No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 408 (เล่ม 30)

อย่างหนึ่ง ในบรรดาพระพุทธเจ้าเป็นต้น . บทว่า จิตฺตํ สมาธิยติ ความว่า
จิตรับอารมณ์โดยชอบ ย่อมตั้งมั่นดี. บทว่า ปฏิสํหรามิ ได้แก่ เราจะ
คุมจิต จากฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส อธิบายว่า เราจะทำจิตนั้น
ให้มุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า โส ปฏิสํหรติ เจว ความว่า เธอ
ส่งจิตมุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า น จ วิตกฺเกติ น จ วิจาเรติ
ความว่า ไม่ตรึกถึงกิเลส ไม่ตรองถึงกิเลส. บทว่า อวิตกฺโกมฺหิ อวิจาโร
ความว่า เราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร โดยวิตกวิจารในกิเลส. บทว่า อชฺฌตฺตํ
สติมา สุขมสฺมิ ความว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เรามีสติ และมีความสุขดังนี้
ด้วยสติที่ดำเนินไปในภายในอารมณ์.
บทว่า เอวํ โข อานนฺท ปณิธาย ภาวนา โหติ ความว่า
อานนท์ ภาวนามีก็เพราะตั้งจิตไว้อย่างนั้น. ก็ภาวนาของภิกษุนี้ ผู้ถือเอา
กัมมัฏฐานไปเพื่อบรรลุพระอรหัต เมื่อความเร่าร้อนในกายเป็นต้น เกิดขึ้นแล้ว
พักกัมมัฏฐานนั้นไว้ ยังจิตให้เลื่อมใส ด้วยการระลึกในพระพุทธคุณเป็นต้น
ทำให้เป็นที่ตั้งแห่งการงาน ดำเนินไปแล้ว เหมือนการเดินไปของตนแบกอ้อย
หนักมาก ไปยังโรงหีบอ้อย ในเวลาเหนื่อยแล้วและเหนื่อยแล้ว วางลงบน
แผ่นดิน เคี้ยวกินท่อนอ้อยแล้ว ก็แบกไปอีกฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงตรัสว่า ภาวนามีเพราะตั้งใจไว้. พึงทราบการเสวยสุขในผลสมาบัติของ
ภิกษุนี้ ผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานถึงที่สุดแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต เหมือนคนนั้น
นำอ้อยหนักนั้นไปยังโรงหีบอ้อย บีบอ้อยเสร็จแล้ว ดื่มรสฉะนั้น.
บทว่า พหิทฺธา ความว่า ละมูลกัมมัฏฐานไปในอารมณ์อื่นภายนอก
บทว่า อปฺปณิธาย แปลว่า มิได้ตั้งจิตไว้. ในบทว่า อถ ปจฺฉา ปุเร
อสฺขิตฺตํ วิมุตฺตํ อปฺปณิหิตนฺติ ปชานาติ นี้ พึงทราบความหมาย
ด้วยอำนาจกัมมัฏฐานบ้าง ด้วยอำนาจสรีระบ้าง ด้วยอำนาจเทศนาบ้าง.

408
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 409 (เล่ม 30)

ในบทเหล่านั้นพึงทราบให้กัมมัฏฐานก่อนความเชื่อมั่นต่อกัมมัฏฐาน
ชื่อว่า ข้างหน้า พระอรหัต ชื่อว่า ข้างหลัง. ในธรรมเหล่านั้น ภิกษุรูปใด
ถือเอามูลกัมมัฏฐาน ไม่ปล่อยโอกาสให้ควานเร่าร้อนในกิเลส ความหดหู่
หรือความฟุ้งซ่านไปในภายนอก เกิดขึ้นได้ เมื่อเริ่มวิปัสสนา มีจิตมั่น ไม่ติด
ย่อมบรรลุพระอรหัต เหมือนเทียมโคที่ฝึกดีให้แล่นไป และเหมือนใส่ลิ่ม
สีเหลี่ยมที่ถากไว้ในช่องสี่เหลี่ยม. ภิกษุรูปนั้นชื่อว่า ย่อมรู้ชัดว่า จิตไม่ฟุ้งซ่าน
ไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ด้วยอำนาจความเชื่อมั่นใน
กัมมัฏฐาน กล่าวคือข้างหน้า และพระอรหัตกล่าวคือข้างหลัง
ส่วนในสรีระ ข้อ ปลายนิ้วเท้า ชื่อว่า ข้างหน้า กระโหลกศีรษะ
ชื่อว่า ข้างหลัง. ในสองอย่างเหล่านั้น ภิกษุรูปใด มุ่งมั่นในกระดูกข้อ
ปลายนิ้วเท้า เมื่อกำหนดกระดูกด้วยอำนาจการกำหนดสี สัณฐาน ทิศ โอกาส
เหมือนฟาดฟ่อนข้าวเหนียว ห้ามความเกิดแห่งความเร่าร้อน เพราะกิเลส
ในระหว่างเป็นต้น บำเพ็ญภาวนาไปจนถึงกระโหลกศีรษะ. ภิกษุรูปนั้น
ชื่อว่า ย่อมรู้ชัดว่า จิตของเราไม่ฟุ้งซ่านไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้ว
มิได้ตั้งอยู่ ด้วยอำนาจแห่งข้อนิ้วปลายเท้า กล่าวคือข้างหน้า และแห่งกระโหลก
ศีรษะ กล่าวคือข้างหลัง.
แม้ในเทศนา ผมทั้งหลายชื่อว่า ข้างหน้าด้วยการแสดงอาการ ๓๒
มัตถลุงคัง (มันสมอง) ชื่อว่า ข้างหลัง. ในสองอย่างเหล่านั้น ภิกษุรูปใด
มุ่งมั่นในผม กำหนดจับผมเป็นต้น ด้วยอำนาจ สี สัณฐาน ทิศ โอกาส
ห้ามความเกิดแห่งความเร่าร้อนในกิเลสในระหว่าง บำเพ็ญภาวนาไปจนถึง
มันสมอง. ภิกษุรูปนั้น ชื่อว่า ย่อมรู้ชัดว่า จิตของเราไม่ฟุ้งซ่านไปข้างหลัง
และข้างหน้า พ้นแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ด้วยอำนาจผมกล่าวคือข้างหน้า และแห่ง
มันสมอง กล่าวคือข้างหลัง.

409
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 410 (เล่ม 30)

บทว่า เอวํ โข อานนฺท อปฺปณิธาย ภาวนา โหติ ความว่า
ดูก่อนอานนท์ ภาวนาย่อมมี เพราะมิได้ตั้งจิตไว้อย่างนี้ ก็กัมมัฏฐานภาวนา
ของภิกษุนี้ ย่อมเป็นไป เพราะห้ามความเกิดขึ้นแห่งความเร่าร้อนทางกาย
เป็นต้น แห่งการเริ่มภาวนา เพื่อบรรลุพระอรหัต เหมือนคนได้น้ำอ้อย
งบหนัก เมื่อนำไปยังเรือนของตน ไม่พักในระหว่าง เคี้ยวกินก่อนน้ำอ้อยงบ
เป็นต้น ที่ใส่ไว้ในพก ย่อมหยั่งเข้าไปบ้านของตน ฉะนั้น เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงตรัสว่า ภาวนาย่อมมีเพราะมิได้ตั้งจิตไว้. พึงทราบการเสวยความสุข
ในผลสมาบัติ ของภิกษุนี้ ผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานถึงที่สุดแล้ว บรรลุพระอรหัต
เหมือนคนนั้นนำน้ำอ้อยงบหนักไปยังบ้านของตนแล้ว บริโภคพร้อมด้วยพวก
ญาติ ฉะนั้น. ในพระสูตรนี้ ตรัสบุพภาควิปัสสนา คำที่เหลือในบททั้งปวง
ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาภิกขุนีสูตรที่ ๑๐
จบอรรถกถาอัมพปาลิวรรคที่ ๑
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. อัมพปาลิสูตร ๒. สติสูตร ๓. ภิกขุสูตร ๘. โกสลสูตร
๕. อกุสลราสิสูตร ๖. สกุณัคฆีสูตร ๗. มักกฎสูตร ๘. สูทสูตร ๙.
คิลานสูตร ๑๐. ภิกขุนีสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา.

410
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 411 (เล่ม 30)

นาฬันทวรรค ที่ ๒
๑. มหาปุริสสูตร*
ว่าด้วยผู้เป็นมหาบุรุษ
[๗๒๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์-
ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มหาบุรุษ ๆ ดังนี้ บุคคลจะเป็นมหาบุรุษได้ด้วยเหตุ
เท่าไรหนอแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร เราเรียกว่า
มหาบุรุษ เพราะเป็นผู้มีจิตหลุดพ้น เราไม่เรียกว่า มหาบุรุษ เพราะเป็น
ผู้มีจิตยังไม่หลุดพ้น.
[๗๒๕] ดูก่อนสารีบุตร ก็บุคคลเป็นผู้มีจิตหลุดพ้น อย่างไร. ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่. มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น. ย่อม
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. เมื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรนอยู่ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น. ดูก่อนสารีบุตร
บุคคลเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นอย่างนี้แล. เราเรียกว่า มหาบุรุษ เพราะเป็นผู้มีจิต
หลุดพ้น เราไม่เรียกว่า มหาบุรุษ เพราะเป็นผู้มีจิตยังไม่หลุดพ้น.
จบมหาปุริสสูตรที่ ๑
* ไม่มีอรรถกถาแก้

411
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 412 (เล่ม 30)

๒. นาฬันทาสูตร
ว่าด้วยธรรมปริยาย
[๗๒๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ที่ปาวาริกอัมพวัน
ใกล้เมืองนาฬันทา ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใส
ในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าในทางปัญญาเครื่องตรัสรู้ มิได้มีแล้ว จักไม่มี และย่อม
ไม่มีในบัดนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร นี้เป็นอาสภิวาจาอย่าง
สูงที่เธอกล่าวแล้ว เธอถือเอาแต่วาทะอย่างเดียวบันลือสีหนาทว่า พระพุทธ-
เจ้าข้า ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนั้นว่า สมณะหรือพราหมณ์
อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าในทางปัญญาเครื่องตรัสรู้มิได้มีแล้ว
จักไม่มี และย่อมไม่มีในบัดนี้.
[๗๒๗] ดูก่อนสารีบุตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ได้
มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ อันเธอกำหนดซึ่ง
ใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นได้ทรงมีศีลอย่างนั้น ได้มีธรรม
อย่างนี้ ได้มีปัญญาอย่างนั้น ได้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนั้น หรือว่าหลุดพ้นแล้ว
อย่างนั้น ดังนี้ กระนั้นหรือ.
สา. หามิได้ พระเจ้าข้า.
[๗๒๘] พ. ดูก่อนสารีบุตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใด
ที่จักมีในอนาคตกาล และพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ อันเธอ

412
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 413 (เล่ม 30)

กำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นจักทรงมีศีลอย่าง
นี้ จักมีธรรมอย่างนั้น จักมีปัญญาอย่างนี้ จักมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้
หรือว่าหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ดังนี้ กระนั้นหรือ.
สา. หามิได้ พระเจ้าข้า
[๗๒๙] พ. ดูก่อนสารีบุตร พระอรหันตสัมมาพุทธเจ้าในบัดนี้ คือ
เรา อันเธอกำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มีศีลอย่าง
นี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ หรือว่า
หลุดพ้นแล้วอย่างนั้น ดังนี้ กระนั้นหรือ.
สา. หามิได้ พระเจ้าข้า.
[๗๓๐] พ. ดูก่อนสารีบุตร ก็ในข้อนี้ เธอไม่มีเจโตปริยญาณใน
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เมื่อเป็น
เช่นนั้น เพราะเหตุอะไร เธอจึงกล่าวอาสภิวาจาอย่างสูงนี้ เธอถือเอาวาทะ
แต่อย่างเดียวบันลือสีหนาทว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์เลื่อมใสใน
พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนั้นว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ในทางพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ มิได้มีแล้ว จักไม่มี
และย่อมไม่มีในบัดนี้.
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะมีเจโตปริยญาณในพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันก็หามิได้ แต่ว่า
ข้าพระองค์รู้ได้ตามกระแสพระธรรม.
[๗๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนปัจจัยตนครของพระ-
ราชามีเชิงเทินมั่นคง มีกำแพงและหอรบแน่นหนา มีประตูเดียว คนเฝ้าประตู
ของพระราชาในนครนั้น มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีความรู้ ห้ามคนที่ไม่รู้จัก

413
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 414 (เล่ม 30)

ให้คนที่รู้จักเข้าไป. เขาเดินตรวจตามทางรอบนครนั้น ไม่พบที่ต่อหรือช่อง
แห่งกำแพงโดยที่สุด แม้เพียงแนวอาจรอคออกไปได้. เขาจะพึงมีความคิด
อย่างนั้นว่า สัตว์ตัวเขื่อง ๆ ชนิดใดชนิดหนึ่ง จะเข้านครนี้หรือจะออกไป
สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดย่อมเข้าหรือออกโดยประตูนี้เท่านั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์
รู้ตามกระแสพระธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เหล่าใดที่ได้มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์
ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ทอนกำลังปัญญา ทรงมี
พระหฤทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความ
เป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตตรสัมนจาสัมโพธิญาณแล้ว. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธ-
เจ้าเหล่าใด จักมีในอนาคตกาล... จักตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ.
แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕
อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ทอนกำลังปัญญา ทรงมีพระหฤทัยตั้งมั่นดีแล้ว
ในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตตร
สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว.
[๗๓๒] พ. ดีละ ๆ สารีบุตร เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงกล่าว
ธรรมปริยายนี้เนือง ๆ แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ด้วยว่าโมฆบุรุษ
เหล่าใดจักมีความเคลือบแคลงหรือความสงสัยในตถาคต โมฆบุรุษเหล่านั้นจัก
ละความเคลือบแคลงหรือความสงสัยนั้นเสีย เพราะได้ฟังธรรมปริยายนี้.
จบนาฬันทสูตรที่ ๒

414
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 415 (เล่ม 30)

นาฬันทวรรคที่ ๒
นาฬันทสูตร
พึงทราบอธิบายในนาฬันทสูตรที่ ๒ แห่งทุติยวรรค.
คำว่าในนาฬันทา ได้แก่ในนครที่มีชื่ออย่างนี้ว่า นาฬันทา. ทรง
กระทำนครนั้นให้เป็นโคจรคาม.
คำว่า ปาวาริกอัมพวัน ได้แก่ ที่สวนมะม่วงของเศรษฐีชื่อว่า
ทุสสปาวาริกะ. นัยว่า ป่ามะม่วงนั้นได้เป็นอุทยานของเศรษฐีนั้น. ปาวา-
ริกเศรษฐีนั้น ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเลื่อมใสในพระผู้มี
พระภาคเจ้าแล้ว สร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ประกอบด้วยกุฏี ที่
หลีกเร้นและมณฑปเป็นต้นในอุทยานนั้น วิหารนั้นถึงการนับว่า ปาวาริ-
กัมพวัน เหมือนชีวกัมพวัน อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่
ในปาวาริกัมพวันนั้น.
บทว่า เลื่อมใสแล้วอย่างนี้ ความว่า มีความเชื่อถึงพร้อมแล้ว
อย่างนั้น อธิบายว่า เราเธออย่างนี้. บทว่า โดยยิ่งกว่า ๆ ความว่า ผู้มีชื่อ
เสียงอย่างยิ่ง อธิบายว่า หรือว่าผู้มีความรู้ยิ่งกว่าโดยความรู้.
บทว่า ในการตรัสรู้พร้อม ความว่า ในสัพพัญญุตญาณหรือใน
อรหัตมรรคญาณ. เพราะว่า พระพุทธคุณทั้งหลายทั้งหมดเป็นอันท่านถือ
เอาแล้วด้วยยอรหัตมรรคทีเดียว. ถึงแม้พระอัครสาวกทั้งสอง ก็ได้เฉพาะ
สาวกบารมีญาณด้วยยอรหัตมรรคเท่านั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อม
ได้โดยเฉพาะพระปัจเจกโพธิญาณ. พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมได้เฉพาะพระ

415
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 416 (เล่ม 30)

สัพพัญญุตญาณ และพระพุทธคุณทั้งสิ้น อรหัตมรรคญาณแม้ทั้งสิ้น ย่อม
สำเร็จแก่ท่านเหล่านั้น ด้วยอรหัตมรรคนั่นเอง เพราะฉะนั้น อรหัตมรรค
ญาณจึงชื่อว่าเป็นคุณเครื่องตรัสรู้พร้อม. เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีผู้ที่ยิ่งกว่าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าสภาพที่ยิ่งกว่าคือ
คุณเป็นเครื่องตรัสรู้.
บทว่า อุฬาร คือประเสริฐ. ก็อุฬารศัพท์นี้ย่อมมาในอรรถว่า
อร่อย ในบทเป็นต้นว่า ย่อมเคี้ยวกินของที่ควรเคี้ยวอร่อย. ย่อมมาในอรรถ
ว่า ประเสริฐ ในบทเป็นต้นว่า ได้ยินว่า วัจฉายนะ พราหมณ์ผู้เจริญ
ย่อมสรรเสริญพระสมณโคดม โดยความประเสริฐ อย่างประเสริฐ. มาใน
อรรถว่า ไพบูลย์ ในบทเป็นต้นว่า และแสงสว่างอันโอฬารหาประมาณไม่
ได้. อุฬาร ศัพท์นี้นั้นมาแล้วในอรรถว่าประเสริฐในที่นี้. เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า อุฬาร ได้แก่ ประเสริฐ. บทว่า องอาจ ความ
ว่า ไม่หวั่นไหว คือไม่คลอนแคลน เหมือนเสียงโคอุสภะ.
บทว่า ถือเอาโดยส่วนเดียว ความว่า ไม่กล่าวโดยสืบ ๆ ต่อแห่ง
อาจารย์ตามที่ได้ยินมาบ้าง ตามที่ได้ยินมาอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ด้วยการอ้างตำรา
บ้าง ด้วยอาการตรึกตามอาการบ้าง ด้วยทนต่อความเพ่งแห่งทิฏฐิบ้าง เพราะ
เหตุแห่งการคาดคะเนบ้าง เพราะเหตุเดาบ้าง ถือเอาโดยส่วนเดียว เหมือนแทง
ตลอดด้วยญาณโดยประจักษ์. อธิบายว่า การกล่าวด้วยการตกลงใจท่านกล่าว
ไว้แล้ว. บทว่า บันลืออย่างสีหะ ความว่า บันลืออย่างประเสริฐ อธิบายว่า
บันลือแล้วอย่างสูงสุด เหมือนกันสีหะ ไม่เล่น ไม่เหลวไหลเปล่งแล้ว.
บทว่า สารีบุตร ประโยชน์อะไรแก่ท่าน ความว่า ปรารภทำ
เทศนานี้ เพื่อให้การตามประกอบ เพราะว่า บุคคลบางพวกเปล่งสีหนาทแล้ว
ไม่อาจเพื่อจะให้การตามประกอบในการบันลือของตนได้ไม่อดทนต่อการเสียดสี

416
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 417 (เล่ม 30)

เป็นเหมือนลิงตกไปในยางเหนียว. ถ่านไฟย่อมเผาไหม้โลหะที่ไม่บริสุทธิ์ โดย
ธรรมดาฉันใด บุคคลก็เป็นเหมือนถ่านเพลิงไหม้อยู่ฉันนั้น. คนหนึ่งถูกเขา
ให้ตามประกอบในการบันลือดุจสีหะ ไม่อาจเพื่อจะให้ได้ทั้งอดทนต่อการเสียดสี
ผู้นี้ชื่อว่าย่อมงามยิ่งกว่า ดุจเงินที่ไม่มีสนิมตามธรรมดา. พระเถระก็เป็นเช่น
นั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบพระเถระนั้นว่าผู้นี้เป็น
ผู้อดทนต่ออนุโยค ดังนี้แล้ว ทรงปรารภเทศนาน เพื่อให้ตามประกอบในการ
เปล่งสีหนาท.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหล่านั้น ทุกพระองค์ ความว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าเหล่านั้นทั้งปวง อันท่าน (กำหนดรู้แล้ว).
บทว่า มีศีลอย่างนี้ ความว่า มีศีลอย่างนั้นด้วยมรรคศีล ผลศีล
โลกิยศีลและโลกุตรศีล. ธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งสมาธิท่านประสงค์เอาในบทนี้
ว่า ผู้มีธรรมอย่างนี้ อธิบายว่าผู้มีสมาธิอย่างนี้ ด้วยมรรคสมาธิ ผลสมาธิ
ที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า ผู้มีปัญญาอย่างนี้ ความว่า และผู้มีปัญญาอย่างนี้ด้วยอำนาจ
มรรคปัญญาเป็นต้น. ก็ในบทนี้ว่า ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ ดังนี้ หาก
มีคำถามว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ชื่อว่าท่านถือเอาแล้ว เพราะธรรมที่เป็นฝ่าย
สมาธิท่านถือเอาแล้วในหนหลัง เพราะเหตุไร จึงไม่ถือเอาธรรมเป็นเครื่อง
อยู่ที่ถือเอาแล้ว. ตอบว่า คำนี้พระเถระถือเอาแล้ว. ก็คำนี้ท่านกล่าวไว้
เพื่อแสดงนิโรธสมาบัติ. เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในบทนี้อย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ได้ทรงเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยนิโรธสมาบัติอย่างนี้.
ในบทว่า ผู้มีวิมุตติอย่างนี้ ได้แก่ วิมุตติ ๕ คือ วิกขัมภน-
วิมุตติ ตทังควิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณ
วิมุตติ.

417