No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 81 (เล่ม 29)

๒. ปสัยหสูตร๑
ว่าด้วยกำลังของมาตุคาม ๕ ประการ
[๔๘๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการนี้ ๕
ประการเป็นไฉน. กำลังคือรูป ๑ กำลังคือโภคะ ๑ กำลังคือญาติ ๑ กำลังคือ
บุตร ๑ กำลังคือศีล ๑ กำลังของมาตุคาม ๕ นี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุ-
คามผู้ประกอบด้วยกำลัง ๕ ประการนี้แล ย่อมบังคับสามีอยู่ครองเรือนได้.
จบ ปสัยหสูตรที่ ๒
อรรถกถาปสัยหสูตรที่ ๒
บทว่า ปสยฺห คือครอบงำแล้ว
จบ อรรถกถาปสัยหสูตรที่ ๒
๓. อภิภุยยสูตร๒
ว่าด้วยกำลังของมาตุคาม ๕ ประการของบุรุษประการเดียว
[๔๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน. กำลังคือรูป ๑ กำลังคือโภคะ ๑ กำลังคือญาติ ๑
กำลังคือบุตร ๑ กำลังคือศีล ๑ กำลังของมาตุคาม ๕ นี้แล มาตุคามผู้
ประกอบด้วยกำลัง ๕ ประการนี้ ย่อมประพฤติข่มขี่สามีได้ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ส่วนบุรุษผู้ประกอบด้วยกำลังอย่างเดียว ย่อมประพฤติข่มขี่
มาตุคามได้ กำลังอย่างเดียวเป็นไฉน. ได้แก่กำลังคือความเป็นใหญ่
๑. อรรถกถาจัดไว้เป็นสูตรที่ ๑๐ ในเปยยาลวรรค พระไตรปิฎกเป็นสูตรที่ ๒ ใน
มาตุคามพลวรรคที่ ๓
๒. สูตรที่ ๓-๑๐ ไม่มีอรรถกถาแก้.

81
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 82 (เล่ม 29)

กำลังคือรูป ย่อมป้องกันมาตุคามผู้ถูกบุรุษข่มขี่แล้วได้ กำลังคือโภคะ.
กำลังคือญาติ กำลังคือบุตร กำลังคือศีล ป้องกันไม่ได้
จบ อภิภุยยสูตรที่ ๓
อรรถกถาอภิภุยยสูตรที่ ๓
บทว่า อภิภุยฺย วตฺตติ ได้แก่ ย่อมครอบงำ คือ ข่มขี่. บทว่า
เนว รูปพลํ ตายติ ความว่า กำลังคือรูป ย่อมไม่สามารถจะป้องกัน
คือรักษาได้เลย.
จบ อรรถกถาอภิภุยยสูตรที่ ๓
๔. อังคสูตร
ว่าด้วยกำลังของมาตุคาม ๕ ประการ
[๔๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน. กำลังคือรูป ๑ กำลังคือโภคะ ๑ กำลังคือญาติ ๑
กำลังคือบุตร ๑ กำลังคือศีล ๑.
[๔๘๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือรูป
แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือโภคะ อย่างนี้ชื่อว่ายังไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น
แต่เมื่อมาตุคามประกอบด้วยกำลังคือรูปและกำลังคือโภคะ อย่างนี้ชื่อว่า
บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น ก็มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือรูปและกำลังคือโภคะ
แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือญาติ อย่างนี้ชื่อว่ายังไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น
แต่เมื่อมาตุคามประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลังคือโภคะ และกำลังคือญาติ
อย่างนี้ชื่อว่าบริบูรณ์ด้วยองค์นั้น ก็มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลัง

82
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 83 (เล่ม 29)

คือโภคะ และกำลังคือญาติ แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือบุตร อย่างนี้ชื่อว่า
ยังไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น แต่เมื่อมาตุคามประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลัง
คือโภคะ กำลังคือญาติ และกำลังคือบุตร อย่างนี้ชื่อว่าบริบูรณ์ด้วยองค์นั้น
ก็มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลังคือโภคะ กำลังคือญาติ และ
กำลังคือบุตร แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือศีล อย่างนี้ชื่อว่ายังไม่บริบูรณ์
ด้วยองค์นั้น แต่เมื่อมาตุตามประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลังคือโภคะ กำลัง
คือญาติ กำลังคือบุตร และกำลังคือศีล อย่างนี้ชื่อว่าบริบูรณ์ด้วยองค์นั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการนี้แล.
จบ อังคสูตรที่ ๔
๕. นาสยิตถสูตร
ว่าด้วยมาตุคามผู้ไม่ประกอบด้วยกำลัง ๕ ถูกพวกญาติให้พินาศ
[๔๘๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน. กำลังคือรูป ๑ กำลังคือโภคะ ๑ กำลังคือญาติ ๑ กำลัง
คือบุตร ๑ กำลังคือศีล ๑
[๔๙๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือ
รูป แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือศีล พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้นให้พินาศ
คือไม่ให้อยู่ในสกุล มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือรูปและกำลังคือโภคะ
แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือศีล พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้นให้พินาศ คือ
ให้อยู่ในสกุล มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลังคือโภคะ และ
กำลังคือญาติ แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือศีล พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้น
ให้พินาศ คือไม่ให้อยู่ในสกุล มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลังคือ
โภคะ กำลังคือญาติ และกำลังคือบุตร แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือศีล

83
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 84 (เล่ม 29)

พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้นให้พินาศ คือไม่ให้อยู่ในสกุล แต่เมื่อมาตุคาม
ประกอบด้วยกำลังคือรูป กำลังคือโภคะ กำลังคือญาติ กำลังคือบุตร
และกำลังคือศีล พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้นให้อยู่ในสกุล ย่อมไม่ให้
พินาศ มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือศีล แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือรูป
พวกญาติย่อมย่อมยังมาตุคามนั้นให้อยู่ในสกุล ย่อมไม่ให้พินาศ ก็มาตุคาม
ผู้ประกอบด้วยกำลังคือศีล แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือโภคะ พวกญาติย่อม
ยังมาตุคามนั้นให้อยู่ในสกุล ย่อมไม่ให้พินาศ มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลัง
คือศีล แต่ไม่ประกอบด้วยกำลังคือญาติ พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้นให้
อยู่ในสกุล ย่อมไม่ให้พินาศ มาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลังคือศีล แต่ไม่
ประกอบด้วยกำลังคือบุตร พวกญาติย่อมยังมาตุคามนั้นให้อยู่ในสกุล ย่อม
ไม่ให้พินาศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการนี้แล.
จบ มาสยิตถสูตร ๕
อรรถกถานาสยิตถสูตรที่ ๕
บทว่า นาเสนฺเตว นํ กุเล น วาเสนฺติ ความว่า พวกญาติ
คิดว่า หญิงทุศีล เสียมารยาท ประพฤตินอกใจ ดังนี้ จึงจับคอนำออกไป
คือไม่ให้อยู่ในตระกูลนั้น. บทว่า วาเสนฺเตว นํ กุเล น นาเสนฺติ
ความว่า พวกญาติรู้ว่าประโยชน์อะไรด้วยรูปหรือด้วยโภคะเป็นต้น หญิงนี้
เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีมารยาทดีงาม จึงให้อยู่ในตระกูลนั้น ไม่ให้พินาศ
คำที่เหลือในที่ทั้งปวง มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถานาสยิตถสูตรที่ ๕

84
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 85 (เล่ม 29)

๖. เหตุสูตร
ว่าด้วยมาตุคามผู้ประกอบด้วยกำลัง ๕ ย่อมเข้าถึงสวรรค์
[๔๙๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการ
เป็นไฉน. กำลังคือรูป ๑ กำลังคือโภคะ ๑ กำลังคือญาติ ๑ กำลังคือบุตร ๑
กำลังคือศีล ๑
[๔๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุคามเมื่อแตกกายตายไป ย่อม
เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะกำลังคือรูปเป็นเหตุ เพราะกำลังคือโภคะเป็น
เหตุ เพราะกำลังคือญาติเป็นเหตุ หรือเพราะกำลังคือบุตรเป็นเหตุ หามิได้
แต่ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะกำลังคือศีลเป็นเหตุ ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย กำลังของมาตุคาม ๕ ประการนี้ แล.
จบ เหตุสูตรที่ ๖
๗. ฐานสูตร
ว่าด้วยฐานะที่ได้ยาก ๕ ประการ
[๔๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันมาตุคาม
ผู้มิได้ทำบุญไว้ยากที่จะได้ ฐานะ ๕ ประการเป็นไฉน. คือ ขอเราพึง
เกิดในสกุลอันสมควร นี้เป็นฐานะข้อที่ ๑ อันมาตุคามผู้มีได้ทำบุญไว้ยากที่
จะได้ เกิดในสกุลอันสมควรแล้ว ขอเราพึงไปสู่สกุลอันสมควร นี้เป็น
ฐานะข้อที่ ๒. . . เกิดในสกุลอันสมควรแล้ว ไปสู่สกุลอันสมควรแล้ว ขอ
เราพึงอยู่ครองเรือนปราศจากหญิงร่วมสามี นี้เป็นฐานะข้อที่ ๓ . . . เกิดใน
สกุลอันสมควรแล้ว ไปสู่สกุลอันสมควรแล้ว อยู่ครองเรือนปราศจาก
หญิงร่วมสามี ขอเราพึงมีบุตร นี้เป็นฐานะข้อที่ ๔ . . . เกิดในสู่สกุลอัน
สมควรแล้ว ไปสู่สกุลอันสมควรแล้ว อยู่ครองเรือนปราศจากหญิงร่วม
สามี มีบุตร ขอเราประพฤติครอบงำสามี นี้เป็นฐานะข้อที่ ๕ อันมาตุคาม

85
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 86 (เล่ม 29)

ผู้มิได้ทำบุญไว้ยากที่จะได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้
อันมาตุคามผู้มิได้ทำบุญไว้ยากที่จะได้.
จบ ฐานสูตรที่ ๗
๘. วิสารทสูตร
ว่าด้วยฐานะ ๕ ประการ ผู้ทำบุญไว้ย่อมได้โดยง่าย
[๔๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันมาตุคาม
ผู้ทำบุญไว้ได้โดยง่าย ฐานะ ๕ ประการเป็นไฉน. คือ ขอเราพึงเกิดใน
สกุลอันสมควร นี้เป็นฐานะข้อที่ ๑ อันมาตุคามผู้ทำบุญไว้ได้โดยง่าย
เกิดในสกุลอันสมควรแล้ว ขอเราพึงไปสู่สกุลอันสมควร นี่เป็นฐานะ
ข้อที่ ๒. . .เกิดในสกุลอันสมควรแล้ว ไปสู่สกุลอันสมควรแล้ว ขอเรา
พึงอยู่ครองเรือนปราศจากหญิงร่วมสามี นี้เป็นฐานะข้อที่ ๓ . . .เกิดใน
สกุลอันสมควรแล้ว ไปสู่สกุลอันสมควรแล้ว อยู่ครองเรือนปราศจากหญิง
ร่วมสามี ขอเราพึงมีบุตร นี้เป็นฐานะข้อที่ ๔. . .เกิดในสกุลอันสมควร
แล้ว ไปสู่สกุลอันสมควรแล้ว อยู่ครองเรือนปราศจากหญิงร่วมสามี มีบุตร
ขอเราพึงประพฤติครอบงำสามี นี้เป็นฐานะข้อที่ ๕ อันมาตุคามผู้ทำบุญ
ไว้ ได้โดยง่าย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้แล อันมาตุคาม
ผู้ทำบุญไว้ได้โดยงง่าย.
จบ วิสารทสูตรที่ ๘
๙. ปัญจเวรสูตร
ว่าด้วยมาตุคามผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
สามารถอยู่ครองเรือน
[๔๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุคามผู้ประกอบด้วยธรรม ๕
ประการ เป็นผู้สามารถอยู่ครองเรือน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน. คือ

86
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 87 (เล่ม 29)

มาตุคามเป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑ จากการลักทรัพย์ ๑ จากการ
ประพฤติผิดในกาม ๑ จากการพูดเท็จ ๑ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและ
เมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุคาม
ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถอยู่ครองเรือน.
จบ ปัญจเวรสุตรที่ ๙
๑๐. วัฑฒิสูตร
ว่าด้วยอริยสาวิกาย่อมเจริญด้วยธรรม ๕ ประการ
[๔๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวิกาเมื่อเจริญด้วยวัฑฒิ-
ธรรม ๕ ประการ ย่อมเจริญด้วยวัฑฒิธรรมอันเป็นอริยะ เป็นผู้ถือเอา
สาระและถือเอาสิ่งประเสริฐของกายไว้ได้ วัฑฒิธรรม ๕ ประการเป็น
ไฉน. คือ อริยสาวิกาย่อมเจริญด้วยศรัทธา ๑ ศีล ๑ สุตะ ๑ จาคะ ๑
ปัญญา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวิกาเมื่อเจริญด้วยวัฑฒิธรรม ๕
ประการนี้แล ย่อมเจริญด้วยวัฑฒิธรรมอันเป็นอริยะ เป็นผู้ถือเอาสาระ
และถือเอาสิ่งประเสริฐแห่งกายไว้ได้.
สตรีใดเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา สตรี
เช่นนั้น เป็นอุบาสิกาผู้มีศีล ย่อมถือสาระของตนในโลกนี้ไว้ได้.
จบ วัฑฒิสูตรที่ ๑๐
จบ มาตุคามพลวรรคที่ ๓
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. วิสารทสูตร ๒. ปสัยหสูตร ๓. อภิภุยยสูตร ๔. อังคสูตร
๕ นาสยิตถสูตร ๖. เหตุสูตร ๗. ฐานะสูตร ๘. วิสารทสูตร
๙. ปัญจเวรสูตร ๑๐. วัฑฒิสูตร.
จบ มาตุคามสังยุต

87
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 88 (เล่ม 29)

๔. ชัมพุขาทกสังยุต
๑. นิพพานปัญหาสูตร
ว่าด้วยปัญหานิพพาน
[๔๙๗] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ บ้านนาลคาม แคว้น
มคธ ครั้งนั้นแล ปริพาชกชื่อว่าชัมพุขาทก เข้าไปหาท่านพระสารีบุตร
ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอใจ
ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่าน
พระสารีบุตรว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร ที่เรียกว่า นิพพาน ๆ ดังนี้ นิพพาน
เป็นไฉนหนอ. ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ความสิ้นราคะ
ความสิ้นโทสะ. ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่านิพพาน.
ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็บรรดามีอยู่หรือ ปฏิปทามิอยู่หรือ เพื่อ
กระทำนิพพานนั้นให้แจ้ง.
สา. มีอยู่ ผู้มีอายุ.
ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็มรรคาเป็นไฉน ปฏิปทาเป็นไฉน เพื่อ
กระทำนิพพานนั้นให้แจ้ง.
สา. ดูก่อนผู้มีอายุ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ความเห็น
ชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ
ตั้งสติชอบ ตั้งใจชอบ นี้แลเป็นมรรคา เป็นปฏิปทาเพื่อกระทำนิพพาน
นั้นให้แจ้ง.
ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ บรรดาดีนัก ปฏิปทาดีนัก เพื่อกระทำ
นิพพานให้แจ้ง และเพียงพอเพื่อความไม่ประมาท นะท่านสารีบุตร.
จบ นิพพานปัญหาสูตรที่ ๑

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 89 (เล่ม 29)

ชัมพุขาทกสังยุต
อรรถกถานิพพานปัญหาสูตรที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัยในชัมพุขาทกสังยุต ดังต่อไปนี้
บทว่า ชมฺพุขาทโก ปริพฺพาชโก ความว่า ปริพาชกผู้นุ่งผ้า
เป็นหลานของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งมีชื่ออย่างนี้. บทว่า โย โข อาวุโส
ราคกฺขโย ความว่า ราคะย่อมสิ้นไปเพราะอาศัยนิพพาน เพราะฉะนั้น
พระสารีบุตร จึงเรียกนิพพานว่า ความสิ้นราคะดังนี้. แม้ในความสิ้น
โทสะและโมหะก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ส่วนผู้ใด พึงกล่าวเพียงความสิ้นกิเลสว่านิพพานด้วยสูตรนี้ ผู้นั้น
พึงถูกถามว่ากิเลสของใครนั้น ของตนหรือ หรือของคนเหล่าอื่น. เข้าจัก
ตอบว่าของตนแน่. เขาต้องถูกถามต่อไปว่าอะไร เป็นอารมณ์ของโคตรภู-
ญาณ เมื่อร้จักตอบว่านิพพาน. ถามว่า ก็กิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว กำลังสิ้น
จักสิ้นในขณะแห่งโคตรภูญาณหรือ ตอบว่า เขาไม่พึงตอบว่า สิ้นแล้ว
หรือกำลัง. แต่พึงตอบว่า จักสิ้นดังนี้. ก็เมื่อกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น
ยังไม่สิ้นแล้ว. โคตรภูญาณจะทำความสิ้นแห่งกิเลสให้เป็นอารมณ์ได้หรือ
เมื่อท่านถูกถามอย่างนี้แล้ว เขาจักไม่มีคำตอบ.
แต่ในข้อนี้ พึงประกอบความสิ้นกิเลสแม้ด้วยมรรคญาณ. ด้วยว่า
กิเลสทั้งหลาย แม้ในขณะแห่งมรรค ไม่ควรกล่าวว่า สิ้นแล้วหรือจักสิ้น
แต่ควร กล่าวว่า กำลังสิ้น อนึ่ง เมื่อกิเลสทั้งหลายยังไม่สิ้นไป ความสิ้น
กิเลสย่อมเป็นอารมณ์หาได้ไม่. เพราะฉะนั้นข้อนั้นควรรับได้. ธรรมมี

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ – หน้าที่ 90 (เล่ม 29)

ราคะเป็นต้น ย่อมสิ้นไป เพราะอาศัยธรรมชาติใด เพราะเหตุนั้น
ธรรมชาตินั้น ชื่อว่านิพพาน. ส่วนนิพพานนี้นั้น ไม่เพียงเป็นความสิ้น
กิเลสเท่านั้น เพราะท่านรวบรวมไว้ว่าสงเคราะห์ว่าเป็นอรูปธรรม. ธรรม
ทั้งหลายที่ชื่อว่ารูป ในทุกะมาติกามีอาทิว่า รูปิโน ธมฺมา อรูปโน ธมฺมา
ธรรมทั้งหลายที่ชื่อว่ารูป ธรรมทั้งหลายที่ไม่ชื่อว่ารูปทั้งนี้
จบ อรรถกถานิพพานปัญหาสูตรที่ ๑
๒. อรหัตตปัญหาสูตร
ว่าด้วยปัญหาเรื่องพระอรหัตผล
[๔๙๘] ดูก่อนท่านสารีบุตร ที่เรียกว่า อรหัต ๆ ดังนี้ อรหัต
เป็นไฉน.
สา. ดูก่อนผู้มีอายุ ธรรมเป็นที่สิ้นราคะ ธรรมเป็นที่สิ้นโทสะ
ธรรมเป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอรหัต.
ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็มรรคามีอยู่หรือ ปฏิปทามีอยู่หรือ เพื่อ
กระทำอรหัตนั้นให้แจ้ง.
สา. มีอยู่ ผู้มีอายุ.
ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็มรรคาเป็นไฉน ปฏิปทาเป็นไฉน เพื่อ
กระทำอรหัตนั้นให้แจ้ง.
สา. ดูก่อนผู้มีอายุ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ความเห็น
ชอบ ฯลฯ ตั้งใจชอบ นี้แลเป็นบรรดา เป็นปฏิปทา เพื่อกระทำอรหัต
นั้นให้แจ้ง.

90