No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 398 (เล่ม 30)

อรรถกถาคิลานสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในคิลานสูตรที่ ๙.
บทว่า เวลุวคามเก ความว่า มีปารคามอยู่แห่งหนึ่ง มีชื่ออย่างนี้
ใกล้กรุงเวสาลี. ณ ปารคามนั้น. ในบทว่า ยถามิตฺตํ เป็นต้น ได้แก่
มิตรทั้งหลาย. บทว่า สนฺทิฏฺฐํ ความว่า เพื่อนแรกพบร่วมกันในที่นั้น ๆ
จัดเป็นมิตรที่ไม่มั่นคงนัก. บทว่า สมฺภตฺตํ ความว่า เพื่อนคบกันดี
มีความเยื่อใย จัดเป็นมิตรมั่นคง. อธิบายว่า พวกเธอทั้งหลายจงเข้าจำพรรษา
ในที่มีภิกษุทั้งหลายเห็นปานนั้นอยู่เถิด. ถามว่า ตรัสอย่างนั้น เพราะเหตุไร
ตอบว่า เพื่อยู่ผาสุกของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น.
ได้ยินว่า ในเวฬุวคาม เสนาสนะไม่พอสำหรับภิกษุเหล่านั้น ทั้ง
ภิกษาก็น้อย แต่โดยรอบกรุงเวสาลี มีเสนาสนะมาก ทั้งภิกษาก็หาได้ง่าย
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสอย่างนี้.
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงปล่อย
ไปว่า เธอทั้งหลาย จงไปตามสบายเถิด. ตอบว่า เพื่อนุเคราะห์ภิกษุทั้งหลาย
เหล่านั้น. ได้ยินว่า พระองค์ได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า เราดำรงอยู่เพียงกึ่งเดือน
จักปรินิพพาน. ถ้าภิกษุทั้งหลาย จักไปไกลเรา เธอทั้งหลายจักไม่อาจเห็นเรา
ในเวลาปรินิพพาน. ครั้งนั้น พวกเธอพึงมีความเดือดร้อนว่า เมื่อพระศาสดา
ปรินิพพานไม่ได้ประทานแม้เพียงสติแก่เราทั้งหลาย ถ้าเราทั้งหลายพึงรู้ ก็
ไม่พึงอยู่ไกลอย่างนี้. แต่เมื่อเธอทั้งหลายอยู่รอบกรุงเวสาลี จักมาฟังธรรม
เดือนละ ๘ ครั้ง ก็ได้โอวาทของสุคต ดังนี้ จึงไม่ทรงปล่อย.

398
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 399 (เล่ม 30)

บทว่า ขโร ได้แก่ กล้าแข็ง. บทว่า อาพาโธ ได้แก่ โรค
ที่เป็นวิสภาคะ. บทว่า พาฬฺหา แปลว่า มีกำลัง. บทว่า มรณนฺติกา ได้แก่
สามารถจะให้ถึงตาย คือใกล้ตายได้. บทว่า สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ
ความว่า ทรงดำรงพระสติไว้ดี กำหนดด้วยญาณทรงอดกลั้น. บทว่า
อวิหญฺญมโน ความว่า ไม่ทรงกระสับกระส่ายไปตามอำนาจเวทนา คือ
ทรงอดกลั้นไว้ไม่ให้ถูกเวทนาเบียดเบียน และไม่ให้เกิดทุกข์. บทว่า อนามนฺ-
เตตฺวา คือไม่บอกภิกษุให้รู้ และไม่เผดียงภิกษุสงฆ์ให้รู้ ท่านอธิบายว่า
ไม่ประทานโอวาทานุสาสนี. บทว่า วิริเยน ได้แก่ ด้วยความเพียรเป็น
บุรพภาค และด้วยความเพียรเป็นผลสมาบัติ. บทว่า ปฏิปณาเมตฺวา คือ
ข่มไว้. ในบทว่า ชีวิตสํขารํ นี้ แม้ชีวิตจัดเป็นชีวิตสังขาร. ชีวิตอันบุคคล
ปรับปรุง คือต่อชีวิตที่กำลังขาด ดำรงอยู่ได้ด้วยธรรมคือผลสมาบัติใด แม้
ธรรมคือผลสมาบัตินั้น ก็จัดเป็นชีวิตสังขาร. ชีวิตสังขารนั้น ทรงประสงค์
ในที่นี้. บทว่า อธิฏฺฐาย ความว่า เราพึงเข้าผลสมาบัติ อันสามารถ
อธิษฐานเหตุให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดังนี้. นี้ความสังเขปในข้อนี้.
ถามว่า ก็ก่อนแต่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงเข้าผลสมาบัติหรือ.
ตอบว่า ทรงเข้า. แต่สมาบัตินั้น เป็นขณิกสมาบัติ ก็ขณิกสมาบัติ ย่อม
ข่มเวทนาได้ ในภายในสมาบัติเท่านั้น พอออกจากสมาบัติแล้ว เวทนาย่อม
ครอบงำสรีระอีก เหมือนสาหร่ายขาดจากกัน เพราะไม้ขอนตก หรือเพราะ
หินตก แล้วก็ปกคลุมน้ำอีก ฉะนั้น. สมาบัติที่เข้าด้วยอำนาจมหาวิปัสสนา
*ทำหมวด ๗ แห่งรูป *และหมวด ๗ แห่งอรูป มิให้เป็นกอ มิให้เป็นชัฏใด
สมาบัตินั้น ย่อมข่มไว้ด้วยดี. เมื่อออกจากสมาบัตินั้นแล้วนาน เวทนาจึงจะ
เกิดขึ้นได้ เหมือนสาหร่ายที่ใช้ให้คนลงสู่สระโบกขรณีเอามือและเท้าแยก
* ดูในวิสุทธิมรรคบาลีภาค ๓ ตอนมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ

399
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 400 (เล่ม 30)

ไม่ให้ประชิดกันด้วยดี นานจึงจะปกคลุมน้ำได้ ฉะนั้น. ด้วยประการอย่างนั้น
ในวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำหมวด ๗ แห่งรูป และหมวด ๗ แห่ง
อรูป มิให้เป็นกอ มิให้เป็นชัฏ เหมือนแรกตั้งวิปัสสนาใหม่ ๆ ณ มหา-
โพธิบัลลังก์ ไหลไปด้วยอาการ ๑๔ ทรงข่มเวทนาด้วยมหาวิปัสสนา ทรงเข้า
สมาบัติด้วยทรงดำริว่า ตลอด ๑๐ เดือน เวทนาอย่าเกิดขึ้นเลย ดังนี้.
เวทนาอัน สมาบัติข่มไว้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ตลอด ๑๐ เดือน. บทว่า คิลานา วุฏฺฐิโต
ได้แก่ ประชวรแล้ว หายประชวรอีก.
บทว่า มธุรกชาโต วิย ความว่า เกิดความหนัก เกิดความ
กระด้าง เหมือนถูกคนเงื้อหลาวขึ้นให้สะดุ้ง. บทว่า น ปกฺขายนฺติ ได้แก่
ย่อมไม่ประกาศ คือ ย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุต่าง ๆ. บทว่า ธมฺมาปิ
มํ นปฺปฏิภนฺติ ท่านแสดงว่า สติปัฏฐานธรรม ย่อมไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์.
ส่วนธรรมที่เป็นแบบอย่าง เป็นความคล่องแคล่วด้วยดีของพระเถระ. บทว่า
น อุทาหรติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังไม่ประทานปัจฉิมโอวาท
ท่านพระอานนท์ กล่าวหมายถึงข้อนั้น.
บทว่า อนนฺตรํ อพาหิรํ ความว่า ก็ภิกษุเมื่อไม่ทำธรรมทั้งสอง
ด้วยอำนาจธรรม หรือด้วยอำนาจบุคคล คิดว่า เราจักไม่แสดงธรรมประมาณ
เท่านี้ ชื่อว่า กระทำธรรมให้มีในภายใน. เมื่อคิดว่า จักแสดงธรรมประมาณ
เท่านี้แก่คนอื่น ชื่อว่า กระทำบุคคลให้มีในภายนอก. แต่เมื่อคิดว่าจักแสดง
แก่บุคคลอื่น ชื่อว่า กระทำบุคคลให้มีในภายใน. เมื่อคิดว่า จักไม่แสดง
แก่บุคคลนี้ ชื่อว่า กระทำบุคคลให้ในภายนอก. อธิบายว่า เราไม่ทำอย่างนั้น
แสดงธรรม. บทว่า อาจริยมุฏฺฐิ ความว่า ชื่อว่า กำมืออาจารย์ย่อมมี
สำหรับพวกคนภายนอก. ในเวลาหนุ่ม ท่านไม่กล่าวแก่ใคร ในปัจฉิมกาล

400
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 401 (เล่ม 30)

เมื่อนอนบนเตียงเป็นที่ตาย จึงกล่าวแก่อันเตวาสิกผู้เป็นที่รัก ที่ชอบใจ
ท่านแสดงว่า พระตถาคตไม่มีคำอะไร ที่จะกำมือเก็บไว้อย่างนั้นว่า เราจักกล่าว
คำนี้ ในเวลาแก่ ในเวลาครั้งสุดท้าย ดังนี้.
บทว่า อหํ ภิกฺขุสงฺฆํ ความว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์หรือ.
บทว่า มมุทฺเทสิโก ความว่า หรือว่า เราชื่อว่า มมุทเทสิกะ เพราะ
วิเคราะห์ว่า มีความเชิดชู ด้วยอรรถว่า อันภิกษุสงฆ์พึงเชิดชู ขอภิกษุสงฆ์
จงหวังเรา เฉพาะเราเท่านั้น จะเป็นเรื่องใด เรื่องหนึ่งก็ตาม อย่าล่วงเราไป
อธิบายว่า ก็หรือว่าแก่คนใด คนหนึ่ง. บทว่า น เอวํ โหติ ความว่า
ตถาคตย่อมไม่มีอย่างนี้ เพราะอิสสาและมัจฉริยะทั้งหลาย หมดสิ้นแล้ว ณ
โพธิบัลลังก์นั่นแล. บทว่า ส กึ แปลว่า นั้นอะไร. บทว่า อสีติโก
ความว่า วัย ๘๐ ปี. คำนี้ ตรัสเพื่อทรงแสดงถึงวัยที่ผ่านมาตามลำดับถึง
ปัจฉิมวัย. บทว่า เวฬุมิสฺสเกน ความว่า เพราะซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่อัน
ปรับปรุงด้วยเครื่องผูกที่ทูบ และที่ล้อเป็นต้น. บทว่า มญฺเญ ยาเปติ
ท่านแสดงว่า การก้าวไปด้วยอิริยาบถ ๔ ย่อมมีแก่ตถาคต เพราะผูกด้วย
พระอรหัตผล เหมือนเกวียนเก่ายังเป็นไปได้ เพราะซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่
ฉะนั้น.
บัดนี้ เมื่อพระองค์ทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า
ยสฺมึ อานนฺท สมเย ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ
ได้แก่ รูปนิมิตเป็นต้น . บทว่า เอกจฺจานํ เวทนานํ ได้แก่ โลกิยเวทนา.
บทว่า ตสฺมาติหานนฺท ท่านแสดงว่า เพราะความผาสุกย่อมมีได้ ด้วย
ผลสมาบัติวิหารนี้. ฉะนั้น แม้เธอทั้งหลายจงอยู่อย่างนี้ เพื่อประโยชน์แก่
ความอยู่ผาสุกนั้นเถิด. บทว่า อตฺตทีปา ความว่า เธอทั้งหลาย จงทำตน
ให้เป็นเกาะคือเป็นที่พึ่งอยู่เถิด เหมือนคนอยู่ในมหาสมุทร ทำเกาะอาศัยอยู่

401
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 402 (เล่ม 30)

ฉะนั้น. บทว่า อตฺตสรณา ความว่า เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นคติ อย่า
มีคนอื่นเป็นคติเลย. แม้ในบทมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ก็นัยนี้
นั่นแล. ก็โลกุตรธรรม ๙ อย่าง พึงทราบว่า ธรรมในบทนี้. บทว่า
ตมตคฺเคเม เต ตัดบทเป็น ตมอคฺเค ต อักษร ในท่ามกลางท่านกล่าว
ด้วยสามารถการเชื่อมบท. มีอธิบายว่า ภิกษุเหล่านี้ ชื่อว่า ตมตัคคา เพราะ
อรรถว่า มีความมืดเป็นเลิศ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถือเทศนาด้วยธรรม
อันเป็นยอด คือพระอรหัตว่า ดูก่อนอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นของเรา
ตัดกระแสแห่งความมืดได้ทั้งหมดอย่างนี้แล้ว จักเป็นผู้เลิศ คือส่วนสงสุด
เกินเปรียบ คือจักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา และภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์
จักเป็นผู้เลิศ ดังนี้.
จบอรรถกถาคิลานสูตรที่ ๙
๑๐. ภิกขุนีสูตร
ผู้มีจิตตั้งมั่นในสติปัฏฐาน ๔ ย่อมรู้คุณวิเศษ
[๗๑๔] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังสำนักของนางภิกษุณีแห่งหนึ่ง แล้วนั่งบนอาสนะ
ที่เขาปูลาดไว้. ครั้งนั้น ภิกษุณีมากรูปเข้าไปหาท่านพระอานนท์ ไหว้ท่าน
พระอานนท์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว จึงพูดกะท่าน
พระอานนท์ว่า ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ ภิกษุณีมีมากรูปในธรรมวินัยนี้

402
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 403 (เล่ม 30)

มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ย่อมรู้คุณวิเศษอันยิ่งอย่างอื่นจากคุณวิเศษ
ในกาลก่อน. ท่านพระอานนท์ตอบว่า น้องหญิง ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้
เป็นอย่างนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้นพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้คุณวิเศษอันยิ่งอย่างอื่นจาก
คุณวิเศษในกาลก่อน. ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ยังภิกษุณีเหล่านั้นให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมมีกถา แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.
[๗๑๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวไปบิณฑบาตในพระนคร-
สาวัตถีแล้ว ในเวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเช้านี้
ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังสำนักนางภิกษุณีแห่งหนึ่ง
แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้. ครั้งนั้น ภิกษุณีมากรูปเข้ามาหาข้าพระองค์
ไหว้ข้าพระองค์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วได้พูดกะข้า-
พระองค์ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ ภิกษุณีมากรูปในธรรมวินัยนี้
มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ย่อมรู้คุณวิเศษอันยิ่งอย่างอื่นจากคุณวิเศษ
ในกาลก่อน. เมื่อภิกษุณีทั้งหลายพูดอย่างนั้นแล้ว ข้าพระองค์ตอบว่า น้องหญิง
ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีจิต
ตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้นพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้
คุณวิเศษอันยิ่งอย่างอื่นจากคุณวิเศษในกาลก่อน.
[๗๑๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ อันเป็นอย่างนั้น
ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีจิตตั้งมั่นดีแล้วใน
สติปัฏฐาน ๔ ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้นพึ่งหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้คุณวิเศษอันยิ่ง
อย่างอื่นจากคุณวิเศษในกาลก่อน. สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน.

403
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 404 (เล่ม 30)

[๗๑๗] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกเสีย. เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ความเร่าร้อนมีกายเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นในกายก็ดี ความหดหู่แห่งจิตเกิดขึ้นก็ดี จิตฟุ้งซ่านไปในภายนอกก็ดี.
ภิกษุนั้นพึงตั้งจิตไว้ให้มั่นในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใด
อย่างหนึ่ง เมื่อเธอตั้งจิตไว้มั่นในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใด
อย่างหนึ่งอยู่ ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อเธอปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อเธอ
มีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมระงับ เธอมีกายระงับแล้ว ย่อมเสวยสุข
เมื่อเธอมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. เธอย่อมพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า เราตั้งจิตไว้
เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสำเร็จแก่เราแล้ว บัดนี้เราจะคุมจิตไว้. เธอ
คุมจิตไว้ และไม่ตรึก ไม่ตรอง ย่อมรู้ชัดว่า เราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีสติ ในภายใน เป็นผู้มีความสุข ดังนี้.
[๗๑๘] ดูก่อนอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม
พิจารพาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ . . . ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ . . . ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. เมื่อเธอพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ความ
เร่าร้อนมีธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้นในกายก็ดี ความหดหู่แห่งจิตเกิดขึ้นก็ดี
จิตฟุ้งซ่านไปในภายนอกก็ดี. ภิกษุนั้นพึงตั้งจิตไว้ให้มั่นในนิมิต อันเป็น
ที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเธอตั้งจิตไว้มั่นในนิมิต อันเป็น
ที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อเธอ
ปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อเธอมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมระงับ เธอมี
กายระงับแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อเธอมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. เธอย่อมพิจารณา
เห็นอย่างนี้ว่า เราตั้งจิตไว้เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสำเร็จแก่เราแล้ว

404
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 405 (เล่ม 30)

บัดนี้เราจะคุมจิตไว้. เมื่อเธอคุมจิตไว้ และไม่ตรึก ไม่ครอง ย่อมรู้ชัดว่า
เราไม่มีวิตก เราไม่มีวิจาร มีสติในภายใน เป็นผู้มีความสุข ดังนี้ ดูก่อน
อานนท์ ภาวนาย่อมมีเพราะตั้งจิตไว้ ด้วยประการฉะนี้แล.
[๗๑๙] ดูก่อนอานนท์ ก็ภาวนาย่อมมีเพราะไม่ตั้งจิตไว้ในภายนอก.
อย่างไร. ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมิได้ตั้งจิตไว้ในภายนอก ย่อมรู้ชัดว่า จิต
อันเรามิได้ตั้งไว้ในภายนอก ในลำดับนั้น เธอย่อมรู้ชัดว่า จิตของเราไม่ได้
ฟุ้งซ่านไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้วมิได้ตั้งอยู่ ก็แลในกาลนั้น เธอย่อม
รู้ชัดว่า เราย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ เป็นผู้มีความสุข ดังนี้.
[๗๒๐] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมิได้ตั้งจิตไว้ในภายนอก ย่อมรู้ชัดว่า
จิตอันเรามิได้ตั้งไว้ในภายนอก ในลำดับนั้น เธอย่อมรู้ชัดว่า จิตของเราไม่
ฟุ้งซ่านไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ก็แลในกาลนั้น เธอ
ย่อมรู้ชัดว่า เราย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ เป็นผู้มีความสุข ดังนี้.
[๗๒๑] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมิได้ตั้งจิตไว้ในภายนอก ย่อมรู้ชัดว่า
จิตอันเรามิได้ตั้งไว้ในภายนอก ในลำดับนั้น เธอย่อมรู้ชัดว่า จิตของเราไม่
ฟุ้งซ่านไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ก็แลในกาลนั้น เธอ
ย่อมรู้ชัดว่า เราย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ เป็นผู้มีความสุข ดังนี้.
[๗๒๒] ดูก่อนอานนท์ ภิกษุมิได้ตั้งจิตไว้ในภายนอก ย่อมรู้ชัดว่า
จิตอันเรามิได้ตั้งไว้ในภายนอก ในลำดับนั้น เธอย่อมรู้ชัดว่า จิตของเรามิได้
ฟุ้งซ่านไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ก็แลในกาลนั้น เธอย่อม

405
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 406 (เล่ม 30)

รู้ชัดว่า เราย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ เป็นผู้มีความสุข ดังนี้.
[๗๒๓] ดูก่อนอานนท์ ภาวนาย่อมมีเพราะไม่ได้ตั้งจิตไว้อย่างนั้นแล
ดูก่อนอานนท์ ภาวนาย่อมมีเพราะตั้งจิตไว้ เราแสดงแล้ว ภาวนาย่อมมี
เพราะมิได้ตั้งจิตไว้ เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการฉะนี้แล. ดูก่อนอานนท์
กิจอันใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์ ผู้อนุเคราะห์ นุ่งความอนุเคราะห์จะ
พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจอันนั้น เรากระทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย. อานนท์
นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง. เธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าได้มี
ความร้อนใจในภายหลัง นี้เป็นอนุศาสนีของเรา สำหรับเธอทั้งหลาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ปลื้มใจ
ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จบภิกขุนีสูตรที่ ๑๐
จบอัมพปาลิวรรคที่ ๑

406
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ – หน้าที่ 407 (เล่ม 30)

อรรถกถาภิกขุนีสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในภิกขุนีสูตรที่ ๑๐
บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระอานนท์ เข้าไปหาด้วยคิดว่า
เราจักให้พวกภิกษุณีผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานมีอยู่ในสำนักนั้น เกิดความขวนขวาย
แล้ว จักบอกกัมมัฏฐานแก่เธอเหล่านั้น. บทว่า อุฬารํ ปุพฺเพนาปรํ วิเสสํ
ความว่า ย่อมรู้คุณวิเศษอันยิ่งอย่างอื่นจากคุณวิเศษในเบื้องต้น . การกำหนด
มหาภูตรูปในบทนั้น เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้น การกำหนดอุปาทายรูป ชื่อว่า
คุณวิเศษในเบื้องปลาย การกำหนดสกลรูป เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้นก็อย่าง
นั้น การกำหนดอรูป ชื่อว่า คุณวิเศษในเบื้องปลาย การกำหนดรูปและอรูป
เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้น. การกำหนดปัจจัย ชื่อว่า คุณวิเศษในเบื้องปลาย.
การเห็นนามรูปพร้อมทั้งปัจจัย เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้น. การยกขึ้นสู่
ไตรลักษณ์ ชื่อว่า คุณวิเศษในเบื้องปลาย อธิบายว่า ย่อมรู้คุณวิเศษอันยิ่ง
เบื้องปลายจากคุณวิเศษในเบื้องต้นอย่างนี้.
บทว่า กายารมฺมโณ ความว่า เธอย่อมพิจารณาเห็นกายใด และ
ความเร่าร้อนเพราะกิเลสย่อมเกิดขึ้น เพราะทำกายนั้นแลให้เป็นอารมณ์.
บทว่า พหิทฺธา วา จิตฺตํ วิกฺขิปติ ความว่า จิตตุปบาทย่อมฟุ้งไปใน
ภายนอก คือในอารมณ์มากบ้าง. บทว่า กิสฺมิญฺเทว ปสาทนีเย นิมิตฺเต
จิตฺตํ ปณิทหิตพฺพํ ความว่า เมื่อความเร่าร้อนเพราะกิเลส ความหดหู่
และความฟุ้งซ่านไปในภายนอก เกิดขึ้นแล้ว ไม่พึงประพฤติไปตามความ
ยินดีของกิเลส คือพึงตั้งจิตไว้ในกัมมัฏฐาน ในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความ
เลื่อมใส คือนำความเลื่อมใสมาให้อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ในฐานะอย่างใด

407