หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 244 (เล่ม 3)

ขอพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยพูดให้หญิงหม้ายนั้น อมยกธิดาให้แก่เด็กชาย
หนุ่มน้อยของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด
ลำดับนั้น ท่านพระอุทายีเข้าไปหาสตรีหม้ายนั้น ครั้นแล้วได้ถาม
สตรีหม้ายนั้นว่า ทำไมเธอจึงไม่ยอมยกธิดาให้แก่คนเหล่านั้นเล่า
สตรีหม้ายนั้นตอบว่า เพราะดิฉัน ไม่ทราบว่า คนเหล่านั้นเป็นใคร
หรือเป็นพรรคพวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยนี้เป็นธิดาคนเดียว
ของดิฉัน และจะต้องไปอยู่บ้านอื่น ดิฉันจึงไม่ยอมยกให้เจ้าค่ะ
อุ. จงให้แก่คนเหล่านั้นเถิด คนเหล่านี้ฉันรู้จัก
ส. ถ้าพระคุณเจ้ารู้จัก ดิฉันยอมยกให้เจ้าค่ะ
จึงสตรีหม้ายนั้นได้ยกธิดาให้แก่สาวกของอาชีวกเหล่านั้น ครั้น
พวกสาวก องอาชีวกเหล่านั้น นำเด็กหญิงสาวน้อยนั้นไปแล้ว ได้เลี้ยงดู
อย่างสะใภ้ชั่วเดือนเดียวเท่านั้น ต่อแต่นั้นก็เลี้ยงดูอย่างทาสี
สาวน้อยร้องทุกข์
[๔๒๓] ต่อมา สาวน้อยนั้นส่งทูตไปในสำนักมารดาว่า ดิฉัน
ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้รับความสุข พวกสาวกของชีวกได้เลี้ยงดูดิฉัน อย่าง
สะใภ้ชั่วเตือนเดียวเท่านั้น ต่อแต่นั้นมาก็เลี้ยงดูอย่างทาสี ขอให้คุณแม่
ดิฉันมารับดิฉันไป
พอทราบข่าว สตรีหม้ายนั้นจึงเข้าไปหาพวกสาวกของอาชีวก ครั้น
แล้วได้กล่าวดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายโปรดอย่าเลี้ยงดูสาวน้อยนี้อย่างทาสี
โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้เถิดเจ้าค่ะ
สาวกของอาชีวกเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่ได้รับรองและ
ตกลงไว้กับท่าน พวกเรารับรองและตกลงไว้กับสมณะต่างหาก ท่าน
จงไป เราไม่รู้จักท่าน

244
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 245 (เล่ม 3)

ครั้นสตรีหม้ายนั้นถูกพวกสาวกของอาชีวกเหล่านั้นรุกรานแล้ว ได้
กลับมายังพระนครสาวัตถีตามเดิม
แม้ครั้งที่สอง สาวน้อยนั้นก็ได้ส่งทูตไปในสำนักมารดาว่า ดิฉัน
ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้รับความสุข พวกสาวกของอาชีวกได้เลี้ยงดิฉัน
อย่างสะใภ้ชั่วเดือนเดียวเท่านั้น ต่อแต่นั้นมาก็เลี้ยงดูอย่างทาสี ขอให้
คุณแม่ดิฉันมารับดิฉันไป
จึงสตรีหม้ายนั้นเข้าไปหาท่านพระอุทายี ครั้นแล้วได้เรียนท่านพระ-
อุทายีว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ลูกสาวของดิฉัน ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้รับ
ความสุข พวกสาวกของอาชีวกได้เลี้ยงดูนางอย่างสะใภ้ชั่วเดือนเดียว
เท่านั้น ต่อแต่นั้นมาก็เลี้ยงดูอย่างทาสี พระคุณเจ้าควรพูดขอร้องว่า
ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าได้เลี้ยงดูสาวน้อยนี้อย่าง
ทาสี โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้เถิด
ดังนั้น ท่านพระอุทายีจึงเข้าไปหาสาวกของอาชีวกเหล่านั้น ครั้น
แล้วได้กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่า
เลี้ยงดูสาวน้อยนี้อย่างทาสี โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้เถิด
พวกสาวกของอาชีวกเหล่านั้น กล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ได้รับรองและ
ตกลงไว้กับท่าน เรารับรองและตกลงไว้กับหญิงหม้ายต่างหาก สมณะ
ต้องเป็นผู้ไม่ขวนขวาย สมณะต้องเป็นสมณะที่ดี เชิญท่านไปเถิด เรา
ไม่รู้จักท่าน
ครั้นท่านพระอุทายีถูกพวกสาวกของอาชีวกเหล่านั้นรุกรานแล้ว ได้
กลับมายังพระนครสาวัตถีตามเดิน
แม้ครั้งที่สาม สาวน้อยนั้นก็ได้ส่งทูตไปในสำนักมารดาว่า ดิฉัน

245
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 246 (เล่ม 3)

ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้รับความสุข พวกสาวกของอาชีวกได้เลี้ยงดูดิฉัน
อย่างสะใภ้ชั่วเดือนเดียวเท่านั้น ต่อแต่นั้นมาก็เลี้ยงดูอย่างทาสี ขอให้
คุณแม่ดิฉันมารับดิฉันไป
แม้สตรีหม้ายนั้น ก็ได้เข้าไปหาท่านพระอุทายีเป็นครั้งที่สอง แล้ว
ได้เรียนท่านพระอุทายีดังนี้ว่า ข้าแด่พระคุณเจ้า ข่าวว่า ลูกสาวของ
ดิฉันตกทุกข์ได้ยากไม่ได้รับความสุข พวกสาวกของอาชีวกได้เลี้ยงดูนาง
อย่างสะใภ้ชั่วเดือนเท่านั้น ต่อแต่นั้นมาก็เลี้ยงดูอย่างทาสี พระ-
คุณเจ้าควรพูดของร้องว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายโปรด
อย่าได้เลี้ยงดูสาวน้อยนี้อย่างทาสี โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้เถิด
ท่านพระอุทายีกล่าวว่า ฉันถูกพวกสาวกของอาชีวกเหล่านั้นรุกราน
มาครั้งหนึ่งแล้ว เชิญเธอไปเถิด ฉันไม่ไปละ
นินทาและสรรเสริญพระอุทายี
[๔๒๔] ครั้งนั้น สตรีหม้ายจึงเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ลูกสาว
ของเราตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้รับความสุข เพราะแม่ผัวชั่ว พ่อผัวชั่ว
และสามีชั่วฉันใด ขอให้ท่านพระอุทายีจงตกทุกข์ได้ยาก อย่าได้รับความ
สุขฉันนั้นเถิด แม้สาวน้อย นั้นก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า เราตกทุกข์
ได้ยาก ไม่ได้รับความสุข เพราะแม่ผัวชั่ว พ่อผัวชั่ว และสามีชั่วฉันใด
ขอท่านพระอุทายีจงตกทุกข์ได้ยาก อย่าได้รับความสุขฉันนั้นเถิด แม้
สตรีเหล่าอื่น บรรดาที่ไม่พอใจด้วยแม่ผัว พ่อผัว หรือสามี ต่างก็
กล่าวแช่งชักอย่างนั้นว่า เราตกทุกข์ได้ยากไม่ได้รับความสุข เพราะแม่ผัว
ชั่ว พ่อผัวชั่ว และสามีชั่วฉันใด ขอให้ท่านพระอุทายีจงตกทุกข์ได้ยาก
อย่าได้รับความสุขฉันนั้นเถิด ส่วนสตรีบรรดาที่ได้ยินดีด้วยแม่ผัว พ่อผัว

246
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 247 (เล่ม 3)

หรือสามี ต่างก็อำนวยพรอย่างนี้ว่า เราสบาย สมบูรณ์ พูนสุข เพราะ
แม่ผัวดี และสามีดี ฉันใด ขอให้ท่านพระอุทายี จงสบาย สมบูรณ์
พูนสุข ฉันนั้นเถิด.
[๔๒๕] ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีบางพวกกล่าวแช่งชักอยู่บางพวก
อำนวยพรอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีดาวามละอาย มีความ
รังเกียจ ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนท่าน
พระอุทายี จึงได้ถึงความเป็นผู้ชักสื่อเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุนสงฆ์ ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระ-
อุทายีว่า ดูก่อนอุทายี ข่าวว่า เธอถึงความเป็นผู้ชักสื่อจริงหรือ
ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบรุษ การ
กระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ฉันเธอจงได้ถึงความเป็นผู้ชักสื่อเล่า
ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อครามเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อ
ครามไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่าง
อื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

247
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 248 (เล่ม 3)

พระผู้พระภาคเจ้า ทรงติเตียนท่านพระอุทายีโดยอเนกปริยายดังนี้
แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความ
เกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย
ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่
น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย
ทรงทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่
ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ
รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ เพื่อข่มบุรุษผู้เก้อ
ยาก ๑ เพื่อยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก เพื่อป้องกันอาสวะ
อันจะบังเกิดในปัจจุบัน เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม เพื่อ
ถือตามพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ว่าดังนี้:-
พระปฐมบัญญัติ
๙.๕. อนึ่ง ภิกษุใด ถึงความเป็นผู้ชักสื่อ บอกความประสงค์
ของบุรุษเเก่สตรีก็ดี บอกความประสงค์ของสตรีแก่บุรุษก็ดี ในความ
เป็นเมียก็ตาม ในความเป็นชู้ก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.

248
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 249 (เล่ม 3)

ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว แก่
ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้
เรื่องพระอุทายี จบ
เรื่องนักเลงหญิง
[๔๒๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกนักเลงหญิงหลายคนพากันไปเที่ยว
รื่นเริงในสวน ได้ส่งชายสื่อไปในสำนักหญิงแพศยาคนหนึ่งว่า ขอให้
นางมา พวกเราจักพากันเที่ยวรื่นเริงในสวน หญิงแพศยานั้นได้ตอบไป
อย่างนี้ว่า ข้าแต่นาย ดิฉันไม่ทราบว่า พวกท่านเป็นใคร หรือเป็น
พรรคพวกของใคร อนึ่ง ดิฉันมีเครื่องแต่งกายนาก มีเครื่องประดับ
เรือนมาก และจะต้องไปนอกเมือง ดิฉันไปไม่ได้ ครั้นแล้วชายสื่อนั้น
ได้แจ้งเรื่องนั้น แก่นักเลงหญิงเหล่านั้น
เมื่อชายสื่อแจ้งอย่างนั้นแล้ว บุรุษคนหนึ่งได้กล่าวกะนักเลงเหล่า
นั้นว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านไปอ้อนวอนหญิงแพศยานั้นทำไม ควร
บอกพระอุทายีมิดีหรือ ท่านพระอุทายีจักส่งมาให้เอง
เมื่อบุรุษนั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว อุบาสกคนหนึ่งได้กล่าวกะบุรุษผู้นั้น
ว่า คุณอย่าได้พูดอย่างนั้น การกระทำเช่นนั้นไม่สมควรแก่พระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตร ท่านพระอุทายีจักไม่ทำเช่นนั้น
เมื่ออุบาสกนั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว นักเลงหญิงเหล่านั้น ได้พากัน
ว่า ท่านพระอุทายีจักทำหรือไม่ทำ แล้วเข้าไปหาท่านพระอุทายีกล่าว
ดังนี้ว่า ข้าแต่พระภาคเจ้า พวกข้าพเจ้าพากันไปเที่ยวรื่นเริงในสวน
ได้ส่งชายสื่อไปในสำนักหญิงแพศยาชื่อโน้นว่า ขอให้นางมา พวกเรา
จักพากันเที่ยวรื่นเริงในสวน นางตอบอย่างนั้นว่า ข้าแต่นาย ดิฉันไม่

249
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 250 (เล่ม 3)

ทราบว่า ท่านทั้งหลายเป็นใคร หรือเป็นพรรคพวกของใคร อนึ่ง ดิฉัน
มีเครื่องแต่งกายมาก มีเครื่องประดับเรือนมาก และจะต้องไปนอกเมือง
ดิฉันไปไม่ได้ ข้าแด่พระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้าได้โปรดส่งหญิงแพศยา
นั้นไปให้สำเร็จประโยชน์ด้วย เถิด ขอรับ
ลำดับนั้น ท่านพระอุทายีเข้าไปหาหญิงแพศยานั้น ครั้นแล้วได้
ถามหญิงแพศยานั้นดังนี้ว่า ทำไมเธอจึงไม่ไปหาคนเหล่านี้เล่า
หญิงแพศยานั้นตอบว่า ดิฉัน ไม่ทราบว่า คนเหล่านั้นเป็นใคร หรือ
เป็นพรรคพวกของใคร อนึ่ง ดิฉันมีเครื่องแต่งตัวมาก มีเครื่องประดับ
เรือนมาก และจะต้องไปนอกเมือง ดิฉันไปไม่ได้ เจ้าค่ะ
อุ. จงไปหาคนเหล่านี้เถิด คนเหล่านั้นฉันรู้จัก
ญ. ถ้าพระคุณเจ้ารู้จัก ดิฉันจะไป เจ้าค่ะ
ครั้งนั้น นักเลงหญิงเหล่านั้น ได้พาหญิงแพศยานั้นไปเที่ยวสวน
จึงอุบาสกนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนท่านอุทายีจึงได้ถึงความ
เป็นผู้ชักสื่ออันจะพึงอยู่ร่วมชั่วขณะหนึ่งเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินอุบาสกนั้น
เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความ
ละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
ไฉน ท่าฬพระอุทายีจึงได้ถึงความเป็นผู้ชักสื่ออันจะพึงอยู่ร่วมชั่วขณะหนึ่ง
เล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติอนุบัญญัติ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ
เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่าน
พระอุทายีว่า ดูก่อนอุทายี ข่าวว่า เธอถึงความเป็นผู้ชักสื่ออันจะพึง
อยู่ร่วมชั่วขณะหนึ่ง จริงหรือ

250
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 251 (เล่ม 3)

ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การ
กระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้ถึงความเป็นผู้ชักสื่ออันจะพึงอยู่ร่วม
ชั่วขณะหนึ่งเล่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไป
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใส
ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั้น เป็น
ไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็น
อย่างอื่นของตนบางที่เลื่อมใสแล้ว
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนท่านพระอุทายีโดยอเนกปริยาย
แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความ
เกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย
ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย
ทรงทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุ
ทั้งหลายแล้ว รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ ว่าดังนี้:-

251
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 252 (เล่ม 3)

พระอนุบัญญัติ
๙.๕. ก. อนึ่ง ภิกษุใดลงความเป็นผู้ชักสื่อ บอกความประสงค์
ของบุรุษแก่สตรีก็ดี บอกความประสงค์ของสตรีแก่บุรุษก็ดี ในความ
เป็นเมียก็ตาม ในความเป็นชู้ก็ตาม โดยที่สุด บอกแม้แก่หญิงแพศยา
อันจะพึงอยู่ร่วมชั่วขณะ เป็นสังฆาทิเสส.
เรื่องนักเลงหญิง จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๔๒๗] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงาน
อย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด
มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะ
ก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง...ใด.
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า
ภิกษุ โดยปฏิญญา ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกขุ ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า

252
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 253 (เล่ม 3)

เป็นพระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียง
กัน อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถ-
กรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ใน
อรรถนี้.
คำว่า ถึงความเป็นผู้ชักสื่อ ความว่า ถูกสตรีวานไปในสำนักบุรุษ
หรือถูกบุรุษวานไปในสำนักสตรี.
คำว่า บอกความประสงค์ของบุรุษแก่สตรีก็ดี คือ แจ้งความ
ปรารถนาของชายแก่หญิงก็ดี.
คำว่า บอกความประสงค์ของสตรีแก่บุรุษก็ดี คือ แจ้งความ
ประสงค์ของหญิงแก่ชายก็ดี.
คำว่า ในความเป็นเมียก็ตาม คือ บอกว่า เธอจักเป็นเมีย.
คำว่า ในความเป็นชู้ก็ตาม คือ บอกว่า เธอจักเป็นชู้.
คำว่า โดยที่สุด บอกแม้แก่หญิงแพศยาอันจะพึงอยู่ร่วมชั่วขณะ
คือ บอกว่า เธอจักเป็นภรรยาชั่วคราว.
บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น
ชักเข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต เรียกเข้าหมู่ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน
ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า สังฆาทิเสส คำว่า
สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือ เป็นชื่อของอาบัตินิกายนั้นแล แม้
เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.

253