No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 258 (เล่ม 28)

เทวทหวรรคที่ ๔
๑. เทวทหสูตร
ว่าด้วยความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖
[๒๑๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมชื่อว่า
เทวทหะ ของศากยราชทั้งหลาย สักกชนบท ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวว่า ภิกษุทุกรูป
ควรทำกิจด้วยความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่
เราไม่กล่าวว่า ภิกษุทุกรูปไม่ควรทำกิจด้วยความไม่ประมาทในผัสสาย-
ตนะ ๖ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดเป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบ
พรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว มีประโยชน์ตน
อันบรรลุโดยลำดับแล้ว มีสังโยชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
เพราะรู้โดยชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่ควรทำ
กิจด้วยความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร. เพราะ
เหตุว่า กิจอันจะพึงทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุอรหันต์เหล่านั้นทำเสร็จ
แล้ว ไม่ควรประมาทด้วยกิจนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนว่าภิกษุเหล่าใด
เป็นเสขะยังไม่บรรลุอรหัตตผล ปรารถนาธรรมอันเกษมจากโยคะ ไม่มี
ธรรมอื่นยิ่งกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ภิกษุเหล่านั้นควรทำ
กิจด้วยความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร. เพราะ
เหตุว่า รูปทั้งหลายอันจะพึ่งรู้แจ้งด้วยจักษุ อันเป็นที่รื่นรมย์ใจก็มี อัน
ไม่เป็นที่รื่นรมย์ใจก็มี รูปเหล่านั้นถูกกระทบกระทั่งแล้ว. ย่อมไม่ยึดจิตของ

258
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 259 (เล่ม 28)

บุคคลนั้นตั้งอยู่ เพราะการไม่ยึดจิต ความเพียรไม่ย่อหย่อน เป็นอันบุคคล
นั้นปรารภแล้ว สติไม่หลงลืม เป็นอันบุคคลนั้นเข้าไปตั้งไว้แล้ว กายไม่
กระสับกระส่ายสงบจิตมีอารมณ์อันเดียวตั้งมั่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
เห็นผลแห่งความไม่ประมาทนี้แล จึงกล่าวว่า ภิกษุเหล่านั้นควรทำกิจด้วย
ความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖ ฯลฯ ธรรมารมณ์อันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อันเป็นที่รื่นรมย์ใจก็มี อันไม่เป็นที่รื่นรมย์ใจก็มี ธรรมารมณ์เหล่านั้น
กระทบกระทั่งแล้ว ๆ ย่อมไม่ยึดจิตของบุคคลนั้นตั้งอยู่ เพราะการไม่ยึดจิต
ความเพียรไม่ย่อหย่อน เป็นอันบุคคลนั้นปรารภแล้ว สติไม่หลงลืม
เป็นอันบุคคลนั้นเข้าไปตั้งไว้แล้ว กายไม่กระสับกระส่าย ก็สงบจิตมีอารมณ์
อันเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทนี้แล จึง
กล่าวว่า ภิกษุเหล่านั้นควรทำกิจด้วยความไม่ประมาทในผัสสายตนะ ๖.
จบ เทวทหสูตรที่ ๑
เทวทหวรรคที่ ๔
อรรถกถาเทวทหสูตรที่ ๑
เทวทหวรรค เทวทหสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
นิคม ได้ชื่อ โดยนปุํสกลิงค์ว่า เทวทหํ. บทว่า มโนรมา แปลว่า
เป็นที่ยังใจให้ยินดี. อธิบายว่า เป็นที่เอิบอาบใจ. บทว่า อมโนรมา
แปลว่า ไม่เป็นที่เอิบอาบใจ.
จบ อรรถกถาเทวทหสูตรที่ ๑

259
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 260 (เล่ม 28)

๒. ขณสูตร
ว่าด้วยนรกชื่อว่าผัสสายตนิกะ ๖
[๒๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอ
ทั้งหลายได้ดีแล้ว เธอทั้งหลายได้ขณะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่าผัสสายตนิกะ ๖ เราเห็นแล้ว ในผัสสายตนิกนรก
นั้น สัตว์จะเห็นรูปอะไร ๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา
ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปไม่น่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูป
อันน่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าพอใจ จะฟัง
เสียอะไร ๆ ด้วยหู . . . จะดมกลิ่นอะไร ๆ ด้วยจมูก . . . จะลิ้มรสอะไร ๆ
ด้วยลิ้น . . . จะถูกต้องโผฏฐัพพะอะไร ๆ ด้วยกาย . . . จะรู้แจ้งธรรมารมณ์
อะไร ๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้ง
ธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าใคร่ ย่อม
ไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าพอใจ
ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าพอใจ.
ว่าด้วยสวรรค์ชื่อว่าผัสสายตนิกะ ๖
[๒๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอ
ทั้งหลายได้ดีแล้ว เธอทั้งหลายได้ขณะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ ชั้น เราได้เห็นแล้ว ใน
ผัสสายตนิกสวรรค์นั้น บุคคลจะเห็นรูปอะไร ๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูป
อันน่าปรารถนา ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปอันน่า

260
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 261 (เล่ม 28)

ใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าพอใจ ย่อมไม่เห็น
รูปอันไม่น่าพอใจ ฯลฯ จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไร ๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่
ธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา
ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่
ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่า
พอใจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลาย
ได้ดีแล้ว เธอทั้งหลายได้ขณะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว.
จบ ขณสูตรที่ ๒
อรรถกถาขณสูตรที่ ๒
ในขณสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ฉ ผสฺสายตนิกา นาม ความว่า นรก ขื่อว่า ผัสสายตนะ ๖
ไม่มี นรกทั้งหลายที่ชื่อฉผัสสายตนิกาแต่ละชื่อไม่มี. จริงอยู่ บัญญัติว่า
ผัสสายตนะทางทวาร ๖ ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง
แต่คำนี้ ท่านกล่าว หมายเอาอเวจีมหานรก. แม้ในบทว่า สคฺคา (สวรรค์)
นี้ ท่านประสงค์เอาเฉพาะ บุรีดาวดึงส์เท่านั้น. แต่ชื่อว่าบัญญัติแห่ง
อายตนะหก แม้แต่ละอย่าง ในกามาวจรเทวโลกไม่มีก็หาไม่. ถามว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ฉผัสสายตนิกานี้ไว้ทำไม. ตอบว่า ใคร ๆ
ไม่อาจจะอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในนรกได้ เพราะได้รับแต่ทุกข์โดย
ส่วนเดียว และไม่อาจอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในเทวโลกได้ เพราะ
เกิดความประมาทด้วยสามารถความยินดีในการเล่นโดยส่วนเดียว เพราะ

261
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 262 (เล่ม 28)

ได้รับความสุขโดยส่วนเดียว ส่วนมนุษยโลก มีความสุขและความทุกข์
ระคนกัน ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น ย่อมมีทั้งอบายและสวรรค์ปรากฏ.
นี้ ชื่อว่า เป็นกรรมภูมิ ของมรรคพรหมจรรย์. กรรมภูมินั้น พวกท่าน
ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ขันธ์ซึ่งเป็นของมนุษย์ ที่พวกเธอได้กันแล้ว จัดเป็น
ลาภของพวกท่าน และภาวะเป็นมนุษย์ที่พวกเธอได้แล้วนี้ ก็เป็นขณะ
เป็นสมัยของการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ที่พวกเธอได้. สมจริงดังคำที่
พระโปราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า.
การเจริญมรรคในที่นี้ นี้ก็เป็นกรรมภูมิ ธรรม
เป็นที่ตั้งแห่งความสังเวชเป็นอันมาก ในที่นี้ก็เป็น
ฐานะอยู่ ท่านเกิดความสังเวชแล้ว ก็จงประกอบ
ความเพียรโดยแยบคายในวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่ง
ความสลดสังเวชเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํเวคา แปลว่า ความสังเวช.
จบ อรรถกถาขณสูตรที่ ๒
๓. ปฐมรูปารามสูตร
ว่าด้วยผู้ยินดีในอายตนะ ๖ อยู่เป็นทุกข์
[๒๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์เป็นผู้มีรูปเป็นที่
มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูป เพราะรูป
แปรปรวน คลายไปและดับไป เทวดาและมนุษย์ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เทวดา

262
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 263 (เล่ม 28)

และมนุษย์เป็นผู้มีเสียงเป็นที่มายินดี. . . . เป็นผู้มีกลิ่นเป็นที่มายินดี. . . .
เป็นผู้มีรสเป็นที่มายินดี. . . . เป็นผู้มีโผฏฐัพพะเป็นที่มายินดี. . . เป็นผู้มี
ธรรมารมณ์เป็นที่มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์ เป็นผู้เพลิด-
เพลินแล้วในธรรมารมณ์ เพราะธรรมารมณ์แปรปรวนคลายไปและดับไป
เทวดาและมนุษย์ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนตถาคตผู้เป็น
อรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป คุณ
โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูปทั้งหลาย ตามความเป็นจริง
ไม่เป็นผู้มีรูปเป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป ไม่เป็นผู้เพลิดเพลิน
แล้วในรูป เพราะรูปแปรปรวน คลายไปและดับไป ตถาคตย่อมอยู่เป็น
สุข ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้ง
แล้วซึ่งความเกิดขึ้นความดับไป คุณ โทษและอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่ง
เสียง . . . . กลิ่น. . . รส . . . . โผฏฐัพพะ . . . .ธรรมารมณ์ ตามความเป็นจริง
ย่อมไม่เป็นผู้มีธรรมารมณ์เป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์
ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในธรรมารมณ์ เพราะธรรมารมณ์แปรปรวนไป
คลายไปและดับไป ตถาคตก็ย่อมอยู่เป็นสุข.
ครั้นพระ ผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบ
ลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
[๒๑๗] รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ
ธรรมารมณ์ทั้งสิ้น อันน่าปรารถนา น่าใคร่และ
น่าพอใจ ที่กล่าวกันว่ามีอยู่ประมาณเท่าใด รูปารมณ์
เป็นต้นเหล่านั้นนั่นแล เป็นสิ่งอันชาวโลกพร้อม
ทั้งเทวโลก สมมติว่าเป็นสุข ถ้าว่ารูปารมณ์เป็นต้น

263
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 264 (เล่ม 28)

เหล่านั้นดับไปในที่ใด ที่นั้น เทวดา และมนุษย์
เหล่านั้น สมมติว่าเป็นทุกข์ ส่วนว่าพระอริยเจ้า
ทั้งหลายเห็นการดับสักกายะ (รูปารมณ์เป็นต้น
ที่บุคคลถือว่าเป็นของตน) ว่าเป็นสุข การเห็น
ของพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้เห็นอยู่นี้ ย่อมเป็นข้า-
ศึกกับชาวโลกทั้งปวง บุคคลเหล่าอื่นกล่าวสิ่งใด
ว่าเป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวสิ่งนั้นว่า
เป็นทุกข์ บุคคลเหล่าอื่นกล่าวสิ่งใดว่าเป็นทุกข์
พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้แจ้งสิ่งนั้นว่าเป็นสุข เธอจง
เห็นธรรมที่รู้ได้ยาก คนพาลผู้หลง ไม่รู้แจ้งใน
นิพพานนี้ ความมืดย่อมมีแก่บุคคลผู้ถูกนิวรณ์
หุ้มห่อ เหมือนความมืดมนย่อมมีแก่บุคคลผู้ไม่
เห็น นิพพานย่อมมีแก่สัตบุรุษ เหมือนแสงสว่าง
ย่อมมีแก่บุคคลผู้เห็น ชนทั้งหลายผู้แสวงหา ไม่
ฉลาดในธรรม ถึงอยู่ใกล้ก็ไม่รู้แจ้งธรรมนี้อัน
บุคคลผู้ถูกความกำหนัดในภพครอบงำ ผู้แล่นไป
ตามกระแสตัณหาในภพ ผู้อันบ่วงแห่งมารรัดรึงไว้
แล้ว ไม่ตรัสรู้ได้ง่ายเลย ใครหนอ เว้นจากพระ-
อริยเจ้าทั้งหลายแล้ว ย่อมควรจะตรัสรู้นิพพานบท
ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้โดยชอบ เป็นผู้ไม่มี
อาสวะปรินิพพาน.
จบ ปฐมรูปารามสูตรที่ ๓

264
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 265 (เล่ม 28)

อรรถกถาปฐมรูปารามสูตรที่ ๓
ในปฐมรูปารามสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า รูปสมุทิตา แปลว่า บันเทิงในรูป. บทว่า ทุกฺขา แปลว่า
ถึงทุกข์. บทว่า สุโข แปลว่า ถึงสุข ด้วยสุข ในพระนิพพาน.
บทว่า เกวลา แปลว่า ทั้งสิ้น. บทว่า ยาวตตฺถีติ วุจฺจติ ความว่า
กล่าวว่า มีอยู่ประมาณเท่าใด.โว อักษร ในคำว่า เอเต โว นี้ เป็น
เพียงนิบาต. บทว่า ปจฺจนิกมิทํ โหติ สพฺพโลเกน ปสฺสตํ ความว่า
ความเห็นของบัณฑิตผู้เห็น ย่อมขัดแย้งผิดกับชาวโลกทั้งมวล. จริงอยู่
ชาวโลก สำคัญขันธ์ ๕ ว่า เที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา เป็นของงาม
บัณฑิต สำคัญว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่งาม. บทว่า
สุขโต อาหุ ได้แก่ กล่าวว่า เป็นสุข. บทว่า สุขโต วิทู ความว่า
บัณฑิตทั้งหลาย รู้ว่าเป็นสุข. คำทั้งหมดนี้ ท่านกล่าวหมายเอาพระนิพพาน
ทั้งนั้น.
ในบทว่า สมฺมูฬฺเหตฺถ นี้ ได้แก่ ผู้หลงพระนิพพาน. บทว่า
อวิทฺทสุ ได้แก่ คนเขลาทั้งหลาย. จริงอยู่ เจ้าลัทธิ ๕* ลัทธิทั้งหมด
ความสำคัญว่า "พวกเราจักบรรลุพระนิพุพาน" แต่พวกเขา ย่อมไม่รู้
แม้ว่า "ชื่อว่านิพพานคือสิ่งนี้". บทว่า นิวุตานํ ได้แก่ ถูกเครื่องกางกั้น
คือกิเลส หุ้มห่อ ร้อยรัดไว้. บทว่า อนฺธกาโร อปสฺสตํ ได้แก่ ความ
มืดมนย่อมมีแก่ผู้ไม่เห็น. ถามว่า ข้อนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น. แก้ว่า
๑.พม่า เป็น ๙๖

265
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 266 (เล่ม 28)

คนเขลาย่อมไม่ประสบพระนิพพานหรือการเห็นพระนิพพาน. จริงพระ-
นิพพานก็ดี การเห็นพระนิพพานก็ดี ของคนพาลผู้ไม่เห็นอยู่ ย่อมเป็น
เหมือนมณฑลพระจันทร์ที่ถูกเมฆดำปิดไว้, เหมือนภาชนะที่กะทะบังไว้
และเหมือนสิ่งของที่เปิดเผยอยู่แล้วเป็นนิจ. สองบาทคาถาว่า สตญฺจ วิวฏํ
โหติ อาโลโก ปสฺสตามิว ความว่า วิวฏะ คือนิพพาน ย่อมมีแก่ผู้สงบ
คือสัตบุรุษผู้เห็นอยู่ ด้วยปัญญาทัสสนะ เหมือนแสงสว่างมีอยู่แก่บุคคล
เห็นอยู่. บทว่า สนฺติเก น วิชานนฺติ มคฺคา ธมฺมสฺส อโกวิทา
ความว่า พระนิพพานใดชื่อว่าอยู่ใกล้ เพราะผู้แสวงหากำหนดส่วนในผม
หรือขนเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ในร่างกายของตน เป็นอารมณ์พึงบรรลุ
ได้โดยลำดับ หรือเพราะแสวงหาความดับขันธ์ทั้งหลายของตน พระ-
นิพพานนั้นนั่นและแม้อยู่ใกล้ ๆ เหล่าชนผู้แสวงหา ผู้ไม่ฉลาดในธรรม
ก็ไม่รู้ซึ่งที่ใช่ทางและมิใช่ทาง หรือสัจจธรรมสี่. บทว่า มารเธยฺยานุ-
ปนฺเนภิ ได้แก่ ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันเป็นสถานที่อยู่ของมาร
บทว่า โก นุ อญฺญตฺรมริเยภิ ความว่า เว้นพระอริยะทั้งหลายเสีย
คนอื่นใครเล่า ควรเพื่อจะรู้บท คือ พระนิพพาน. บทว่า สมฺมทญฺญาย
ปรนิพฺพนฺติ ความว่า รู้โดยชอบด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยอรหัต ใน
ลำดับนั่นแล เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมดับสนิท ด้วยกิเลสปรินิพพาน การ
ดับกิเลส อีกนัยหนึ่งเป็นผู้ไม่มีอาสวะ เพราะรู้ชอบย่อมปรินิพพาน ด้วย
ขันธปรินิพพาน ดับขันธ์ในที่สุด.
จบ อรรถกถาปฐมรูปารามสูตรที่ ๓

266
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 267 (เล่ม 28)

๔. ทุติยรูปารามสูตร๑
ว่าด้วยผู้ยินดีในอายตนะ ๖ อยู่เป็นทุกข์
[๒๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์เป็นผู้มีรูปเป็นที่
มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูป เพราะรูป
แปรปรวน คลายไปและดับไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมอยู่เป็นทุกข์
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้มีเสียงเป็นที่มายินดี. . . เป็นผู้มีกลิ่นเป็น
ที่มายินดี. .. เป็นผู้มีรสเป็นที่มายินดี.. . เป็นผู้มีโผฏฐัพพะเป็นที่มายินดี.. .
เป็นผู้มีธรรมารมณ์เป็นที่มายินดี เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์ เป็นผู้
เพลิดเพลินแล้วในธรรมารมณ์ เพราะธรรมารมณ์แปรปรวน คลายไป
และดับไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมอยู่เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ส่วนตถาคตผู้อรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความ
ดับไป คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูปทั้งหลาย ไม่เป็น
ผู้มีรูปเป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในรูป ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้วในรูป
เพราะรูปแปรปรวน คลายไปและดับไป ตถาคตย่อมอยู่เป็นสุข ตถาคตผู้
อรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ รู้แจ้งแล้วซึ่งความเกิดขึ้น ความดับไป คุณ โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเสียง. . . แห่งกลิ่น. . . แห่งรส . . . แห่ง
โผฏฐัพพะ. . . แห่งธรรมารมณ์ ตามความเป็นจริง ไม่เป็นผู้มีธรรมารมณ์
เป็นที่มายินดี ไม่เป็นผู้ยินดีแล้วในธรรมารมณ์ ไม่เป็นผู้เพลิดเพลินแล้ว
ในธรรมารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมารมณ์แปรปรวนไป
คลายไปและดับไป ตถาคตก็ย่อมอยู่เป็นสุข.
จบ ทุติยรูปารามสูตรที่ ๔
๑. อรรถกถาสูตรที่ ๔ -๑๐ แก้ไว้ท้ายวรรคนี้.

267