หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 234 (เล่ม 3)

อนาปัตติวาร
[๔๑๘] ภิกษุกล่าวว่า ขอท่านจงบำรุงด้วยจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และเภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัย ของภิกษุไข้ ดังนี้ เป็นต้น ๑
ภิกษุวิกลจริต ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
วินีตวัตถุ
อุทานคาถา
[๔๑๙] เรื่องหญิงหมันว่าทำไฉนจะได้บุตร เรื่องหญิงมีบุตรถี่
เรื่องเป็นที่รัก เรื่องมีโชคดี เรื่องจะถวายอะไรดี เรื่องจะอุปัฏฐากด้วย
อะไรดี เรื่องไฉนจึงได้ไปสุคติ.
วินีตวัตถุ
เรื่องหญิงหมันว่าทำไฉนจะได้บุตร
[๔๒๐] ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีหมันคนหนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า
ท่านเจ้าขา ทำไฉน ดิฉันจึงจะมีบุตร
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว

234
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 235 (เล่ม 3)

เรื่องหญิงมีบุตรถี่
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งมีบุตรถี่ ได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่าน
เจ้าข้า ทำไฉน ดิฉันจึงจะไม่มีบุตร
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องเป็นที่รัก
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า
ทำไฉนดิฉันจึงจะเป็นที่รักของสามี
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไรเจ้าคะ ชื่อว่าทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องมีโชคดี
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า
ทำไฉนดิฉันจึงจะโชคดี

235
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 236 (เล่ม 3)

ภิกษุตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้น เธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้น มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องจะถวายอะไรดี
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุสุปกะว่า ท่านเจ้าข้า
ดิฉันจะถวายอะไรแก่พระคุณเจ้าดี
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า น้องหญิง เธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว กระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องจะอุปัฏฐากด้วยอะไร
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า
ดิฉันจะอุปัฏฐากพระคุณเจ้าด้วยอะไรดี
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง เธอจงอุปัฏฐากด้วยทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ

236
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 237 (เล่ม 3)

ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องไฉนจึงจะไปสุคติ
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า
ทำไฉนดิฉันจึงจะได้ไปสุคติ
ภิกษุนั้น ตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ . เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ จบ
พรรณนาสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔
อัตตกามปาริจริยสิกขาบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น
ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป:-
วินิจัยในอัตตกามปาริจริยสิกขาบทนั้น พึงทราบดังนี้:-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระอุทายี ]
บทว่า กุลุปโก ความว่า เป็นผู้เข้าใกล้ชิดตระกูล คือ เป็นผู้
ขวนขวายเป็นนิตย์ในการเข้าหาตระกูล เพื่อต้องการปัจจัย ๔.

237
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 238 (เล่ม 3)

บทว่า จีวรปิณฺฑปาคเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ ได้แก่
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร. ก็ในบทว่า
คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกขารํ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- ที่ชื่อว่าปัจจัย
เพราะอรรถว่า ทำการบำบัด. คำว่า ปัจจัย เป็นชื่อแห่งเภสัชอันสบาย
ชนิดใดชนิดหนึ่ง. ชื่อว่ากรรมของหมอ เพราะหมอนั้นอนุญาต ฉะนั้น
จึงชื่อว่า เภสัช คิลานปัจจัยด้วย เภสัชด้วย ชื่อว่า คิลานปัจจัยเภสัช.
มีคำอธิบายว่า การงานของหมอมีน้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ชนิดใด
ชนิดหนึ่ง เป็นที่สบายแก่คนไข้. ก็เครื่องล้อม ท่านเรียกว่า บริขาร
ในคำเป็นต้นว่า เมืองเป็นอันเขาล้อมดีแล้วด้วย เครื่องล้อมเมือง ๗ ชั้น๑
ดังนี้. เครื่องประดับท่านก็เรียกว่า บริขาร ในคำเป็นต้นว่า รถมีเครื่อง
ประดับขาว มีฌานเป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ๒ ดังนี้. เครื่องค้ำจุน
ท่านเรียกว่า บริขาร ในประโยคเป็นต้นว่า เครื่องค้ำจุนชีวิตแม้เหล่านี้
อันบรรพชิตพึงแสวงหา๓ ดังนี้. ในบทว่า คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ
นี้ย่อมควรทั้งเครื่องค้ำจุน ทั้งเครื่องล้อม.
แท้จริง คิลานปัจจัยเภสัชนั้น เป็นเครื่องล้อมชีวิตบ้าง เพราะ
ไม่ให้ช่องแก่ความเกิดขึ้น แห่งอาพาธอันจะยังชีวิตให้พินาศ เป็นเครื่อง
ค้ำจุนบ้าง เพราะเป็นเหตุให้ชีวิตนั้น เป็นไปได้นาน เพราะฉะนั้น
จึงเรียกว่า บริขาร พึงทราบเนื้อความอย่างนั้นว่า คิลานปัจจัยเภสัชนั้นด้วย
เป็นบริขารด้วย โดยนัยดังกล่าวมานี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า คิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร. ซึ่งคิลานปัจจัยเภสัชบริขารนั้น.
๑. อง. สตฺตก. ๒๗/๑๐๗. ๒. สํ. มหาวาร. ๑๙/๗. ๓. ม. มู. ๑๒/๒๑๒.

238
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 239 (เล่ม 3)

บทว่า วสลํ แปลว่า เลว คือ ชั่วช้า. อีกนัยหนึ่ง ผู้ที่ชื่อว่า
วสละ เพราะอรรถว่า ไหลออกมา. อธิบายว่า ย่อมหลั่งออก.
บทว่า นิฏฺฐหิตฺวา แปลว่า บ้วนเขฬะให้ตกไป
ด้วยคำว่า กิสฺสาหํ เกน หายามิ ดังนี้ หญิงนั้นแสดงว่า เรา
จะด้อยกว่าหญิงอื่นคนไหน ? ว่าโดยอะไร ? คือ ว่าโดยโภคะก็ตาม โดย
เครื่องแค่แต่งตัวก็ตาม โดยรูปร่างก็ตาม หญิงชื่ออะไรเล่า ? จะเป็นผู้ดียิ่ง
ไปกว่าเรา.
บทว่า สนฺติเก แปลว่า ยืนอยู่ในที่ใกล้เคียง คือ ในที่ไม่ไกล
โดยรอบ. แม้ด้วยบทภาชนะ ท่านก็แสดงเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า อตฺตกามปาริจริยาย ความว่า การบำเรอด้วยกาม กล่าวคือ
เมถุนธรรม ชื่อว่า กามปาริจริยา. การบำเรอด้วยกามเพื่อประโยชน์
แก่ตน ชื่อว่า อัตตกามปาริจริยา. อีกอย่างหนึ่ง การบำเรอที่ตนใคร่
คือ ปรารถนา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัตตกามา. อธิบายว่า อันภิกษุ
เองปรารถนาแล้วด้วยอำนาจแห่งความกำหนด ในเมถุน การบำเรอนั้นด้วย
อันตนให้ใคร่ด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัตตกามปาริจริยา. แห่งการ
บำเรอด้วยกามเพื่อประโยชน์แก่ตน (หรือแห่งการบำเรออันตนใคร่) นั้น.
[อธิบายสิกขาบทวิภังค์จตุตถสังฆาทิเสส]
สองบทว่า วณฺณํ ภาเสยฺย ความว่า พึงประกาศคุณ คืออานิสงส์.
ในอรรถวิกัปทั้งสองนั้น เพราะในอรรถวิกัปนี้ว่า การบำเรอกามเพื่อ
ประโยชน์ตน ได้ใจความ คือ กาม ๑ เหตุ ๑ การบำเรอ ๑ พยัญชนะ
ยังเหลือ ในอรรถวิกัปนี้ว่า การบำเรอนั้นด้วย อันตนใคร่ด้วย ชื่อ

239
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 240 (เล่ม 3)

อัตตกามปาริจริยา ได้ใจความ คือ ความประสงค์ การบำเรอ ๑
พยัญชนะยังเหลือ เพราะเหตุนั้น เพื่อไม่ทำความเอื้อเฟื้อในพยัญชนะแสดง
แต่ใจความเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะว่า คือ เป็นเหตุ
แห่งตน เป็นที่ประสงค์แห่งตน. จริงอยู่ เมื่อตรัสคำว่า การบำเรอตน
บัณฑิตทั้งหลายจักทราบว่า การบำเรอด้วยกาม เพื่อประโยชน์แก่ตน ท่าน
กล่าวแล้วว่าด้วยคำมีประมาณเท่านี้ แม้เมื่อท่านกล่าวคำว่า การบำเรอตน
ซึ่งเป็นที่ประสงค์แห่งตน บัณฑิตทั้งหลาย ก็จักทราบว่า การบำเรอ
ที่ตนใคร่ ด้วยอรรถว่า ที่ตนต้องการประสงค์ ท่านกล่าวด้วยคำมี
ประมาณเท่านี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงแสดงอาการในการสรรเสริญ
คุณแห่งการบำเรอตนด้วยกายนั้น จึงตรัสคำว่า เอตทคฺคํ เป็นอาทิ คำนั้น
มีเนื้อความชัดเจนทีเดียว ทั้งโดยอุเทศทั้งโดยนิเทศ.
ส่วนบทสัมพันธ์ และวินิจฉัยอาบัติในสิกขาบทนี้ พึงทราบดังนี้:-
คำว่า เอตทคํ ฯเป ฯ ปริจเรยฺย มีความว่า หญิงในพึงบำเรอ
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์มีศีล มีกัลยาณธรรมเช่นเรา ด้วยธรรมนั่น
ขึ้นชื่อว่าการบำเรอใด ของหญิงนั้น ผู้บำเรอผู้พระพฤติพรหมจรรย์
เช่นเราอย่างนั้น, การบำเรอเป็นยอดของการบำเรอทั้งหลาย.
สองบทว่า เมถุนูปสํหิเตน สงฺฆาทิเสส มีความว่า ภิกษุใด
เมื่อกล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามอย่างนั้น พึงกล่าวด้วยคำพาดพิง
เมถุนจัง ๆ คือ หมายเฉพาะเมถุนจัง ๆ เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุนั้น.
บัดนี้ ท่านปรับสังฆาทิเสส แก่ภิกษุผู้กล่าวด้วยคำพาดพิงเมถุน
เท่านั้น; เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นสังฆาทิเสสแม้แก่ภิกษุผู้กล่าวคุณแห่ง

240
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 241 (เล่ม 3)

การบำเรอ ด้วยถ้อยคำมีอาทิอย่างนี้ว่า ฉันก็เป็นกษัตริย์ หล่อนก็เป็น
กษัตริย์ นางกษัตริย์สมควรให้แก่กษัตริย์ เพราะมีชาติเสมอกัน แต่เป็น
สังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้กล่าวปริยายแม้มาก มีคำว่า ฉันก็เป็นกษัตริย์ หล่อน
ก็เป็นกษัตริย์ เป็นต้น แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำพาดพิงเมถุนจัง ๆ อย่างนี้ว่า
หล่อนสมควรให้เมถุนแก่ฉัน.
คำว่า อิตฺถี จ โหติ เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั้นแล
พระอุทานเถระเป็นอาทิกัมมิกะในสิกขาบท ไม่เป็นอาบัติแก่ท่านผู้เป็น
อาทิกัมมิกะฉะนี้แล.
บทภาชนียวรรณนา จบ
ปกิณกะทั้งปวงมีสมุฏฐานเป็นต้น เหมือนทุฏฐุลลวาจาสิกขาบท.
แม้วินีตวัตถุทั้งหลาย ก็มีอรรถชัดเจนทั้งนั้น ด้วยประการนี้.
พรรณนาสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ จบ

241
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 242 (เล่ม 3)

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕
เรื่องพระอุทายี
[๔๒๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล
ท่านพระอุทายีเป็นพระกุลุปกะในพระนครสาวัตถี เข้าไปสู่สกุลเป็นอันมาก
ที่ตนเห็นว่ามีแก่ชายหนุ่มน้อยยังไม่มีภรรยา หรือเด็กหญิงสาวน้อยยังไม่มี
สามี ย่อมพรรณนาคุณสมบัติของเด็กหญิงสาวน้อยในสำนักมารดาบิดา
ของเด็กชายหนุ่มน้อยว่า เด็กหญิงสาวน้อยของสกุลโน้น มีรูปงาม น่าดู
น่าชม คมคาย มีแววฉลาด มีไหวพริบดี ขยัน ไม่เกียจคร้าน เด็ก
หญิง สาวน้อยนั้นสมควรแก่เด็กชายหนุ่มน้อยนี้ มารดาบิดาของเด็กชาย
หนุ่มน้อยกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า คนเหล่านั้นไม่รู้จักพวกข้าพเจ้าว่า
เป็นใคร หรือเป็นพรรคพวกของใคร ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้ากรุณา
พูดทาบทามให้ พวกข้าพเจ้าจะสู่ขอเด็กหญิงสาวน้อยนั้นมาให้แก่เด็ก
ชายหนุ่มน้อยนี้ และพรรณนาคุณสมบัติของเด็กชายหนุ่มน้อยในสำนัก
มารดาบิดาของเด็กหญิงสาวน้อยว่า เด็กชามหนุ่มน้อยของสกุลโน้น มี
รูปงาม น่าดู น่าชม คมคาย มีแววฉลาด มีไหวพริบดี ขยัน ไม่
เกียจคร้าน เด็กชายหนุ่มน้อยนั้นสมควรแก่เด็กหญิงสาวน้อยนี้ มารดา
บิดาของเด็กหญิงสาวน้อยกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า คนเหล่านั้นไม่
รู้จักพวกข้าพเจ้าว่าเป็นใคร หรือเป็นพรรคพวกของใคร ฝ่ายหญิงจะ
พูดชมว่า ดู ๆ ก็อยู่ ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้ากรุณาช่วยพูดให้เขา
สู่ขอ พวกข้าพเจ้าจะยอมยกเด็กหญิงสาวน้อยนี้แก่เด็กชายหนุ่มน้อยนั้น
โดยอุบายนี้แล ท่านพระอุทายีให้มารดาบิดาของเจ้าหนุ่มเจ้าสาวทำอาวาห-
มงคลบ้าง วิวาหมงคลบ้าง พูดให้สู่ขอกันบ้าง.

242
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 243 (เล่ม 3)

[๔๒๒] สมัยต่อมา ธิดาของสตรีหมายคนหนึ่ง มีรูปงาม น่าดู
น่าชม พวกสาวกของอาชีวกชาวบ้านอื่น มาพูดกะสตรีหมายนั้นดังนี้ว่า
ข้าแต่แม่ ขอแม่จงกรุณายกเด็กหญิงสาวน้อยนี้ให้แก่เด็กชายหนุ่มน้อยของ
พวกข้าพเจ้าเถิด
สตรีหมายนั้นตอบดังนี้ว่า คุณขา ดิฉันไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นใคร
หรือเป็นพรรคพวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยนี้ ก็เป็นธิดา
คนเดียวของดิฉัน และจะต้องไปอยู่บ้านอื่น ดิฉันจะยกให้ไม่ได้
คนทั้งหลายซักถามสาวกของอาชีวกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายมา
ธุระอะไร
พวกสาวกของอาชีวกชี้แจงว่า พวกข้าพเจ้ามาขอธิดาของหญิง
หมายชื่อโน้น ในตำบลบ้านนี้ให้เด็กชายหนุ่มน้อยของพวกข้าพเจ้า นาง
ตอบอย่างนั้นว่า คุณขาดิฉันไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นใคร หรือเป็นพรรค
พวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยนี้ก็เป็นธิดาคนเดียวของดิฉัน
และจะต้องไปอยู่บ้านอื่น ดิฉันจะยกให้ไม่ได้
คนพวกนั้นแนะนำว่า พวกคุณไปขอธิดาต่อหญิงหม้ายนั้นทำไม
ไปพูดกะท่านพระอุทายีหรือ ท่านพระอุทายีจักช่วยพูดให้เขายกให้เอง
จึงพวกสาวกของอาชีวกเหล่านั้นเข้าไปหาท่านพระอุทายี ครั้นแล้ว
ได้เรียนท่านพระอุทายีว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า พวกข้าพเจ้าขอธิดาของ
หญิงหม้ายชื่อโน้นในบ้านนี้ให้แก่เด็กชายหนุ่มน้อยของพวกข้าพเจ้า นาง
ตอบอย่างนี้ว่า คุณขา ดิฉันไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นใคร หรือเป็น
พรรคพวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยก็เป็นธิดาคนเดียวของ
ดิฉัน และจะต้องให้อยู่บ้านอื่น ดิฉันจะยกให้ไม่ได้ ข้าแต่พระคุณเจ้า

243