No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 288 (เล่ม 28)

ในภายในว่า ราคะ โทสะ และโมหะไม่มีอยู่ในภายในของเรา ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ธรรมเหล่านั้นพึงทราบได้ด้วยการเชื่อต่อผู้อื่น ทราบได้ด้วยความ
ชอบใจ ทราบได้ด้วยการฟังต่อ ๆ กันมาทราบได้ด้วยการนึกเดาเอาตามเหตุ
หรือพึงทราบได้ด้วยการถือเอาว่าต้องกับความเห็นของตน บ้างหรือหนอ.
ภิ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ธรรมเหล่านี้พึงทราบได้เพราะเห็นด้วยปัญญามิใช่หรือ.
ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุให้ภิกษุอาศัยพยากรณ์
อรหัตตผลเว้นจากการเชื่อต่อผู้อื่น เว้นจากความชอบใจ เว้นจากการฟังต่อ ๆ
กันมา เว้นจากการนึกเดาเอาตามเหตุ เว้นจากการถือเอาว่าต้องกับความ
เห็นของตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ปริยายสูตรที่ ๘
อรรถกถาปริยายสูตรที่ ๘
ในปริยายสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ยํ ปริยายํ อาคมฺม ความว่า อาศัยเหตุใด. บทว่า อญฺญเตฺรว
สทฺธาย ความว่า เว้นศรัทธา คือ ปราศจากศรัทธา. ก็ในที่นี้ บทว่า
สทฺธา ไม่ได้หมายเอาศรัทธา ที่ประจักษ์ ( เห็นด้วยตนเอง ) แต่คำว่า
ศรัทธานี้ ท่านกล่าวหมายถึงอาการเชื่อที่ฟังคนอื่นพูดว่าเขาว่าอย่างนั้นแล้ว

288
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 289 (เล่ม 28)

ก็มิได้เลื่อมใสอาการ คือ การให้ชอบใจแม้ในสิ่งที่ชอบใจเป็นต้น เห็นด้วย
แล้วยึดถือว่า นี่มีจริงเป็นจริง ชื่อว่า รุจิ ชอบใจ ฟังตามคำบอกเล่าว่า
เรื่องนี้จักมีจักเป็นจริง ชื่อว่า ฟังตามกันมา. เมื่อนั่งคิดถึงเหตุ เหตุย่อม
ปรากฏ เมื่อเหตุปรากฏอย่างนี้ การเชื่อถือว่า เรื่องนี้มีจริง ชื่อว่า ตรึก
ตามอาการ. อธิบายว่า ตรึกตามเหตุ. เมื่อนั่งคิด ลัทธิอันลามก ย่อมเกิดขึ้น
อาการคือการถือเอาลัทธิลามกนั้นว่า สิ่งนี้ก็คือสิ่งนั้นมีอยู่ ชื่อว่า เชื่อด้วย
ชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน. บทว่า อญฺญํ พฺยากเรยฺย ความว่า หลุด-
พ้นฐานะ ๕ เหล่านี้แล้ว พึงพยากรณ์พระอรหัต. ในสูตรนี้ตรัสถึง
ปัจเจกขณญาณ สำหรับพระเสขะและอเสขะ.
จบ อรรถกถาปริยายสูตรที่ ๘
๙. อินทริยสูตร
ว่าด้วยเรื่องอินทรีย์
[๒๔๓] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ที่พระองค์ตรัสว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยอินทรีย์ ๆ ดังนี้ ภิกษุเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยอินทรีย์ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ ถ้าว่าภิกษุพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในจัก-
ขุนทรีย์ ย่อมเบื่อหน่ายในจักขุนทรีย์ ฯลฯ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและ

289
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 290 (เล่ม 28)

ความเสื่อมในมนินทรีย์ ย่อมเบื่อหน่ายในมนินทรีย์ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อม
คลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี
ญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนภิกษุ
ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอินทรีย์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
จบ อินทริยสูตรที่ ๙
อรรถกถาอินทริยสูตรที่ ๙
ในอินทริยสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อินฺทฺริยสมฺปนฺโน ได้แก่ ภิกษุผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์. ในคำนั้น
ภิกษุใดพิจารณาอินทรีย์ ๖ แล้วบวรลุพระอรหัต ภิกษุนั้นชื่อว่า มีอินทรีย์
สมบูรณ์ ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์เพราะประกอบด้วยอินทรีย์
ที่ขาวสะอาดหมดพยศ หรือเพราะประกอบด้วยอินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้น
ที่เกิดขึ้นแก่ผู้พิจารณาอินทรีย์ ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหมายเอาภิกษุผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์นั้น จึงทรงทำเทศนาให้พิสดารแก่
ภิกษุนั้นโดยนัยมีอาทิว่า จกฺขุนฺทฺริเย จ ดังนี้ แล้วตรัสว่า เอตฺตาวตา โข
ภิกฺขุ อินฺทฺรียสมฺปนฺโน ภิกษุที่ชื่อว่า สมบูรณ์ด้วยอินทรีย์ ด้วยเหตุ
เพียงเท่านี้.
จบ อรรถกถาอินทริยสูตรที่ ๙

290
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 291 (เล่ม 28)

๑๐. ธรรมกถิกสูตร
ว่าด้วย เหตุที่เรียกว่าเป็นธรรมกถึก
[๒๔๔] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ที่เรียกว่า ภิกษุเป็นพระธรรมกถึก ๆ ดังนี้ ภิกษุเป็นพระธรรมกถึก
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าภิกษุ
แสดงธรรมเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับจักษุ ควรเรียกได้ว่า
ภิกษุเป็นพระธรรมกถึก ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อ
ดับจักษุ ควรเรียกได้ว่า ภิกษุปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าเป็นผู้หลุดพ้น
เพราะหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นจักษุ ควร
เรียกได้ว่า ภิกษุผู้บรรลุนิพพานในปัจจุบัน ฯลฯ ภิกษุแสดงธรรมเพื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับใจ ควรเรียกได้ว่า ภิกษุเป็นพระธรรมกถึก
ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับใจ ควรเรียกได้ว่า
ภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าเป็นผู้หลุดพ้นเพราะหน่าย
เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นใจ ควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้
บรรลุนิพพานในปัจจุบัน.
จบ ธรรมกถิกสูตรที่ ๑๐
จบ นวปุราณวรรคที่ ๕

291
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 292 (เล่ม 28)

อรรถกถาธรรมกถิกสูตรที่ ๑๐
อรรถกถาธรรมกถิกสูตรที่ ๑๐ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล.
จบ นวปุราณวรรคที่ ๕
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กรรมสูตร ๒. ปฐมสัปปายสูตร ๓. ทุติยสัปปายสูตร
๔. ตติยสัปปายสูตร ๕ จตุตถสัปปายสูตร ๖. อนันเตวาสิกานาจริยสูตร
๗. ติตถิยสูตร ๘. ปริยายสูตร ๙. อินทรียสูตร ๑๐. ธรรมกถิกสูตร.
รวมวรรคในตติยปัณณาสก์นี้ คือ
๑. โยคักเขมิวรรค ๒.โลกกามคุณวรรค ๓. คหปติวรรค
๔. เทวทหวรรค ๕. นวปุราณวรรค.
จบ ตติยปัณณาสก์

292
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 293 (เล่ม 28)

๔. จตุตถปัณณาสก์
นันทิขยวรรคที่ ๑
๑. ปฐมนันทิขยสูตร๑
ว่าด้วยความสิ้นไปแห่งความเพลิดเพลิน
[๒๔๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นจักษุอันไม่เที่ยงนั้นแลว่า
ไม่เที่ยง ความเห็นของภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นความเห็นชอบ ภิกษุเมื่อเห็นชอบ
ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ
จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า
จิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯลฯ ภิกษุเห็นใจอันไม่เที่ยงนั่นแลว่า ไม่เที่ยง ความเห็น
ของภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบย่อมเบื่อหน่าย เพราะ
สิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน
เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว.
จบ ปฐมนันทิขยสูตรที่ ๑
๒. ทุติยนันทิขยสูตร
ว่าด้วยความสิ้นไปแห่งความเพลิดเพลิน
[๒๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงนั่นแลว่า
ไม่เที่ยง ความเห็นของภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นความเห็นชอบ ภิกษุเมื่อเห็น
ชอบย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้น
๑. อรรถกถาสูตรที่ ๑ - ๔ แก้รวมกันไว้ท้ายสูตรที่ ๔.

293
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 294 (เล่ม 28)

ราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึง
เรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว ภิกษุเห็นเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
อันไม่เที่ยงนั่นแลว่า ไม่เที่ยง ความเห็นของภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นความ
เห็นชอบ ภิกษุเมื่อเห็นชอบย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน
จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความ
เพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว.
จบ ทุติยนันทิขยสูตรที่ ๒
๓. ตติยนันทิขยสูตร
ว่าด้วยความสิ้นไปแห่งความเพลินเพลิน
[๒๔๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงใส่ใจถึงจักษุโดย
อุบายอันแยบคาย จงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งจักษุตามความเป็นจริง
เมื่อใส่ใจถึงจักษุโดยอุบายย้อนแยบคาย พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งจักษุ
ตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน
จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความ
เพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯลฯ เธอทั้งหลาย
จงใส่ใจถึงใจ โดยอุบายอันแยบคาย จงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งใจ
ตามความเป็นจริง เมื่อใส่ใจถึงใจ โดยอุบายอันแยบคาย พิจารณาเห็น
ความไม่เที่ยงแห่งใจตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในใจ เพราะสิ้น
ความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน
เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว.
จบ ตติยนันทิขยสูตรที่ ๓

294
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 295 (เล่ม 28)

๔. จตุตถนันทิขยสูตร
ว่าด้วยความสิ้นไปแห่งความเพลิดเพลิน
[๒๔๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงใส่ใจถึงรูปโดย
อุบายอันแยบคาย จงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูปตามความเป็นจริง
เมื่อใส่ใจถึงรูปโดยอุบายอันแยบคาย พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูป
ตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน
จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความ
เพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯลฯ เธอทั้งหลาย
จงใส่ใจถึงธรรมารมณ์โดยอุบายอันแยบคาย จึงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
แห่งธรรมารมณ์ตามความเป็นจริง เมื่อใส่ใจถึงธรรมารมณ์โดยอุบายอัน
แยบคาย พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งธรรมารมณ์ตามความเป็นจริง
ย่อมเบื่อหน่ายในธรรมารมณ์ เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ
เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและ
ราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว.
จบ จตุตถนันทิขยสูตรที่ ๔

295
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 296 (เล่ม 28)

จตุตถปัณณาสก์
นันทิขยวรรคที่ ๑
อรรถกถานันทิขยสูตรที่ ๑ - ๔
นันทิขยวรรค นันทิขยสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า นนฺทิกฺขยา ราคกฺขโย ราคกฺขยา นนฺทิกฺขโย ท่าน
กล่าวว่า นันทิ และราคะ โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน. บทว่า สุวิมุตฺตํ
ความว่า หลุดพ้นด้วยดี โดยหลุดพ้นด้วยอรหัตตผล. คำที่เหลือในสูตรนี้
และในสูตรที่ ๒ เป็นต้น ง่ายทั้งนั้น.
จบ อรรถกถานันทิขยสูตรที่ ๑ - ๔
๕. ปฐมชีวกัมพวนสูตร
ว่าด้วยสิ่งทั้งปวงปรากฏตามความเป็นจริง
[๒๔๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ชีวกัมพวัน
กรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ เพราะเมื่อภิกษุมีจิตตั้งมั่น
แล้ว สิ่งทั้งปวงย่อมปรากฏตามความเป็นจริง. ก็อะไรเล่าปรากฏตามความ
เป็นจริง. คือ จักษุย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง รูปย่อม
ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง จักษุวิญญาณย่อมปรากฏตามความ

296
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 297 (เล่ม 28)

เป็นจริงว่า ไม่เที่ยง จักษุสัมผัสย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส
เป็นปัจจัย ย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง ฯลฯ ใจย่อมปรากฏ
ตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง ธรรมารมณ์ย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า
ไม่เที่ยง มโนวิญญาณย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง มโนสัมผัส
ย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ย่อมปรากฏตาม
ความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ
เพราะเมื่อภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว สิ่งทั้งปวงย่อมปรากฏตามความเป็นจริง.
จบ ปฐมชีวกัมพวนสูตรที่ ๕
๖. ทุติยชีวกัมพวนสูตร
ว่าด้วยสิ่งทั้งปวงปรากฏตามความเป็นจริง
[๒๕๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ชีวกัมพวัน
กรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงหลีกเร้นบำเพ็ญความเพียร เพราะเมื่อ
ภิกษุหลีกเร้นอยู่ สิ่งทั้งปวงย่อมปรากฏตามความเป็นจริง ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ก็อะไรเล่าย่อมปรากฏตามความเป็นจริง. คือ จักษุย่อมปรากฏ
ตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง รูปย่อมปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง

297