No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 248 (เล่ม 28)

[๒๐๘] ข้าแต่ท่านกัจจายนะ ข้อที่ท่านกัจจายนะผู้เจริญกล่าวว่า
ผู้มีทวารอันไม่คุ้มครองแล้วนี้ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ท่านกัจจายนะได้
กล่าวว่า ผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ดังนี้ ด้วยเหตุเท่าไรหนอ บุคคลจึง
ชื่อว่าเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว.
ดูก่อนพราหมณ์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อม
ไม่ยินดีในรูปที่น่ารัก ไม่ยินร้ายในรูปที่ไม่น่ารัก มีสติอันเข้าไปตั้งไว้แล้ว
มีจิตมีอารมณ์หาประมาณมิได้อยู่ และรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ตาม
ความเป็นจริง ที่บาปอกุศลธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุนั้น ดับไป
โดยหาส่วนเหลือมิได้ ฟังเสียงด้วยหูแล้ว...สูดกลิ่นด้วยจมูกแล้ว...ลิ้มรส
ด้วยลิ้นแล้ว . . . ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว . . . รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ
แล้ว ย่อมไม่ยินดีในธรรมารมณ์ที่น่ารัก ย่อมไม่ยินร้ายในธรรมารมณ์
ที่ไม่น่ารัก มีสติอันเข้าไปตั้งไว้แล้ว มีจิตมีอารมณ์หาประมาณมิได้อยู่ และ
รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติตามความเป็นจริงที่บาปอกุศลธรรมทั้งหลาย
บังเกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุนั้น ดับไปโดยหาส่วนเหลือมิได้ ดูก่อนพราหมณ์
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ด้วยประการอย่างนี้แล.
[๒๐๙] ข้าแต่ท่านกัจจายนะ ข้อที่ท่านกัจจายนะผู้เจริญกล่าวว่า
เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วนี้ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ข้าแต่ท่านกัจจายนะ
ภาษิตของท่านไพเราะนัก ข้าแต่ท่านกัจจายนะ ภาษิตของท่านไพเราะนัก
ข้าแต่ท่านกัจจายนะ ท่านกัจจายนะประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบ
เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่อง
ประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าแต่ท่าน

248
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 249 (เล่ม 28)

กัจจายนะ ข้าพเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น กับทั้งพระ-
ธรรมและภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านกัจจายนะโปรดจำข้าพเจ้าว่า เป็น
อุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อนึ่ง
ขอท่านกัจจายนะโปรดเข้าไปสู่สกุลของโลหิจจพราหมณ์ เหมือนอย่างที่
ท่านกัจจายนะเข้าไปสู่สกุลอุบาสกทั้งหลายในมักกรกฏนครเถิด มาณพ
ทั้งหลายหรือมาณวิกาทั้งหลายเหล่าใดในสกุลของโลหิจจพราหมณ์นั้น จัก
กราบไหว้ จักลุกขึ้นต้อนรับท่านกัจจายนะ หรือจักนำอาสนะ จักถวายน้ำ
แก่ท่านกัจจายนะ สามีจิกรรม มีการกราบไหว้เป็นต้นนั้นจักมีประโยชน์
เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน แก่มาณพหรือมาณวิกาเหล่านั้น.
จบ โลหิจจสูตรที่ ๙
อรรถกถาโลหิจจสูตรที่ ๙
ในโลหิจจสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยด้งต่อไปนี้.
บทว่า มกฺกรกเฏ ได้แก่ ในนคร มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า
อรญฺญกุฏิกายํ ได้แก่ ในกุฎีโดดเดี่ยว ที่เขาสร้างไว้ในป่า ไม่ใช่กระท่อม
ที่อยู่ท้ายวิหาร. บทว่า อนฺเตวาสิกมาณวกา ความว่า แม้ชนเหล่าใด
เป็นคนแก่ในที่นั้น ชนเหล่านั้น ท่านเรียกว่า มาณพ เหมือนกัน เพราะ
เป็นอันเตวาสิก. บทว่า เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า มาณพเหล่านั้น
เรียนศิลปะแต่เช้า ครั้นเย็นคิดว่า เราจักนำฟืนมาให้อาจารย์ ดังนี้ เข้าป่า
แล้วเข้าไปทางกุฎีนั้น. บทว่า ปริโต ปริโต กุฏิกาย ความว่า โดยรอบ ๆ
กุฎีนั้น. บทว่า เสโลกสฺสกานิ ความว่า จับหลังกันและกันโดดเล่น
ให้กายร้อนเหงื่อไหลข้างโน้นข้างนี้.

249
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 250 (เล่ม 28)

ในบทว่า มุณฺฑกา เป็นต้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. จะเรียกคน
หัวโล้นว่า มุณฑะ และเรียกสมณะว่า สมณะ ก็ควร. ก็มาณพเหล่านี้
เมื่อจะเล่น กล่าวว่า คนหัวโล้นว่าสมณะ.
บทว่า อิพฺภา ได้แก่ คฤหบดี. บทว่า กณฺหา แปลว่า ดำ.
ท่านหมายถึงพรหมว่า พันธ ในคำว่า พนฺธุปฺปาทปจฺจา. จริงอยู่ พราหมณ์
ทั้งหลาย เรียกพรหมนั้น ว่า ปิตามหะ ปู่ทวด. เหล่ากอแห่งเท้า
ทั้งหลาย ชื่อว่า ปาทปจฺจา อธิบายว่า เกิดแต่หลังเท้าแห่งพรหม. ได้ยินว่า
มาณพเหล่านั้นมีลัทธิดังนี้ว่า พวกพราหมณ์ออกจากปากแห่งพรหม พวก
กษัตริย์ออกจากอก พวกแพศย์ออกจากสะดือ พวกศูทรออกจากเข่า
พวกสมณะออกจากหลังเท้า. บทว่า ภรตกานํ ได้แก่ กุฏุมพีทั้งหลาย.
จริงอยู่เพราะเหตุที่กุฏุมพีทั้งหลายเลี้ยงแว้นแคว้น. ฉะนั้นท่านเรียกว่า
ภรตะ ก็มาณพเหล่านี้ เมื่อกล่าวดูแคลน จึงกล่าวว่า ภรตกานํ.
บทว่า วิหารา นิกฺขมิตฺวา ความว่า พระเถระคิดว่า พวกมาณพ
เหล่านี้ มัดไม้เป็นกำ แล้วเหวี่ยงไว้ที่บริเวณอันน่ารื่นรมย์ อันมีทราย
ที่เกลี่ยไว้สม่ำเสมอส่องแสงระยิบระยับคล้ายแผ่นเงิน คุ้ยทรายเอามือจับ
มือกันแล่นไปรอบ ๆ บรรณกุฏีโห่ร้องแล้วร้องเล่นว่า สมณะโล้นเหล่านี้
พวกกุฏุมพีสักการะแล้ว ๆ จึงกระทำเล่น ๆ กันเกินไป ทั้งไม่รู้ว่ามีภิกษุ
ทั้งหลายอยู่ในที่อยู่ จำเราจักแสดงภิกษุเหล่านั้นอยู่ ดังนี้แล้ว จึงออกจาก
บรรณกุฎี.

250
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 251 (เล่ม 28)

บทว่า สีลุตฺตมา ปุพฺพตรา อเหสุํ ความว่า พระเถระคิดว่า
เมื่อกล่าวถึงคุณของผู้มีคุณ ความไม่มีคุณของผู้ไม่มีคุณก็จักปรากฏชัด
เมื่อสรรเสริญคุณของพราหมณ์เก่า ๆ จึงได้กล่าวอย่างนั้น. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า สีลุตฺตมา แปลว่า ผู้มีศีลประเสริฐสุด. จริงอยู่ศีลของ
พราหมณ์เหล่านั้นสูงสุด ไม่ใช่ชาติและโคตร. บทว่า เย ปุราณํ สรนฺติ
ความว่า ชนเหล่าใดระลึกถึงธรรมของพราหมณ์เก่า ๆ บทว่า อภิภุยฺย โกธํ
ความว่า บุคคลเหล่านั้นเป็นอันชื่อว่า ครอบงำความโกรธ ก็ชื่อว่ายัง
ไม่รักษา ยังไม่คุ้มครองทวาร. บทว่า ธมฺเม จ ฌาเน จ รตา ความว่า
ประพฤติในธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ในฌานคือสมาบัติ ๘.
พระเถระครั้นแสดงคุณของพราหมณ์เก่า ๆ ทั้งหลายอย่างนี้แล้ว
ครั้นบัดนี้ เมื่อจะย่ำยีความเมาของพราหมณ์ในยุคปัจจุบัน จึงกล่าวคำ .
อาทิว่า อิเมว โวกฺกมฺม ชหามฺหเส ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
โวกฺกมฺม ความว่า หลีกออกไปจากคุณเหล่านั้น. บทว่า ชหามฺหเส
ความว่า พวกพราหมณ์ สำคัญว่า พวกเราเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
เป็นคนหลงโคตรอย่างนี้ว่า พวกเราเป็นพราหมณ์แล้วประพฤติไม่เรียบร้อย
อธิบายว่า ทำกายกรรมเป็นต้นไม่เรียบร้อย. บทว่า ปุถุตฺตทณฺฑา
ความว่า โทษตนเป็นอันมากอันคนเหล่านั้นถือเอาแล้วเหตุนั้นคนเหล่านั้น
ชื่อว่า ปุถุตฺตทณฺฑา. อธิบายว่า ผู้มีโทษมีอย่างต่าง ๆ อันถือมั่นแล้ว.
บทว่า ตสถาวเรสุ ได้แก่ ผู้มีตัณหาและผู้หมดตัณหา. ด้วยคำว่า
อคุตฺตทฺวารสฺส ภวนฺติ โมฆา พระเถระแสดงว่า การสมาทานวัตร
ทั้งหมดย่อมเป็นโมฆะสำหรับผู้ไม่สำรวมทวาร. ถามว่า เหมือนอะไร.

251
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 252 (เล่ม 28)

แก้ว่า เหมือนทรัพย์เครื่องปลื้มใจ ที่บุรุษได้ในความฝัน. อธิบายว่า
เหมือนทรัพย์เครื่องปลื้มใจ มีอย่างต่าง ๆ เช่นแก้วมณี แก้วมุกดา ที่บุรุษ
ได้แล้วในความฝัน ย่อมว่างเปล่า ครั้นตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่เห็นอะไร เป็น
โมฆะเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ฉันใด.
บทว่า อนาสกา ความว่า ไม่กินอาหาร ๑ - ๒ วัน เป็นต้น.
บทว่า ตณฺฑิลสายิกาจ ได้แก่ นอนบนพื้นดินอันลาดด้วยกลุ่มหญ้าเขียว
บทว่า ปาโต สินานญฺจ ตโยจ เวทา ความว่า เข้าไปอาบน้ำแต่เช้าตรู่
และเวท ๓. บทว่า ขราชินํ ชฏา ปงฺโก ได้แก่ หนังเสือเหลืองที่มี
สัมผัสหยาบ ศีรษะมุ่นมวยผม และเหงือกที่ชื่อว่า ปังกะ. บทว่า มนฺตา
สีลพฺพตํ ตโป ได้แก่ มนต์ และ วัตร กล่าวคืออาการของแพะ และ
อาการของโค ท่านกล่าวว่านี้เป็นตปะของพราหมณ์ในบัดนี้. บทว่า
กุหนา วงฺกทณฺฑา จ ความว่า ความหลอกลวง คือ โทษที่ปกปิด เหมือน
คูถที่ถูกปิดบังไว้และไม้เท้าคดคือไม้มีกิ่งคต ที่ถือเอาจากต้นมะเดื่อต้นทอง
กวาวและต้นมะตูมอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า อุทกา จ มนานิ จ ได้แก่
ลูบหน้าด้วยน้ำ. ด้วยบทว่า วณฺณา เอเต พฺราหฺมณานํ พระเถระแสดง
ภัณฑะเหล่านั้น ว่า วรรณะ อันเป็นเครื่องปริกขารของพวกพราหมณ์.
บทว่า กตกิญฺจิกฺขภาวนา แปลว่าภาวนาที่เห็นแก่อามิส ที่กระทำแล้ว.
อนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. อธิบายว่า กระทำเพื่อประโยชน์แก่อันกล่าว
ถึงอามิสเล็ก ๆ น้อย ๆ. บัดนี้พระเถระครั้นทำลายความหลงผิดของพวก
พราหมณ์อย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงคุณของพราหมณ์เก่า ๆ อีก จึงกล่าวคำ
อาทิว่า จิตฺตญฺจ สุสมาหิตํ. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า สุสมาหิตํ

252
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 253 (เล่ม 28)

พระเถระแสดงว่า จิตของพราหมณ์เหล่านั้น ได้ตั้งมั่นด้วยดี ด้วยอุปจาร-
สมาธิและอัปปนาสมาธิ. บทว่า อขิลํ ได้แก่ อ่อน คือไม่แข็ง. ด้วยบทว่า
โส มคฺโค พฺรหฺมปตฺติยา พระเถระเมื่อแสดงว่า นั้นเป็นทางบรรลุถึง
พรหมผู้ประเสริฐ ก็พวกท่านเล่า ชื่อว่า เป็นพราหมณ์หรือ ดังนี้ จึงได้
กล่าวอย่างนั้น.
บทว่า อคมํสุ นุ ขฺวิธ ตัดว่า อคมํสุ นุ โข อิธ. บทว่า
อธิมุจฺจติ ความว่า เป็นผู้น้อมไป คือติดอยู่ด้วยอำนาจกิเลส. บทว่า
พฺยาปชฺชติ ได้แก่ เป็นผู้มีจิตเสียด้วยอำนาจพยาบาท. บทว่า ปริตฺต-
เจตโส ได้แก่เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์ประมาณน้อย โดยเป็นผู้มีจิตเศร้าหมอง
เหตุมีสติไม่ตั้งมั่น. บทว่า เจโตวิมุตฺติ ได้แก่ ผลสมาธิ. บทว่า
ปญฺญาวิมุตฺติ ได้แก่ ผลปัญญา. บทว่า อปฺปมาณเจตโส ได้แก่ ผู้มีจิต
มีอารมณ์หาประมาณมิได้ โดยเป็นผู้มีจิตปราศจากกิเลศ เพราะเป็นผู้มี
สติตั้งมั่น.
จบ อรรถกถาโลหิจจสูตรที่ ๙
๑๐. เวรหัญจานีสูตร
ว่าด้วยการบัญญัติสุขและทุกข์
[๒๑๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระอุทายีอยู่ ณ สวนมะม่วงของโตเทยย-
พราหมณ์ กามัณฑานคร ครั้งนั้น มาณพผู้เป็นศิษย์ของพราหมณีผู้เป็น
เวรหัญจานิโคตร ได้เข้าไปหาท่านพระอุทายีถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่าน
พระอุทายี ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร

253
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 254 (เล่ม 28)

ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระอุทายียังมาณพนั้นให้เห็นแจ้ง ให้
สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา ครั้งนั้นแล มาณพผู้อัน
ท่านพระอุทายีให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมี-
กถาแล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะเข้าไปหาพราหมณีเวรหัญจานิโคตรถึงที่อยู่ ครั้น
แล้วได้กล่าวกะพราหมณีเวรหัญจานิโคตรว่า ขอแม่เจ้าท่านพึงทราบเถิด
พระสมณะอุทายีแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์
สิ้นเชิง ดังนี้ พราหมณีเวรหัญจานิโคตรกล่าวว่า แน่ะมาณพ ถ้าอย่างนั้น
เธอจงนิมนต์พระสมณะอุทายีตามคำของเรา เพื่อฉันอาหารอันจะมีในวัน
พรุ่งนี้ด้วยเถิด มาณพนั้นรับคำของพราหมณีเวรหัญจานิโคตรแล้ว เข้าไป
หาท่านอุทายีถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอุทายีว่า ขอท่านอุทายี
โปรดรับอาหารเพื่อฉันอันจะมีในวันพรุ่งนี้ ของพราหมณีเวรหัญจานิโคตร
ผู้เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านพระอุทายีได้รับนิมนต์ด้วยดุษณี-
ภาพ ครั้งนั้น โดยราตรีนั้นล่วงไป ในเวลาเช้า ท่านพระอุทายีนุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณีเวรหัญจานิโคตร แล้วนั่งบน
อาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว ครั้งนั้น พราหมณีเวรหัญจานิโคตรเลี้ยงดูท่าน
พระอุทายีให้อิ่มหนำสำราญ ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือ
ของตนเองแล้ว ทราบว่าท่านพระอุทายีฉันแล้ว ลดมือจากบาตรแล้ว ได้
สวมเขียงเท้านั่งบนอาสนะอันสูง คลุมศีรษะแล้ว ได้กล่าวแก่ท่านพระอุทายี
ว่า ท่านสมณะ ขอท่านจงกล่าวธรรม ท่านพระอุทายีกล่าวว่า น้องหญิง
เวลายังมี ดังนี้แล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะแล้วหลีกไป.

254
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 255 (เล่ม 28)

[๒๑๑] แม้ครั้งที่สอง มาณพนั้นได้เข้าไปหาท่านพระอุทายีถึง
ที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอุทายี ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึง
กันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระอุทายีได้
ยังมาณพนั้นให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา
แล้ว มาณพนั้นผู้อันท่านพระอุทายี ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ.
ให้รื่นเริงด้วยธรรมมีกถาแล้ว ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ เข้าไปหาพราหมณีเวร-
หัญจานิโคตรถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะพราหมณีเวรหัญจานิโคตรว่า
ขอแม่เจ้าท่านพึงทราบเถิด พระสมณะอุทายี แสดงธรรมงามในเบื้องต้น
งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อม
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง พราหมณีเวรหัญจานิโคตรกล่าวว่า
แน่ะมาณพ ก็เธอกล่าวคุณของพระสมณะอุทายีอย่างนี้ ๆ พระสมณะอุทายี
ถูกฉันขอให้ท่านกล่าวธรรมนี้ กลับกล่าวว่า น้องหญิง เวลายังมี ดังนี้
แล้ว ก็ลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไปเสีย มาณพนั้นกล่าวว่า แม่เจ้าท่าน
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า แม่เจ้าสวมเขียงเท้า นั่งบนอาสนะสูง คลุม
ศีรษะแล้วได้กล่าว ขอให้ท่านกล่าวธรรม ด้วยว่าท่านผู้เจริญเหล่านั้น
เป็นผู้หนักในธรรม เป็นผู้เคารพธรรม พราหมณีเวรหัญจานิโคตรกล่าว
ว่า แน่ะมาณพ ถ้าเช่นนั้น เธอจงนิมนต์พระสมณะอุทายีตามคำของเรา
เพื่อฉันอาหารอันจะมีในวันพรุ่งนี้ มาณพนั้นรับคำของพราหมณีเวรหัญ-
จานิโคตรแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระอุทายีถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่าน
พระอุทายีว่า ขอท่านพระอุทายีโปรดรับอาหารเพื่อฉันอันจะมีในวันพรุ่งนี้
ของพราหมณีเวรหัญจานิโคตร ผู้เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่าน

255
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 256 (เล่ม 28)

พระอุทายีรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ ครั้งนั้น โดยราตรีนั้นล่วงไป ในเวลา
เช้า ท่านพระอุทายีนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปยังนิเวศน์ของ
พราหมณีเวรหัญจานิโคตร นั่งบนอาสนะอันเขาปูลาดไว้แล้ว ครั้งนั้น
พราหมณ์เวรหัญจานิโคตรเลี้ยงดูท่านพระอุทายีให้อิ่มหนำสำราญด้วยขาท-
นียโภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือของตนเองแล้ว ทราบว่า ท่านพระ-
อุทายีฉันเสร็จแล้ว ลดมือจากบาตรแล้ว ได้ถอดเขียงเท้า นั่งบนอาสนะต่ำ
เปิดศีรษะแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระอุทายีว่า ท่านเจ้าข้า เมื่ออะไรหนอ
มีอยู่พระอรหันต์ทั้งหลายจึงบัญญัติสุขและทุกข์ เมื่ออะไรไม่มี พระอรหันต์
ทั้งหลายจึงไม่บัญญัติสุขและทุกข์.
[๒๑๒] ท่านพระอุทายีตอบว่า ดูก่อนน้องหญิง เมื่อจักษุมีอยู่
พระอรหันต์ทั้งหลายจึงบัญญัติสุขและทุกข์ เมื่อจักษุไม่มี พระอรหันต์
ทั้งหลายจึงไม่บัญญัติสุขและทุกข์ ฯลฯ เมื่อมีใจอยู่ พระอรหันต์ทั้งหลาย
จึงบัญญัติสุขและทุกข์ เมื่อใจไม่มี พระอรหันต์ทั้งหลายจึงไม่บัญญัติสุข
และทุกข์.
เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เวรหัญจานิโคตรได้
กล่าวกะท่านพระอุทายีว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านอุทายีผู้เจริญ
ดิฉันนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น กับทั้งพระธรรม และพระ-
ภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระคุณเจ้าอุทายีโปรดจำดิฉันไว้ว่าเป็นอุบาสิกา
ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นต้นไป.
จบ เวรหัญจานีสูตรที่ ๑๐
คหปติวรรคที่ ๓

256
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 257 (เล่ม 28)

อรรถกถาเวรหัญจานีสูตรที่ ๑๐
ในเวรหัญจานีสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า กามณฺฑาย ได้แก่ ในนครมีชื่ออย่างนี้. บทว่า ยคฺเฆ
เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า ทักท้วง คำที่เหลือง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถาเวรหัญจานีสูตรที่ ๑๐
จบ คหปติวรรคที่ ๓
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. เวสาลีสูตร ๒. วัชชีสูตร ๓. นาฬันทาสูตร ๔. ภารทวาช
สูตร ๕. โสณสูตร ๖. โฆสิตสูตร ๗. หาลิททกานิสูตร ๘. นกุลปิตุ
สูตร ๙. โลหิจจสูตร ๑๐. เวรหัญจานีสูตร

257