No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 268 (เล่ม 28)

๕. ปฐมนตุมหากสูตร
ว่าด้วยอายตนะภายใน ๖ ไม่ใช่สิ่งของตน
[๒๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอ-
ทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าไม่ใช่ของเธอ
ทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงละจักษุนั้นเสีย จักษุนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ของเธอ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละใจนั้นเสีย ใจนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนพึง
นำหญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ที่มีอยู่ในเชตวันนี้ไป หรือพึงเผา หรือพึงทำ
ตามสมควรแก่เหตุ เธอทั้งหลายพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ชนนำพวกเราไป
หรือเผา หรือทำพวกเราตามสมควรแก่เหตุ ดังนี้บ้างหรือหนอ. ภิกษุ
เหล่านั้น กราบทูลว่า หาเป็นดังนั้นไม่ พระเจ้าข้า.
พ . ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร.
ภิ. เพราะเหตุว่า หญ้าเป็นต้นนั้นมิได้เป็นคน หรือเป็นของ.
เนื่องด้วยตนของข้าพระองค์ทั้งหลายเลย พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล จักษุไม่ใช่ของเธอ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละจักษุนั้นเสีย จักษุนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละใจนั้นเสีย ใจนั้นอันเธอทั้งหลาย
ละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข.
จบ ปฐมนตุมหากสูตร

268
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 269 (เล่ม 28)

๖. ทุติยนตุมหากสูตร
ว่าด้วยอายตนะภายนอก ๖ ไม่ใช่ของตน
[๒๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอ
ทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าไม่ใช่ของ
เธอทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย
รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
ความสุข เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงละธรรมารมณ์นั้นเสีย ธรรมารมณ์นั้นอันเธอทั้งหลายละ
ได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ชนพึงนำหญ้าไม้ กิ่งไม้และใบไม้ที่มีอยู่ในเชตวันนี้ไป หรือพึงเผา หรือ
พึงทำตามสมความแก่เหตุ เธอทั้งหลายพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ชนนำพวก
เราไป หรือเผา หรือทำตามสมควรแก่เหตุ ดังนี้ บ้างหรือหนอ. ภิกษุ
ทั้งหลาย กราบทูลว่า หาเป็นดังนั้นไม่ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร.
ภิ. เพราะเหตุว่า หญ้าเป็นต้นต้นนั้นมิได้เป็นตน หรือเป็นของ
เนื่องด้วยตนของข้าพระองค์ทั้งหลายเลย พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล รูปไม่ใช่ของเธอ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

269
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 270 (เล่ม 28)

ธรรมารมณ์ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละธรรมารมณ์นั้นเสีย
ธรรมารมณ์นั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข.
จบ ทุติยนตุมหากสูตรที่ ๖
๗. ปฐมเหตุอัชฌัตตสูตร
ว่าด้วยอายตนะภายในเป็นของไม่เที่ยง
[๒๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของไม่เที่ยง แม้เหตุและ
ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักษุนั้นก็ไม่เที่ยง จักษุอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่
ไม่เที่ยง ที่ไหนจักเที่ยงเล่า ฯลฯ ใจเป็นของไม่เที่ยง แม้เหตุและปัจจัย
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งใจนั้นก็ไม่เที่ยง ใจอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่ไม่เที่ยง ที่
ไหนจักเที่ยงเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ แม้ในหู แม้ในจมูก แม้ในลิ้น แม้ในกาย
แม้ในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึง
หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ปฐมเหตุอัชฌัตตสูตรที่ ๗

270
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 271 (เล่ม 28)

๘. ทุติยเหตุอัชฌัตตสูตร
ว่าด้วยอายตนะภายในเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
[๒๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นทุกข์ แม้เหตุและปัจจัย
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักษุนั้นก็เป็นทุกข์ จักษุอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เป็น
ทุกข์ ที่ไหนจักเป็นสุขเล่า ฯลฯ ใจเป็นทุกข์ แม้เหตุและปัจจัยเพื่อ
ความเกิดขึ้นแห่งใจก็เป็นทุกข์ ใจอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เป็นทุกข์ ที่ไหน
จักเป็นสุขเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ แม้ในหู แม้ในจมูก แม้ในลิ้น แม้ในกาย
แม้ในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึง
หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
[๒๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นอนัตตา แม้เหตุและปัจจัย
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักษุก็เป็นอนัตตา จักษุอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เป็น
อนัตตา ที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า ฯลฯ ใจเป็นอนัตตา แม้เหตุและปัจจัย
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งใจก็เป็นอนัตตา ใจอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เป็นอนัตตา
ที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็น
อยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ แม้ในหู แม้ในจมูก แม้ในลิ้น แม้
ในกาย แม้ในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ทุติยอัชฌัตตสูตรที่ ๘

271
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 272 (เล่ม 28)

๙. ปฐมเหตุพาหิรสูตร
ว่าด้วยอายตนะภายนอกเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์
[๒๒๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นของไม่เที่ยง แม้เหตุและ
ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งรูปก็ไม่เที่ยง รูปอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่ไม่เที่ยง
ที่ไหนจักเที่ยงเล่า เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นของไม่เที่ยง
แม้เหตุและปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธรรมารมณ์ก็ไม่เที่ยง ธรรมารมณ์
อันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่ไม่เที่ยง ที่ไหนจักเที่ยงเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ใน
เสียง แม้ในกลิ่น แม้ในรส แม้ในโผฏฐัพพะ แม้ในธรรมารมณ์ เมื่อ
เบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อ
หลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
อย่างนี้มิได้มี.
[๒๒๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ แม้เหตุและปัจจัยเพื่อ
ความเกิดขึ้นแห่งรูปก็เป็นทุกข์ รูปอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เป็นทุกข์ ที่ไหน
จักเป็นสุขเล่า เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นทุกข์ แม้เหตุ
และปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธรรมารมณ์ก็เป็นทุกข์ ธรรมารมณ์อันเกิด
แต่เหตุปัจจัยที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจักเป็นสุขเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริย-
สาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเสียง
เเม้ในกลิ่น แม้ในรส แม้ในโผฏฐัพพะ แม้ในธรรมารมณ์ เมื่อเบื่อหน่าย

272
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 273 (เล่ม 28)

ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบ
แล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ปฐมเหตุพาหิรสูตรที่ ๙
๑๐. ทุติยเหตุพาหิรสูตร
ว่าด้วยอายตนะภายนอกเป็นอนัตตา
[๒๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา แม้เหตุและปัจจัย
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งรูปก็เป็นอนัตตา รูปอันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เป็นอนัตตา
ที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็น
อนัตตา แม้เหตุและปัจจัย เพื่อความเกิดขึ้นแห่งธรรมารมณ์ก็เป็นอนัตตา
ธรรมารมณ์อันเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เป็นอนัตตาที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้
ในรูป แม้ในเสียง แม้ในกลิ่น แม้ในรส แม้ในโผฏฐัพพะ แม้ใน
ธรรมารมณ์ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึง
หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นและ รู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ สำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ทุติยเหตุพาหิรสูตรที่ ๑๐
จบ เทวทหวรรคที่ ๔

273
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 274 (เล่ม 28)

อรรถกถาทุติยรูปารามสูตรที่ ๔ เป็นต้น
สูตรที่ ๔ เมื่อทรงแสดงล้วน ๆ ก็ตรัสด้วยอัธยาศัยของบุคคลผู้จะ
ตรัสรู้. สูตรที่ ๕ เป็นต้น ก็ตรัสด้วยอัธยาศัยของบุคคลผู้จะตรัสรู้โดย
ประการนั้น ๆ. ส่วนเนื้อความแห่งสูตรเหล่านั้น ปรากฏชัดแล้วแล.
จบ เทวทหวรรคที่ ๔
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. เทวทหสูตร ๒. ขณสูตร ๓. ปฐมรูปารามสูตร ๔. ทุติย-
รูปารามสูตร ๕. ปฐมนตุมหากสูตร ๖. ทุติยนะตุมหากสูตร ๗. ปฐม-
เหตุอัชฌัตตสูตร ๘. ทุติยเหตุอัชฌัตตสูตร ๙. ปฐมเหตุพาหิรสูตร
๑๐. ทุติยเหตุพาหิรสูตร.

274
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 275 (เล่ม 28)

นวปุราณวรรคที่ ๕
๑. กรรมสูตร
ว่าด้วยกรรมเก่าและกรรมใหม่
[๒๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงกรรมทั้งใหม่และเก่า
ความดับแห่งกรรม และปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งกรรม ท่านทั้งหลาย
จงพึง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมเก่าเป็นไฉน.
จักษุอันบัณฑิตพึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า อันปัจจัยทั้งหลายปรุงแต่งแล้ว
สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอันบัณฑิต
พึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่
ตั้งแห่งเวทนา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า กรรมเก่า.
[๒๒๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมใหม่เป็นไฉน. กรรมที่
บุคคลทำด้วย กาย วาจา ใจ ในบัดนี้ นี้เราเรียกว่า กรรมใหม่.
[๒๒๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน.
นิโรธที่ถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
นี้เราเรียกว่า ความดับแห่งกรรม.
[๒๓๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งกรรม
เป็นไฉน. อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑
สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑
สัมมาสมาธิ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทาอันให้ถึงความ
ดับแห่งกรรม.

275
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 276 (เล่ม 28)

[๒๓๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่า กรรมใหม่ ความดับแห่ง
กรรมและปฏิปทาอันให้ถึงความดับกรรม เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
ด้วยประการดังนี้แล กิจใดแล อันเราผู้ศาสดา ผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
ผู้อนุเคราะห์แก่สาวกทั้งหลาย พึงทำ กิจนั้นเราทำแล้วเพราะอาศัยความ
อนุเคราะห์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่างเปล่า เธอทั้ง
หลายจงพยายาม อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนใจในภาย
หลัง นี้เป็นอนุศาสนีของเราสำหรับเธอทั้งหลาย.
จบ กรรมสูตรที่ ๑
นวปุราณวรรคที่ ๕
อรรถกถากรรมสูตรที่ ๑
นวปุราณวรรค กรรมสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ .
บทว่า นวปุราณานิ แปลว่า ใหม่ และ เก่า. บทว่า จกฺขุํ
ภิกฺขเว ปุราณกมฺมํ ความว่า จักษุ ไม่เป็นของเก่า. กรรมต่างหาก
เป็นของเก่า. แต่ท่านกล่าวอย่างนั้น ตามชื่อแห่งปัจจัยเพราะเกิดแต่กรรม.
บทว่า อภิสงฺขตํ ความว่า อันปัจจัยประชุมปรุงแต่งขึ้น. บทว่า
อภิสญฺเจตยิตํ ได้แก่สำเร็จด้วยเจตนา. บทว่า เวทนิยํ ทฏฺฐพฺพํ
ความว่า พึงเห็นว่า เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา. บทว่า นิโรธา วิมุตฺตึ ผุสติ
ความว่า นิโรธย่อมถูกต้องวิมุตติ เพราะกรรม ๓ อย่างนี้ ดับไป. บทว่า
อยํ วุจฺจติ ความว่า นิโรธความดับ อันเป็นอารมณ์แห่งวิมุตตินั้น ท่าน
เรียกว่า กรรมนิโรธดับกรรม. ดังนั้น จึงตรัสวิปัสสนาอันเป็นบุพภาค
ส่วนเบื้องต้น ไว้ในพระสูตรนี้.
จบ อรรถกถากรรมสูตรที่ ๑

276
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 277 (เล่ม 28)

๒. ปฐมสัปปายสูตร๑
ว่าด้วยปฏิปทาเป็นสัปปายะแก่นิพพาน
[๒๓๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงปฏิปทาอันเป็นสัปปายะ
แก่นิพพาน แก่เธอท่งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปฏิปทาอันเป็นสัปปายะแก่นิพพานนั้นเป็นไฉน. ภิกษุในศาสนานี้ ย่อม
เห็นว่า จักษุไม่เที่ยง รูปทั้งหลายไม่เที่ยง จักษุวิญญาณไม่เที่ยง จักษุสัมผัส
ไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกข์เวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น
เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง ฯลฯ ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเห็นว่า
ใจไม่เที่ยง ธรรมารมณ์ไม่เที่ยง มโนวิญญาณไม่เที่ยง มโนสัมผัสไม่เที่ยง
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโน
สัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย น เป็นปฏิปทาอันเป็น
สัปปายะแก่นิพพาน.
จบ ปฐมสัปปายสูตร ๒
๓. ทุติยสัปปายสูตร
ว่าด้วยปฏิปทาเป็นสัปปายะแก่นิพพาน
[๒๓๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิปทาอันเป็นสัปปายะ
แก่นิพพานแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ปฏิปทาอันเป็นสัปปายะแก่นิพพานนั้นเป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ เห็นว่า
๑. อรรถกถาสูตรที่ ๒ - ๕ แก้รวมกันไว้ท้ายสูตรที ๕

277