หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 204 (เล่ม 3)

ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด แล ะ
พูดพาดพิงถึงของที่เนื่องด้วยกาย ของสัตว์ดิรัจฉาน ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี
อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มีความกำหนัด
และพูดพาดพิงถึงของที่เนื่องด้วยกาย ของสตรีทั้งสอง ชมก็ดี ติก็ดี ขอ
ก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
สตรี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มี
ความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงของที่เนื่องด้วยกาย ของสตรีและ
บัณเฑาะก์ทั้งสอง ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถาม
ก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
อนาปัตติวาร
[๘๐๖] ภิกษุผู้มุ่งประโยชน์ ๑ ภิกษุผู้มุ่งธรรม ๑ ภิกษุผู้มุ่งสั่ง-
สอน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล
วินีตวัตถุ
อุทานคาถา
[๔๐๗] เรื่องสีแดง เรื่องขนแข็ง เรื่องขนรก เรื่องขน
หยาบ เรื่องขนยาว เรื่องนาหว่าน เรื่องหนทางราบรื่น เรื่อง
มีศรัทธา เรื่องให้ทาน อย่างละ ๓ เรื่อง เรื่องทำงาน ๓ เรื่อง.

204
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 205 (เล่ม 3)

วินีตวัตถุ
เรื่องสีแดง
[๔๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งห่มผ้ากัมพลใหม่สีแดง ภิกษุ
รูปหนึ่ง มีความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง เธอมีสีแดงแท้
นางไม่เข้าใจความหมาย ตอบว่า เจ้าค่ะ ผ้ากัมพลใหม่สีแดงค่ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องขนแข็ง
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งห่มผ้ากัมพลขนแข็ง ภิกษุรูปหนึ่ง
มีความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง เธอมีขนแข็งแท้
นางไม่เข้าใจความหมาย ตอบว่า เจ้าค่ะ ผ้ากัมพลมีขนแข็งค่ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง-
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องขนรก
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งห่มผ้ากัมพลซักใหม่ ภิกษุรูปหนึ่ง
ความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง เธอมีขนรก
นางไม่เข้าใจความหมาย ตอบว่า เจ้าค่ะ ผ้ากัมพลซักใหม่ค่ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระ-
มังหนอ จึงกราบทูลเรื่อง นั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ

205
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 206 (เล่ม 3)

เรื่องขนหยาบ
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งห่มผ้ากัมพลขนหยาบ ภิกษุรูปหนึ่งมี
ความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง เธอมีขนหยาบ
นางไม่เข้าใจความหมาย ตอบว่า เจ้าค่ะ ผ้ากัมพลขนหยาบค่ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องขนยาว
[ ๔๐๙] ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งห่มผ้ามีขนยาว ภิกษุรูปหนึ่ง
มีความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง เธอมีขนยาว
นางไม่เข้าใจความหมาย ตอบว่า เจ้าค่ะ ผ้าห่มมีขนยาวค่ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังมาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องนาหว่าน
[๔๑๐] ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งหว่านข้าวในนาแล้วกลับมา
ภิกษุรูปหนึ่งมีความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง เธอหว่านนาแล้วหรือ
นางไม่เข้าใจความหมาย ตอบว่า หว่านแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่ได้
กลบค่ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.

206
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 207 (เล่ม 3)

เรื่องหนทางราบรื่น
[๔๑๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งพบนางปริพาชิกาเดินสวน
ทางมา มีความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง หนทางของเธอราบรื่น
ดอกหรือ
นางไม่เข้าใจความหมาย ตอบว่า เจ้าค่ะภิกษุ ท่านจักเดินไปได้
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระ ภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
เรื่องมีศรัทธา
[๘๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีความกำหนัด พูดเคาะ
สตรีผู้หนึ่งว่า น้องหญิง เธอเป็นคนมีศรัทธา จะถวายของที่เธอให้สามี
แก่พวกฉันบ้างไม่ได้หรือ
สตรีนั้นถามว่า ของอะไรเจ้าขา
ภิกษุตอบว่า เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้น มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องให้ทาน
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีความกำหนัด พูดเคาะสตรี
ผู้หนึ่งว่า น้องหญิง เธอเป็นคนมีศรัทธา ทำไมไม่ถวายทานที่เลิศแก่
พวกฉันบ้าง

207
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 208 (เล่ม 3)

สตรีนั้นถามว่า อะไรเจ้าขา ชื่อว่าทานที่เลิศ
ภิกษุตอบว่า เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว.
เรื่องทำงาน ๓ เรื่อง
[๔๑๓] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งกำลังทำงานอยู่ ภิกษุ
รูปหนึ่งมีความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง หยุดเถิด ฉันจักทำเอง
นางไม่เข้าใจความหมาย ภิกษุนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆา-
ทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฎ
๒. ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งกำลังทำงานอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งมี
ความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง นั่งลงเถิด ฉันจักทำเอง นางไม่
เขัาใจความหมาย ภิกษุนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
๓. ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งกำลังทำงานอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งมี
ความกำหนัด พูดเคาะว่า น้องหญิง จงนอนเสียเถิด ฉันจักทำเอง
นางไม่เข้าใจความหมาย ภิกษุนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆา -
ทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ตรัสว่า
ก่อนภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓ จบ

208
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 209 (เล่ม 3)

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓
ทุฏฐุลลวาจาสิกขาบทวรรณนา
ทุฏฐุลลวาจาสิกขา บทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น
ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป:-
พึงทราบวินิจฉัยในทุฎฐุลลวาจาสิกขาบทนั้นดังนี้
[อธิบาย สิกขาบทวิภังค์ สังฆาทิเสสที่ ๓]
บทว่า อาทิสฺส แปลว่า มุ่งถึง.
หลายบทว่า วณฺณมฺปิ ภณติ เป็นต้น จักมีแจ้งข้างหน้า.
บทว่า อจฺฉินฺนกา แปลว่า ขาคความเกรงบาป.
บทว่า ธุตฺติกา แปลว่า ผู้มีมารยา.
บทว่า อหิริกาโย แปลว่า ผู้ไม่มีความอาย.
บทว่า โอหสนฺติ แปลว่า แย้มพรายแล้ว หัวเราะเบา ๆ.
บทว่า อุลฺลปนฺติ ความว่า ย่อมกล่าวถ้อยคำแทะโลม มีประการ
ต่าง ๆ ยกย่องโดยนัยเป็นต้นว่า โอ! พระคุณเจ้า.
บทว่า อุชฺชคฆนฺติ แปลว่า ย่อมหัวเราะลั่น.
บทว่า อุปฺผณฺเฑนฺติ ความว่า กระทำการเยาะเย้ยโดยนัยเป็นต้น
ว่า นี้ เป็นบัณเฑาะก์ นี้ มิใช่ผู้ชาย.
บทว่า สารตฺโต แปลว่า กำหนัดแล้ว ด้วยความกำหนัด โดย
อำนาจแห่งความพอใจในวาจาชั่วหยาบ.
บทว่า อเปกฺขวา ปฏิพทฺธจิตฺโต มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ใน
สิกขาบทนี้ พึงประกอบราคะด้วยอำนาจแห่งความยินดีในวาจาอย่างเดียว.

209
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 210 (เล่ม 3)

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงมาตุคามที่ทรงประสงค์ในคำ
ว่า มาตุคามํ ทุฏฐุลฺลาหิ ราจาหิ นี้ จึงตรัสดำว่า มาตุคาโม เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยคำว่า เป็นหญิงที่รู้เดียงสา สามารถทราบ
ถ้อยคำที่เป็นสุภาษิตทุพภาษิต วาจาชั่วหยาบและสุภาพได้ นี้ท่านพระ-
อุบาลีแสดงว่า หญิงที่เป็นผู้ฉลาด สามารถเพื่อจะทราบถ้อยคำที่เป็น
ประโยชน์และไร้ประโยชน์ ถ้อยคำที่พาดพิงอสัทธรรมและสัทธรรมทรง
ประสงค์เอาในสิกขาบทนี้, ส่วนหญิงที่โง่เขลาเบาปัญญาแม้เป็นผู้ใหญ่
ก็ไม่ทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้.
บทว่า โอภาเสยฺย ความว่า พึงพูดเคาะ คือ พูดพาดพิงอสัท-
ธรรม มีประการต่าง ๆ. ก็เพราะชื่อว่า การพูดเคาะของภิกษุผู้พูดอย่างนี้
โดยความหมาย เป็นอัชฌาจาร คือ เป็นความประพฤติล่วงละเมิดเขต
แดนแห่งความสำรวมด้วยอำนาจแห่งราคะ; เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า บทว่า โอภาเสยฺย
คือ ที่เรียกว่า อัชฌาจาร.
คำว่า ตํ ในคำว่า ยถาตํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. ความว่า เหมือน
ชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาวฉะนั้น.
คำเป็นต้นว่า เทฺว มคฺเค อาทิสฺส ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
แล้ว เพื่อทรงแสดงอาการที่เป็นเหตุให้เป็นสังฆาทิเสส แก่ภิกษุผู้พูดเคาะ
(หญิง).
[อธิบายบทภาชนีย์ สังฆาทิเสสที่ ๓]
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เทฺว มคฺเค ได้แก่ วัจจมรรคกับ

210
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 211 (เล่ม 3)

ปัสสาวมรรค. คำที่เหลือปรากฏแล้วแต่แรกในอุเทศนั่นแล. ก็ในอุเทศ
คำว่า พูดชม คือ พูดว่า เธอเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยลักษณะของหญิง
คือด้วยศุภลักษณะ, อาบัติยังไม่ถึงที่สุดก่อน. พูดว่า วัจจมรรคและ
ปัสสาวมรรคของเธอเป็นเช่นนี้, เธอเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยลักษณะของ
สตรี คือด้วยศุภลักษณะเช่นนี้ ด้วยเหตุเช่นนั้น, อาบัติย่อมถึงที่สุด คือ
เป็นสังฆาทิเสส.
ก็สองบทว่า วณฺเณติ ปสํสติ นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า พูดชม.
บทว่า ขุํเสติ ความว่า ย่อมพูดกระทบกระเทียบด้วยประตัก คือ
วาจา.
บทว่า วมฺเภติ แปลว่า พูดรุกราน.
บทว่า ครหติ แปลว่า ย่อมกล่าวโทษ.
แต่เมื่อยังไม่พูดเชื่อมต่อกับ ๑๑ บท มีบทว่า อนิมิตฺตาสิ เป็นต้น
ซึ่งมาในบาลีข้างหน้า อาบัติยังไม่ถึงที่สุด, ถึงแม้เชื่อมแล้ว เมื่อพูดเชื่อม
ด้วย ๓ บทเหล่านี้ว่า เธอเป็นคนมีเดือย, เธอเป็นคนผ่า, เธอเป็นคน ๒
เพศ ดังนี้เท่านั้น ในบรรดา ๑๑ บทเหล่านั้น จึงเป็นสังฆาทิเสส. แม้
ในการพูดขอว่า เธอจงให้แก่เรา อาบัติยังไม่ถึงที่สุด ด้วยคำพูดเพียง
เท่านี้ ต่อเมื่อพูดเชื่อมด้วยเมถุนธรรมอย่างนี้ว่า เธอจงให้เมถุนธรรม
เป็นสังฆาทิเสส. แม้ในคำพูดอ้อนวอนว่า เมื่อไรมารดาของเธอจักเลื่อมใส
เป็นต้น อาบัติยังไม่ถึงที่สุด ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ แต่เมื่อพูดเชื่อมด้วย
เมถุนธรรม โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อไรมารดาของเธอจักเลื่อมใส, เมื่อไร
เราจักได้เมถุนธรรมของเธอ หรือว่า เมื่อมารดาของเธอเลื่อมใสแล้ว
เราจักได้เมถุนธรรม ดังนี้ เป็นสังฆาทิเสส. แม้ในคำถามเป็นต้นว่า เธอ

211
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 212 (เล่ม 3)

ให้แก่สามีอย่างไร ? เมื่อพูดคำว่า เมถุนธรรม เท่านั้น จึงเป็นสังฆา-
ทิเสส หาเป็นโดยประการอื่นไม่. แม้ในคำพูดสอบถามว่า ได้ยินว่า
เธอให้แก่สามีอย่างนี้หรือ ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในการบอกดังนี้:- สองบทว่า ปุฏฺโฐ ภณติ มี
ความว่า ภิกษุถูกผู้หญิงถามว่า เมื่อให้อย่างไร จึงจะเป็นที่รักของสามี ?
แล้วบอก. ก็ในการบอกนั้น แม้เมื่อพูดว่า จงให้อย่างนี้ เมื่อให้อย่างนี้
อาบัติยังไม่ถึงที่สุด, แต่เมื่อเชื่อมด้วยเมถุนธรรมเท่านั้น โดยนัยเป็นต้น
ว่า เธอจงให้ จงน้อมเข้าไป ซึ่งเมถุนธรรมอย่างนี้, เมื่อให้ เมื่อน้อม
เข้าไปซึ่งเมถุนธรรมอย่างนี้ จะเป็นที่รัก เป็นสังฆาทิเสส. แม้ในการ
กล่าวสอน ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
วินิจฉัยอักโกสนิเทศ พึงทราบดังนี้:-
บทว่า อนิมิตฺตาสิ แปลว่า เธอเป็นคนปราศจากนิมิต. มีอธิบาย
ว่า ช่องปัสสาวะของเธอมีประมาณเท่ารูกุญแจเท่านั้น.
บทว่า นิมิตฺตมตฺตาสิ แปลว่า นิมิตสตรีของเธอ ไม่เต็มบริบูรณ์,
มีอธิบายว่า สักแต่ว่าเป็นที่หมายรู้เท่านั้น.
บทว่า อโลหิตา แปลว่า มีช่องคลอดแห้ง.
บทว่า ธุวโลหิตา แปลว่า มีช่องคลอดที่เปียกชุ่มไปด้วยโลหิต
เป็นนิตย์.
บทว่า ธุวโจลา แปลว่า มีผ้าลิ่มจุกอยู่เป็นนิตย์. มีอธิบายว่า
เธอใช้ผ้าซับเสมอ.
บทว่า ปคฺฆรนฺติ แปลว่า ย่อมไหลออก. มีอธิบายว่า น้ำมูตร
ของเธอไหลออกอยู่เสมอ.

212
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 213 (เล่ม 3)

บทว่า สิขิรณี แปลว่า มีเนื้อเดือยยื่นออกมาข้างนอก. หญิงที่ไม่
มีนิมิตเลย ท่านเรียกว่า หญิงบัณเฑาะก์, หญิงที่มีหนวดและเครา รูปร่าง
คล้ายผู้ชาย ท่านเรียกว่า หญิงคล้ายผู้ชาย.
บทว่า สมฺภนฺนา ความว่า มีช่องทวารหนัก และช่องทวารเบา
ปนกัน.
บทว่า อุภโตพฺยญฺชนา ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยเพศทั้งสอง
คือ เครื่องหมายเพศสตรี ๑ เครื่องหมายเพศบุรุษ ๑.
ก็บรรดา ๑๑ บทเหล่านั้น ๓ บทล้วน ๆ นี้ คือ เธอมีเดือย, เธอ
เป็นคนผ่า, เธอเป็นคนสองเพศ เท่านั้น ย่อมถึงที่สุด. ๓ บทนี้ และ
๓ บทก่อน ๆ คือ บทว่าด้วยวัจจมรรคปัสสาวมรรค และเมถุนธรรม
รวมเป็น ๖ บทล้วน ๆ ทำให้เป็นอาบัติได้ ด้วยประการฉะนี้.
บทที่เหลือเป็นต้นว่า เธอเป็นคนไม่มีนิมิต ซึ่งเชื่อมในบทว่าไม่มี
นิมิต ด้วยเมถุนธรรมไม่แล้วนั่นแล โดยนัยเป็นต้นว่า เธอจงให้เมถุนธรรม
แก่เรา หรือว่า เธอเป็นคนไม่มีนิมิต จงให้เมถุนธรรมแก่เรา พึงทราบ
ว่า เป็นบทก่อให้เป็นอาบัติได้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงชนิดแห่งอาบัติโดยพิสดาร
ด้วยสามารถแห่งอาการมีการพูดชมเป็นต้นเหล่านี้ พาดพิงถึงวัจจมรรค
และปัสสาวมรรค ของภิกษุผู้กำหนัด มีจิตแปรปรวนพูดเคาะมาตุคาม
จึงตรัสคำว่า อิตฺถี จ โหติ อิตฺถีสญฺญี เป็นต้น เนื้อความแห่งบทเหล่า-
นั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว ในกายสังสัคคะนั่นแล. ส่วนความ
แปลกกัน ดังต่อไปนี้:-

213