
เธออยู่วิหารเดียวกับเรา เที่ยวไปเพื่อภิกษาด้วยกัน เวลาแสดงธรรมก็นั่ง
ข้างขวา ก็คุณทั้งหลายของเรา เธอกำหนดรู้ด้วยใจของตนหรือ แล้วจึง
ตรัสอย่างนั้น. พระเถระย่อมปฏิเสธปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามแล้ว ๆ
ว่า เป็นอย่างนั้นหามิได้ พระพุทธเจ้าข้า. ก็สิ่งที่พระเถระรู้แล้วก็มี ไม่รู้
แล้วบ้างก็มี.
ถามว่า ท่านย่อมคัดค้านในที่ที่ตนรู้แล้ว หรือในที่ที่ตนไม่รู้แล้ว.
ตอบว่า ย่อมคัดค้านในที่ที่ตนไม่รู้แล้วเท่านั้น ได้ยินว่า เมื่อเริ่ม
คำถามแล้ว พระเถระได้รู้แล้วอย่างนั้นว่า นี่ไม่ใช่คำถาม คำถามต้องถามใน
สาวกบารมีญาณ จึงไม่ทำการคัดค้านด้วยสาวกบารมีญาณของตน ย่อมคัดค้าน
ในพระสัพพัญญุตญาณในฐานะที่ตนไม่เข้าใจ เพราะเหตุนั้น พระเถระจึง
แสดงคำแม้นี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ย่อมไม่มีสัพพัญญุตญาณ
ที่สามารถจะรู้เหตุแห่งศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันได้.
บทว่า นี้ ได้แก่ พระพุทธเจ้า ต่างด้วยพระพุทธเจ้าในอดีตเป็นต้น
เหล่านี้.
บทว่า ก็ทำไมเล่า ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามว่า ก็เมื่อ
ไม่มีความรู้อย่างนั้น ทำไมเธอจึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า คล้อยตามธรรม ได้แก่ การถือเอานัยแห่งญาณโดยอนุมาน
อัน พระเถระผู้ไปตามการประกอบแห่งญาณ อันเกิดขึ้นแล้วโดยประจักษ์
แก่ธรรม และดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณรู้แล้ว พระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ย่อมรู้ด้วยเหตุนี้. เพราะว่า การถือเอาโดยนัย
ของพระเถระไม่มีประมาณ ไม่มีที่สุด สัพพัญญุตญาณย่อมไม่มีประมาณ หรือ

419
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 420 (เล่ม 30)

ที่สุดรอบฉันใด การถือเอาโดยนัยของพระธรรมเสนาบดี ก็ไม่มีประมาณ
หรือที่สุดรอบฉันนั้น เพราะเหตุนั้น พระเถระนั้น ย่อมรู้ว่า พระศาสดานั้น
ทรงเป็นอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้ ๆ ทรงเป็นผู้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าด้วยเหตุนี้ ๆ เพราะว่า
การถือเอาโดยนัยของพระเถระ. คือคติแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั่นเอง บัดนี้
พระเถระเมื่อจะแสดงอุปมา เพื่อทำให้การถือเอาโดยนัยนั้นปรากฏ จึงกล่าว
คำเป็นต้นว่า แม้ฉันใด พระเจ้าข้า.
เพราะในมัชฌิมประเทศนั้น ป้อมหรือกำแพงเป็นต้นของเมืองจะ
แข็งแรงหรือไม่แข็งแรงก็ตาม ไม่ต้องวิตกอะไรทั้งหมด. เรื่องโจรไม่ต้อง
ระแวง เพราะฉะนั้น พระเถระไม่ถือเอาเรื่องนั้นเป็นสำคัญจึงกล่าวว่า
เมืองชายแดนเป็นต้น.
บทว่า มีเชิงเทินมั่นคง ความว่า มีเชิงกำแพงมั่นคง.
บทว่า มีกำแพงและเสาระเนียดหนาแน่น ความว่า มีกำแพง
หนาแน่น และมีประตูหน้าต่างมั่นคง. ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึง
กล่าวว่า มีประตูเดียว. ตอบว่า เพราะว่าในเมืองที่มีประตูมาก จะต้องมีคน
เฝ้าประตูที่ฉลาดหลายคน ส่วนในเมืองที่มีประตูเดียวใช้คนเดียวก็พอ ไม่มีผู้อื่น
เสมอด้วยปัญญาของพระเถระ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า มีประตูเดียว
เพื่อจะแสดงคนเฝ้าประตูคนเดียวเท่านั้น เพื่อจะเปรียบความที่คนเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า ปณฺฑิโต เป็นผู้ฉลาด คือประกอบด้วยความเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า พฺยตฺโต ผู้สามารถ คือประกอบความเป็นผู้สามารถ ได้แก่
เป็นผู้มีความรู้คล่องแคล่ว.
บทว่า เมธาวี มีปัญญา คือประกอบด้วยเมธา กล่าวคือปัญญา
ํพิจารณาการเกิดขึ้นแห่งสถานการณ์. บทว่า ทางรอบพระนคร ได้แก่
ทางรอบกำแพง ชื่อว่า สำหรับเดินตรวจ.

420
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 421 (เล่ม 30)

บทว่า ที่ต่อกำแพง ได้แก่ ที่ที่อิฐสองก้อนเชื่อมติดกัน. บทว่า
ช่องกำแพง ได้แก่ ที่ทำเป็นช่องกำแพง.
บทว่า เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ทำจิตให้
เศร้าหมอง คือทำความเศร้าหมอง ได้แก่ให้เข้าไปเร่าร้อน เบียดเบียนอยู่
เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ. บทว่า ทอน-
กำลังปัญญา ความว่า นิวรณ์ทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่ให้ปัญญาที่ยัง
ไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น พระเถระจึงเรียกว่า บั่นทอนกำลังปัญญา.
บทว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ความว่า เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วใน
สติปัฏฐาน ๔.
บทว่า ในโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ได้แก่ เจริญแล้ว
ตามภาวะของตน.
ด้วยบทว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิ พระเถระแสดงว่า แทงตลอด
ความเป็นพระอรหันต์ และสัพพัญญุตญาณ.
ก็อีกอย่างหนึ่ง คำว่า สติปัฏฐาน นี้คือ วิปัสสนาโพชฌงค์
มรรคก็คือพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แสะความเป็นพระอรหันต์ อีก
อย่างหนึ่ง คำว่า สติปัฏฐาน ก็คือวิปัสสนาเจือด้วยโพชฌงค์ ได้แก่ความ
เป็นพระอรหันต์ คือ สัมมาสัมโพธิญาณมั่นคง. ส่วนพระทีฆภาณกมหา-
สิวเถระ กล่าวแล้วว่า เมื่อถือเอาวิปัสสนาในสติปัฏฐานแล้ว ถือเอาโพชฌงค์
ว่า เป็นมรรคและเป็นสัพพัญญุตญาณ ก็จะพึงเป็นปัญหาที่สวย แต่ว่า อย่าไป
ถือเอาอย่างนั้น. พระเถระเมื่อจะแสดงความไม่มีความแตกต่างกัน เหมือน
ทองและเงินแตกแล้วในท่ามกลาง ในการละนิวรณ์ ในการเจริญสติปัฏฐาน
และใจการตรัสรู้เอง ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้
หยุดแค่นี้ก่อน ควรเปรียบเทียบข้ออุปมา ก็ท่านพระสารีบุตรแสดงถึงเมือง

421
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 422 (เล่ม 30)

ชายแดน กำแพง ทางรอบพระนคร คนเฝ้าประตูที่ฉลาด เหล่าสัตว์ที่คับคั่ง
เข้าออกเมือง. แสดงสัตว์เหล่านั้นปรากฏแก่คนเฝ้าประตู. ในคำนั้นหากมีคำ
ถามว่า อะไรเหมือนอะไร. ตอบว่า เพราะว่า พระนิพพานเหมือนนคร ศีล
เหมือนกำแพง ความละอายแก่ใจเหมือนทางรอบพระนคร อริยมรรค
เหมือนประตู พระธรรมเสนาบดีเหมือนคนเฝ้าประตูที่ฉลาด พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เหมือนเหล่าสัตว์จำนวนมาก
เข้าออกพระนคร ข้อที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และ
ปัจจุบันปรากฏโดยความมีศีลเสมอกันเป็นต้น แก่ท่านพระสารีบุตร เหมือน
ข้อที่สัตว์เหล่านั้นปรากฏแก่คนเฝ้าประตู. พระเถระได้กราบทูลอย่างนี้ แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์ดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณ ย่อมรู้การถือ
เอาโดยนัยที่คล้อยตามธรรม ดังนี้ การตามประกอบสีหนาทของตน ก็เป็น
อันพระเถระถวายแล้ว .
บทว่า เพราะฉะนั้น ความว่า เพราะพระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมไม่มีญาณเครื่องกำหนดรู้พระทัยในพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันแล ก็
แต่ว่า การคล้อยตามธรรมข้าพระองค์รู้แล้ว ฉะนั้น.
บทว่า พึงกล่าวเนือง ๆ ความว่า เธอพึงกล่าวบ่อย ๆ.
บทว่า เรากล่าวแล้วในเวลาเช้า ความว่า ไม่กล่าวในเวลาเย็น
และเวลาเที่ยงเป็นต้น อธิบายว่า ไม่กล่าวแล้วในวันอื่นเป็นต้นว่า เรากล่าวแล้ว
ในวันนี้.
บทว่า จักละความสงสัยนั้น ความว่า นี้ชื่อว่า พระสาวกที่ถึง
พร้อมด้วยความแล่นไปแห่งความรู้ แม้เช่นกับพระสารีบุตร ก็ไม่อาจจะรู้การ
เที่ยวไปแห่งจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

422
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 423 (เล่ม 30)

บทว่า พระตถาคตเจ้าอันใครพึงเปรียบไม่ได้อย่างนี้ ความว่า
ความเคลือบแคลง สงสัยในพระตถาคตเจ้า เขาจักละได้.
จบอรรถกถานาฬันทสูตรที่ ๒
๓. จุนทสูตร
ว่าด้วยการปรินิพพานของพระสารีบุตร
[๗๓๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี. ก็ในสมัยนั้น ท่าน
พระสารีบุตรอยู่ ณ บ้านนาลกคาม ในแคว้นมคธ อาพาธ เป็นไข้หนัก
ได้รับทุกขเวทนา. สามเณรจุนทะเป็นอุปัฏฐากของท่าน. ครั้งนั้น ท่านพระ-
สารีบุตรปรินิพพานด้วยอาพาธนั่นแหละ.
[๗๓๔] ครั้งนั้น สามเณรจุนทะถือเอาบาตรและจีวรของท่านพระ-
สารีบุตร เข้าไปหาพระอานนท์ยังพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณ-
ฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี นมัสการท่านพระอานนท์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้บาตรและจีวรของท่าน. ท่านพระอานนท์
กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสจุนทะ นี้เป็นมูลเรื่องที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า มีอยู่
มาไปกันเถิด เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้น
แด่พระองค์. สามเณรจุนทะรับคำของท่านพระอานนท์แล้ว.

423
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 424 (เล่ม 30)

[๗๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์กับสามเณรจุนทะ เข้าไปเฝ้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สามเณรจุนทะรูปนี้ ได้บอกอย่างนี้ว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้
บาตรและจีวรของท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะ
งอมงมไป แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมก็ไม่แจ่มแจ้งแก่
ข้าพระองค์ เพราะได้ฟังว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว.
[๗๓๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนอานนท์ สารีบุตรพา
เอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์
ปรินิพพานไปด้วยหรือ.
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตร
มิได้พาศีลขันธ์ปรินิพพานไปด้วย ฯลฯ มิได้พาวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ปริ-
นิพพานไปด้วย. ก็แต่ว่าท่านพระสารีบุตรเป็นผู้กล่าวสอนให้รู้ชัดแสดงให้เห็น
แจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ไม่เกียจคร้านในการแสดงธรรม
อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายมาตามระลึกถึงโอชะ
แห่งธรรม ธรรมสมบัติและการอนุเคราะห์ด้วยธรรมนั้นของท่านพระสารีบุตร.
[๗๓๗] พ. ดูก่อนอานนท์ ข้อนั้น เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อน
แล้วไม่ใช่หรือว่า จักต้องมีความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่าง
อื่น. จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักชอบใจนี้
แต่ที่ไหน. สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็น
ธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะ
มีได้.

424
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 425 (เล่ม 30)

[๗๓๘] ดูก่อนอานนท์ เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่น ตั้งอยู่
ลำต้นใดซึ่งใหญ่กว่า ลำต้นนั้นพึงทำลายลง ฉันใด เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ซึ่งมีแก่น ดำรงอยู่ สารีบุตรปรินิพพานแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น
จะพึงได้ในข้อนี้แต่ที่ไหน. สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มี
ความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้
มิใช่ฐานะที่จะมีได้. เพราะฉะนั้นแหละ. เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตน
เป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่า
มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
[๗๓๙] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่ง
อื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
อยู่อย่างไร. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ย่อมพิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสีย. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ. มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มี
สิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ. มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
อยู่อย่างนี้แล.
[๗๔๐] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้ก็ดี ใน
กาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่
พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ พวก
ภิกษุเหล่านี้นั้นที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ.
จบจุนทสูตรที่ ๓

425
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 426 (เล่ม 30)

อรรถกถาจุนทสูตร
จุนทสูตรที่ ๓. คำว่า ในแคว้นมคธ คือ ในชนบทที่มีชื่ออย่าง
นั้น. คำว่า ในตำบลนาฬกะ คือ ในตำบลที่มีชื่ออย่างนั้น อันเป็นของสกุล
ของตนไม่ไกลกรุงราชคฤห์.
บทว่า สามเณรชื่อว่าจุนทะ ความว่า พระเถระนี้เป็นน้องชาย
คนเล็กของพระธรรมเสนาบดี ในเวลาที่ท่านยังไม่อุปสมบท พวกพระร้องเรียก
ท่านว่า สามเณรจุนทะ แม้เวลาเป็นพระเถระก็ร้องเรียกอย่างนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สามเณรจุนทะ.
บทว่า เป็นผู้ทำการอุปัฏฐาก ความว่า เป็นผู้ถวายการอุปัฏฐาก
ด้วยน้ำล้างหน้า ไม้สีฟัน และน้ำฉัน กวาดบริเวณ นวดหลังและรับบาตร
จีวร.
บทว่า ปรินิพพานแล้ว ความว่า ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิ-
เสสนิพพานธาตุ.
บทว่า เวลาไหน ความว่า ในปีปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในเรื่องนั้น มีอนุปุพพิกถา ดังต่อไปนี้.
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่จำพรรษาแล้ว เสด็จออกจาก
หมู่บ้านเวฬุวะ ทรงดำริว่า เราจะไปเมืองสาวัตถี แล้วเสด็จกลับจากทางที่เสด็จ
มานั่นเทียว ถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับแล้วเสด็จไปพระเชตวัน. พระธรรม
เสนาบดี แสดงวัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไปที่พักกลางวัน. เพื่อนเหล่า
อันเตวาสิกในที่นั้นแสดงวัตรหลีกไปแล้ว ท่านจึงกวาดที่พักกลางวัน ปูแผ่น
หนัง ล้างเท้าแล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าผลสมาบัติ. ลำดับนั้น เมื่อท่านออกจากผล

426
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 427 (เล่ม 30)

สมาบัตินั้น ตามกำหนดแล้ว เกิดความปริวิตกนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
จักปรินิพพานก่อนหรือหนอ หรือว่าพระอัครสาวกปรินิพพานก่อน. แต่นั้น
รู้แล้วว่า พระอัครสาวกปรินิพพานก่อน แล้วจึงตรวจดูอายุสังขารของตน.
รู้แล้วว่า อายุสังขารของเราจักเป็นไปได้เพียง ๗ วัน เท่านั้น จึงคิดว่า เราจะ
ปรินิพพานที่ไหน. ลำดับนั้นจึงคิดแล้วคิดอีกว่า พระราหุลปรินิพพานใน
ดาวดึงส์พิภพ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ปรินิพพานที่สระฉัททันต์ เราจะ
ปรินิพพานที่ไหน ดังนี้ จึงเกิดความสังเวชปรารภมารดาว่า มารดาของเรา
ก็เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์ ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระสงฆ์เลย ท่านมีอุปนิสัยหรือหนอ ได้เห็นอุปนิสัยแห่งพระ-
โสดาปัตติมรรค จึงตรวจดูว่า จักบรรลุด้วยเทศนาของใคร ทราบว่า จัก
บรรลุด้วยธรรมเทศนาของเราเท่านั้น มิใช่ของใครอื่น ก็ถ้าเราพึงขวนขวาย
น้อย ก็จักมีคนกล่าวกับเราว่า พระสารีบุตรเถระ เป็นที่พึ่งของตนที่เหลือ
ทั้งหลาย จริงอย่างนั้น ในวันแสดงสมจิตตสูตรของท่าน เทวดาพันโกฏิ บรรลุ
พระอรหัต เทวดาที่แทงตลอดมรรคทั้ง ๓ ก็นับไม่ถ้วน ปรากฏการตรัสรู้
ในที่อื่น ๆ อีกมาก และตระกูลแปดหมื่นทำใจให้เลื่อมใสในพระเถระ ก็ได้
เกิดในสวรรค์ทั้งนั้น บัดนี้ ท่านไม่อาจที่จะเปลื้องแม้เพียงความเห็นผิดของ
มารดาของคนได้ เพราะฉะนั้น จึงตกลงใจว่า เราจักเปลื้องมารดาจากความ
เห็นผิดแล้วปรินิพพานในห้องที่เกิดนั่นแหละ จึงคิดแล้วว่า วันนี้เทียว เราจะ
ขออนุญาตพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วออกไป ดังนี้ จึงเรียกพระจุนทเถระมาว่า
จุนทะ เธอจงให้สัญญาแก่ภิกษุบริษัท ๕๐๐ รูปของเราว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
จงถือเอาบาตรและจีวรไป พระธรรมเสนาบดี ประสงค์จะไปบ้านนาฬกะ.
พระเถระก็ได้ทำอย่างนั้น. ภิกษุทั้งหลายจึงเก็บเสนาสนะถือบาตรและจีวรไป
สำนักพระเถระ.

427