No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 298 (เล่ม 28)

จักษุวิญญาณย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง จักษุสัมผัสย่อม
ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกข์เวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิด เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ก็ย่อมปรากฏตาม
ความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง ฯลฯ ใจย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง
ธรรมารมณ์ย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง มโนวิญญาณย่อม
ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง มโนสัมผัสย่อมปรากฏตามความเป็น
จริงว่า ไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิด
ขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ก็ย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงหลีกเร้นบำเพ็ญความเพียร เพราะเมื่อ
ภิกษุหลีกเร้นอยู่ สิ่งทั้งปวงย่อมปรากฏตามความเป็นจริง.
จบ ทุติยชีวกัมพวนสูตรที่ ๖
อรรถกถาชีวกัมพวนสูตรที่ ๕ - ๖
สูตรที่ ๕ ตรัสสำหรับเหล่าภิกษุผู้ยังบกพร่องด้วยสมาธิ. สูตรที่ ๖
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า กรรมฐานของพวกเธอต้องได้พี่เลี้ยง จึง
ตรัสสำหรับเหล่าภิกษุผู้ได้ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง และความสงัดกาย
แต่ยังบกพร่องด้วยการหลีกเร้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอกฺกายติ
ได้แก่อันเขารู้กันทั่ว คือ ปรากฏ. ดังนั้น ในสูตรทั้ง ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงได้ตรัสมรรค ๔ พร้อมด้วยวิปัสสนา.
จบ อรรถกถาชีวกัมพวนสูตรที่ ๕ - ๖

298
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 299 (เล่ม 28)

๗. ปฐมมหาโกฏฐิกสูตร๑
ว่าด้วยการละความพอใจในสิ่งที่ไม่เทียง
[๒๕๑] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่
ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ฟังแล้ว พึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ดูก่อนโกฏฐิกะ สิ่งใดแล ไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจในสิ่งนั้น ก็
สิ่งอะไรเล่าไม่เที่ยง จักษุไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจในจักษุนั้น รูปไม่
เที่ยง เธอพึงละความพอใจในรูปนั้น จักษุวิญญาณไม่เที่ยง เธอพึงละความ
พอใจในจักษุวิญญาณนั้น จักษุสัมผัสไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจใน
จักษุสัมผัสนั้น แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิด
ขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง. เธอพึงละความพอใจในสุขเวทนา
ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
นั้นเสีย หูไม่เที่ยง . . . จมูกไม่เที่ยง . . . ลิ้นไม่เที่ยง . . . กายไม่เที่ยง. . .
ใจไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจในใจนั้น ธรรมารมณ์ไม่เที่ยง เธอพึง
ละความพอใจในธรรมารมณ์ มโนวิญญาณไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจ
ในมโนวิญญาณนั้น มโนสัมผัสไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจในมโนสัมผัส
นั้น แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะ
๑. อรรถกถาสูตรที่ ๗-๘-๙ แก้รวมไว้ท้ายสูตรที่ ๙

299
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 300 (เล่ม 28)

มโนสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจในสุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยนั้นเสีย ดูก่อน
โกฏฐิกะ สิ่งใดไม่เที่ยง เธอพึงละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย.
จบ ปฐมมหาโกฏฐิกสูตรที่ ๗
๘. ทุติยมหาโกฏฐิกสูตร
ว่าด้วยการละความพอใจในสิ่งที่เป็นทุกข์
[ ๒๕๒ ] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ. ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์โปรดทรง
แสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ฟังแล้ว พึงเป็นผู้หลีก
ออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโกฏฐิกะ สิ่งใดแลเป็นทุกข์ เธอพึงละ
ความพอใจในสิ่งนั้นเสีย ก็สิ่งอะไรเล่าเป็นทุกข์. จักษุแลเป็นทุกข์ เธอ
พึงละความพอใจในจักษุนั้น รูปเป็นทุกข์ เธอพึงละความพอใจในรูปนั้น
จักษุวิญญาณเป็นทุกข์ เธอพึงละความพอใจในจักษุวิญญาณนั้น จักษุสัมผัส
เป็นทุกข์ เธอพึงละความพอใจในจักษุสัมผัสนั้น แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยเป็นทุกข์ เธอ
พึงละความพอใจในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะจักษุสัมผัสนั้นเสีย หูเป็นทุกข์.. . จมูกเป็นทุกข์... ลิ้นเป็นทุกข์...
กายเป็นทุกข์. . . ใจเป็นทุกข์ เธอพึงละความพอใจในใจนั้น ธรรมารมณ์

300
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 301 (เล่ม 28)

เป็นทุกข์ เธอพึงละความพอใจในธรรมารมณ์นั้น มโนวิญญาณเป็นทุกข์
เธอพึงละความพอใจในมโนวิญญาณนั้น มโนสัมผัสเป็นทุกข์ เธอพึงละ
ความพอใจในมโนสัมผัสนั้น แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุข-
เวทนาที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยเป็นทุกข์ เธอพึงละความพอใจ
ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะมโน-
สัมผัสเป็นปัจจัยนั้นเสีย ดูก่อนโกฏฐิกะ สิ่งใดแลเป็นทุกข์ เธอพึงละ
ความพอใจในสิ่งนั้นเสีย.
จบ ทุติยมหาโกฏฐิกสูตรที่ ๘
๙. ตติยมหาโกฏฐิกสูตร
ว่าด้วยการละความพอใจในส่งที่เป็นอนัตตา
[๒๕๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯ ล ฯ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ .ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์โปรดทรงแสดง
ธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ฟังแล้ว พึงเป็นผู้หลีกออกจาก
หมู่อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโกฏฐิกะ ก็สิ่งใดแลเป็นอนัตตา เธอพึงละความ
พอใจในสิ่งนั้น ก็สิ่งอะไรเล่าเป็นอนัตตา ดูก่อนโกฏฐิกะ จักษุแลเป็น
อนัตตา เธอพึงละความพอใจในจักษุนั้น รูปเป็นอนัตตา เธอพึงละความ
พอใจในรูปนั้น จักษุวิญญาณเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในจักษุ
วิญญาณนั้น จักษุสัมผัสเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในจักษุสัมผัส

301
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 302 (เล่ม 28)

นั้น แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุ
สัมผัสเป็นปัจจัยเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในสุขเวทนา ทุขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยนั้นเสีย หูเป็น
อนัตตา . . . จมูกเป็นอนัตตา . . . ลิ้นเป็นอนัตตา . . . กายเป็นอนัตตา . . .
ใจเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจในใจนั้น ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา
เธอพึงละความพอใจในธรรมารมณ์นั้น มโนวิญญาณเป็นอนัตตา เธอพึง
ละความพอใจในมโนวิญญาณนั้น มโนสัมผัสเป็นอนัตตา เธอพึงละความ
พอใจในมโนสัมผัสนั้น แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยเป็นอนัตตา เธอพึงละความพอใจ
ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส
เป็นปัจจัยนั้นเสีย ดูก่อนโกฏฐิกะ สิ่งใดแลเป็นอนัตตา เธอพึงละความ
พอใจในสิ่งนั้นเสีย.
จบ ตติยมหาโกฏฐิกสูตรที่ ๙
อรรถกถามหาโกฏฐิกสูตรที่ ๗ - ๙
ใน ๓ สูตรมีสูตรที่ ๗ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเฉพาะ
ธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตติของพระเถระ.
จบ อรรถกถามหาโกฏฐิกสูตรที่ ๗ - ๙

302
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 303 (เล่ม 28)

๑๐. มิจฉาทิฏฐิสูตร๑
ว่าด้วยการละมิจฉาทิฏฐิ
[๒๕๔] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บุคคลรู้เห็นจักษุแล โดยความ
เป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นรูปโดยความเป็นของไม่เที่ยง
จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นจักษุวิญญาณโดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละ
มิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นจักษุสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉา-
ทิฏฐิได้ รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิ
ได้ บุคคลรู้เห็นหู รู้เห็นจมูก รู้เห็นลิ้น รู้เห็นกาย รู้เห็นใจโดยความ
เป็นของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นธรรมารมณ์โดยความเป็น
ของไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นมโนวิญญาณโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นมโนสัมผัสโดยความเป็นของไม่เที่ยง
จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ รู้เห็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละ
มิจฉาทิฏฐิได้ ดูก่อนภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล
จึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้.
จบ มิจฉาทิฏฐิสูตรที่ ๑๐
๑. อรรถกถาสูตรที่ ๑๐-๑๑-๑๒ แก้รวมไว้ท้ายสูตรที่ ๑๒

303
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 304 (เล่ม 28)

๑๑. สักกายทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยการละสักกายทิฏฐิ
[๒๕๕] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ฯลฯ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละสักกายทิฏฐิได้. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บุคคลรู้เห็นจักษุแลโดยความเป็นทุกข์
จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ รู้เห็นรูปโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้
รู้เห็นจักษุวิญญาณโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ รู้เห็นจักษุ-
สัมผัสโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ รู้เห็นแม้สุขเวทนา
ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพระจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ บุคคลรู้เห็นหู รู้เห็นจมูก
รู้เห็นลิ้น รู้เห็นกาย รู้เห็นใจโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้
รู้เห็นธรรมารมณ์โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ รู้เห็นมโน-
วิญญาณโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ รู้เห็นมโนสัมผัสโดย
ความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็น
ทุกข์ จึงจะละสักกายทิฏฐิได้ ดูก่อนภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่
อย่างนี้แล จึงจะละสักกายทิฏฐิได้.

304
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 305 (เล่ม 28)

๑๒. อัตตานุทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยการละอัตตานุทิฏฐิ
[๒๕๖] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ฯลฯ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้. พระผู้มี
พระเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บุคคลรู้เห็นจักษุแล โดยความเป็นอนัตตา
จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้ รู้เห็นรูปโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุ-
ทิฏฐิได้ รู้เห็นจักษุวิญญาณโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้
รู้เห็นจักษุสัมผัสโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้ รู้เห็นแม้
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส
เป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้ บุคคลรู้เห็นหู
รู้เห็นจมูก รู้เห็นลิ้น รู้เห็นกาย รู้เห็นใจโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละ
อัตตานุทิฏฐิได้ รู้เห็นธรรมารมณ์โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุ-
ทิฏฐิได้ รู้เห็นมโนวิญญาณโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้
รู้เห็นมโนสัมผัสโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้ รู้เห็นแม้
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส
เป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้ ดูก่อนภิกษุ
เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอัตตานุทิฏฐิได้.
จบ อัตตานุทิฏฐิสูตรที่ ๑๒
นันทิขยวรรคที่ ๑

305
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 306 (เล่ม 28)

อรรถกถามิจฉาทิฏฐิสูตรที่ ๑๐ - ๑๒
๓ สูตรมีสูตรที่ ๑๐ เป็นต้น ตรัสด้วยอำนาจอัธยาศัยบุคคล
แผนกหนึ่งต่างหาก. เนื้อความแห่งสูตรเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าว
แล้วนั่นแล.
จบ อรรถกถามิจฉาทิฏฐิสูตรที่ ๑๐ - ๑๒
จบ นันทิขยวรรคที่ ๑
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปฐมนันทิขยสูตร ๒.ทุติยนันทิขยสูตร ๓. ตติยนันทิขยสูตร
๔. จตุตถนันทิขยสูตร ๕. ปฐมชีวกัมพวนสูตร ๖. ทุติยชีวกัมพวนสูตร
๗. ปฐมมหาโกฏฐิกสูตร ๘. ทุติยมหาโกฏฐิกสูตร ๙. ตติยมหาโกฏฐิกสูตร
๑๐. มิจฉาทิฏฐิสูตร ๑๑. สักกายทิฏฐิสูตร ๑๒. อัตตานุทิฏฐิสูตร.

306
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 307 (เล่ม 28)

สัฏฐิเปยยาลวรรคที่ ๒
๑. ปฐมฉันทสูตร
ว่าด้วยการละฉันทะในสิ่งที่ไม่เที่ยง
[๒๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่เที่ยง เธอทั้งหลายพึงละ
ฉันทะในสิ่งนั้นเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรเล่าไม่เที่ยง. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย จักษุไม่เที่ยง เธอทั้งหลายพึงละฉันทะในจักษุนั้นเสีย
หูไม่เที่ยง จมูกไม่เที่ยง ลิ้นไม่เที่ยง กายไม่เที่ยง ใจไม่เที่ยง เธอทั้งหลาย
พึงละฉันทะในใจนั้นเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่เที่ยง เธอพึงละ
ฉันทะในสิ่งนั้นเสีย.
จบ ปฐมฉันทสูตรที่ ๑
๒. ปฐมราคสูตร
ว่าด้วยการละราคะในสิ่งที่ไม่เที่ยง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่เที่ยง เธอทั้งหลายพึงละราคะในสิ่ง
นั้นเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรเล่าไม่เที่ยง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
จักษุไม่เที่ยง เธอทั้งหลายพึงละราคะในจักษุนั้นเสีย หูไม่เที่ยง จมูกไม่
เที่ยง ลิ้นไม่เที่ยง กายไม่เที่ยง ใจไม่เที่ยง เธอทั้งหลายพึงละราคะในใจ
นั้นเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่เที่ยง เธอทั้งหลายพึงละราคะในสิ่ง
นั้นเสีย.
จบ ราคสูตรที่ ๒
๑. สัฏฐิเปยยาลวรรคที่ ๒ อรรถกถาแก้ไว้รวม ๆ กัน ท้ายวรรคนี้

307