หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 184 (เล่ม 3)

ทรงกระทำธรรมมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมกับเรื่องนั้น
แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ
รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้
เก้อยาก ๑ เพื่อยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกัน
อาสวะอันจะเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสนะอันจักบังเกิดใน
อนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความ
ตั้งมั่น แห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือความพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนั้นว่าดังนี้:-
พระปฐมบัญญัติ
๗.๓. อนึ่ง ภิกษุใด กำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว พูด
เคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาว
ด้วยวาจาพาดพิงเมถุน เป็นสังฆาทิเสส.
เรื่อง พระอุทายี จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๓๙๘] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการ
งานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด

184
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 185 (เล่ม 3)

มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะ
ก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง..ใด.
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ
ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า พระพฤติภิกขาจริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า
ภิกษุ โดยปฏิญญา ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพระอรรถว่า เป็น
พระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน
อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบควรแก่ฐานะ บรรดาภิกษุ.
เหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยเหนือญัตติจตุตถกรรมอัน
ไม่กำเริบควรแก่ฐานะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ว่า ภิกษุ
ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า กำหนัดแล้ว คือ มีความยินดี มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์-
บทว่า แปรปรวนแล้ว ความว่า จิตแม้อันราคะย้อมแล้ว ก็แปร
ปรวน แม้อันโทสะประทุษร้ายแล้ว ก็แปรปรวน แม้อันโมหะให้ลุ่มหลง
แล้ว ก็แปรปรวน แต่ที่ว่า แปรปรวนแล้ว ในอรรถนี้ ทรงประสงค์
จิตอันราคะย้อมแล้ว.
ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุษย์ ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่
หญิงเปรต ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นหญิงที่รู้เดียงสา สามารถทราบ
ถ้อยคำที่เป็นสุภาษิตทุพภาษิต วาจาชั่วหยาบ และสุภาพ.

185
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 186 (เล่ม 3)

วาจา ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ วาจาที่พาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรค
และเมถุนธรรม.
บทว่า พูดเคาะ คือ ที่เรียกกันว่า ประพฤติล่วงเกิน.
คำว่า เหมือนชายหนุ่มหญิงสาว ได้แก่ เด็กชายรุ่นกับเด็กหญิงรุ่น
คือหนุ่มกับสาว ชายบริโภคกามกับหญิงบริโภคกาม.
บทว่า ด้วยวาจาพาดพิงเมถุน ได้แก่ ถ้อยคำที่เกี่ยวด้วยเมถุนธรรม.
บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น
ชักเข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต เรียกเข้าหมู่ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน
ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส คำว่า
สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือเป็นชื่อของอาบัตินิกายนั้นแล
แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์
มาติกา
[๓๙๙] มุ่งมรรคทั้งสอง พูดชม ก็ดี พูดติ ก็ดี พูดขอ ก็ดี
พูดอ้อนวอน ก็ดี ถาม ก็ดี ย้อนถาม ก็ดี บอก ก็ดี สอน ก็ดี
ด่า ก็ดี.
[๔๐๐] ที่ชื่อว่า พูดชม คือ ชม พรรณนา สรรเสริญ มรรค
ทั้งสอง.
ที่ชื่อว่า พูดติ คือ ด่า ว่า ติเตียน มรรคทั้งสอง.

186
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 187 (เล่ม 3)

ที่ชื่อว่า พูดขอ คือ พูดว่า โปรดให้แก่เรา โปรดยกให้แก่เรา
ควรจะให้แก่เรา ดังนี้เป็นต้น.
ที่ชื่อว่า พูดอ้อนวอน คือ พูดว่า เมื่อไรมารดาของเธอจักเลื่อมใส
เมื่อไรบิดาของเธอจักเลื่อมใส เมื่อไรเทวดาของเธอจักเลื่อมใส เมื่อไร
โอกาสดีจักมีแก่เธอ เมื่อไรเวลาดีจักมีแก่เธอ เมื่อไรยามดีจักมีแก่เธอ
เมื่อไรฉันจักได้เมถุนธรรมของเธอ ดังนี้เป็นต้น.
ที่ชื่อว่า ถาม คือ ถามว่า เธอให้เมถุนธรรมแก่สามีอย่างไร ให้
แก่ชู้อย่างไร ดังนี้เป็นต้น.
ที่ชื่อว่า ย้อนถาม คือ สอบถามดูว่า ข่าวว่า เธอให้เมถุนธรรม
แก่สามีอย่างนี้หรือ ให้เเก่ชู้อย่างนี้หรือ ดังนี้เป็นต้น.
ที่ชื่อว่า บอก คือ ถูกเขาถามแล้วบอกว่า เธอจงให้อย่างนี้ เมื่อ
ให้อย่างนี้ จักเป็นที่รักใคร่และพอใจของสามี ดังนี้เป็นต้น.
ที่ชื่อว่า สอน คือ เขาไม่ได้ถาม บอกเองว่า เธอจงให้อย่างนี้
เมื่อให้อย่างนี้ จักเป็นที่รักใคร่และพอใจของสามี ดังนี้เป็นต้น.
ที่ชื่อว่า ด่า คือ ด่าว่า เธอเป็นคนไม่มีนิมิต เธอเป็นคนสักแต่ว่า
มีนิมิต เธอเป็นคนไม่มีโลหิต เธอเป็นคนมีโลหิตเสมอ เธอเป็นคนมีผ้าซับ
เสมอ เธอเป็นคนช้ำรั่ว เธอเป็นคนมีเดือย เธอเป็นบัณเฑาะก์หญิง
เธอเป็นคนกล้าผู้ชาย เธอเป็นคนผ่า เธอเป็นคนสองเพศ ดังนี้
เป็นต้น.
สตรี
[๔๐๑] สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี ความกำหนัดและ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรี ชนก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อน-

187
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 188 (เล่ม 3)

วอนก็ดี ถามก็ดี ย้อมถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติสังฆา-
ทิเสส
สตรี ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวาร
หนัก ทวารเบา ของสตรี ชมก็ดี ก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี
ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด และ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรี ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี
อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย
สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และพูด
พาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรี ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอน
ก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีความกำหนัด และ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรี ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี
อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติ
ถุลลัจจัย
บัณเฑาะก์
บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด
และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์ ชมก็ดี ติก็ดี
ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี
ต้องอาบัติถุลลัจจัย

188
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 189 (เล่ม 3)

บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และพูดพาดพิงถึง
ทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์ ชมก็ดี ก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอน
ก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์ ชมก็ดี ก็ดี ขอก็ดี
อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
บัณเฑาะก์ ภิกษุที่ความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด และพูด
พาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์ ชมก็ดี ติก็ดี อ้อนวอน
ก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ
บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และพูด
พาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษ ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอน
ก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวาร
หนัก ทวารเบา ของบุรุษ ชมก็ดี ติก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อน
ถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีความกำหนัดเละ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษ ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี
อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้อง
อาบัติทุกกฏ

189
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 190 (เล่ม 3)

บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด และพูด
พาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอน
ก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด และ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษ ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี
อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้อง
อาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีความ
กำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสัตว์ดิรัจฉาน ชม
ก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอน
ก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติ ทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และพูดพาดพิง
ถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสัตว์ดิรัจฉาน ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อน-
วอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด และ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสัตว์ดิรัจฉาน ชมก็ดี ติก็ดี
ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี
ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด
และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสัตว์ดิรัจฉาน ชมก็ดี ติก็ดี

190
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 191 (เล่ม 3)

ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี
ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสัตว์ดิรัจฉาน ชมก็ดี ติก็ดี ขอ
ก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี
ต้องอาบัติทุกกฏ.
สตรี ๒ คน
[๔๐๒ ] สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มี
ความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรีทั้งสองคน
ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี
สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตัว
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด และพูด
พาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรีทั้งสองคน ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี
อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติ
ถุลลัจจัย ๒ ตัว
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน มีความ
กำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรีทั้งสองคน
ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มีความ
กำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรีทั้งสองคน ชม

191
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 192 (เล่ม 3)

ก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอน
ก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว .
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน มี
ความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของสตรีทั้งสองคน
ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี
สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน
มีความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์
ทั้งสองคน ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี
บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด
และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์ทั้งสองคน ชมก็ดี
ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี
ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มี
ความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์
ทั้งสองคน ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี
บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน
มีความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์
ทั้งสองคน ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี
บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว

192
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 193 (เล่ม 3)

บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มีความ
กำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบัณเฑาะก์ทั้งสองคน
ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี
สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษสองคน มีความกำหนัด
และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษทั้งสองคน ชมก็ดี ติก็ดี
ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด และ
พูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษทั้งสองคน ชมก็ดี ติก็ดี
ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี สอนก็ดี ด่าก็ดี
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน มี
ความกำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษทั้งสองคน
ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อนถามก็ดี บอกก็ดี
สอนก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มีความ
กำหนัด และพูดพาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบา ของบุรุษทั้งสองคน
ชมก็ดี ติก็ดี ขอก็ดี อ้อนวอนก็ดี ถามก็ดี ย้อมถามก็ดี บอกก็ดี สอน
ก็ดี ด่าก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน มีความ

193