No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 18 (เล่ม 28)

ออกแห่งรูป ได้พบความสลัดออกแห่งรูป ได้เห็นด้วยดีด้วยปัญญา ฯลฯ
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เราได้เที่ยวแสวงหาคุณแห่งธรรมารมณ์ ได้
พบคุณแห่งธรรมารมณ์ ได้เห็นด้วยดีด้วยปัญญา เราได้เที่ยวแสวงหาโทษ
แห่งธรรมารมณ์ ได้พบโทษแห่งธรรมารมณ์ ได้เห็นด้วยดีด้วยปัญญา
เราได้เทียวแสวงหาความสลัดออกแห่งธรรมารมณ์ ได้พบความสลัดออก
แห่งธรรมารมณ์ ได้เห็นด้วยดีด้วยปัญญา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่
รู้ตามความเป็นจริง ซึ่งคุณแห่งอายตนะภายนอก ๖ เหล่านี้โดยเป็นคุณ
ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งความสลัดออกโดยเป็นความสลัดออก เพียงใด
ฯลฯ ก็ญาณทัสสนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่าความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบ ชาติ
นี้เป็นที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
จบ ทุติยอัสสาทสูตรที่ ๔
อรรถกถาอัสสาทสูตรที่ ๓ - ๔
ในสูตรที่ ๓ และสูตรที่ ๔ ก็เหมือนกัน ( กับสูตรที่ ๑ - ๒ )
จบ อรรถกถาอัสสาทสูตรที่ ๓ - ๔
๕. ปฐมโนอัสสาทสูตร
ว่าด้วยการปฏิเสธคุณและโทษแห่งอายตนะ
[ ๑๗ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าคุณแห่งจักษุจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์
ทั้งหลายก็จะไม่พึงกำหนัดในจักษุ แต่เพราะคุณในจักษุมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์
ทั้งหลายจึงกำหนัดในจักษุ ถ้าโทษแห่งจักษุจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย

18
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 19 (เล่ม 28)

ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในจักษุ แต่เพราะโทษแห่งจักษุมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์
ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในจักษุ ถ้าความสลัดออกแห่งจักษุจักไม่มีแล้วไซร้
สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงสลัดออกจากจักษุ แต่เพราะความสลัดออกแห่งจักษุ
มีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงสลัดออกจากจักษุ หู จมูก ลิ้น กาย
ถ้าคุณแห่งใจจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงกำหนัดในใจ แต่
เพราะคุณแห่งใจมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงกำหนัดในใจ ถ้าโทษแห่ง
ใจจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในใจ แต่เพราะโทษ
แห่งใจมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในใจ ถ้าความสลัดออก
แห่งใจจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงสลัดออกจากใจ แต่เพราะ
ความสลัดออกแห่งใจมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงสลัดออกจากใจ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายยังไม่รู้ตามความเป็นจริง ซึ่งคุณแห่งอายตนะ
ภายใน ๖ เหล่านี้ โดยเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งความสลัด
ออกโดยเป็นความสลัดออก เพียงใด สัตว์ทั้งหลายก็ยังไม่เป็นผู้ออกไป
พรากไป หลุดพ้นไปจากโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
จากหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีใจถูกครอบงำอยู่
เพียงนั้น แต่เมื่อใด สัตว์ทั้งหลายได้รู้ตามความเป็นจริง ซึ่งคุณแห่ง
อายตนะภายใน ๖ เหล่านั้น โดยเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ และ
ซึ่งความสลัดออกโดยเป็นความสลัดออก เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายก็เป็นผู้
ออกไป พรากไป หลุดพ้นไปจากโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก จากหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มี
ใจได้ถูกครอบงำอยู่.
จบ ปฐมโนอัสสาทสูตรที่ ๕

19
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 20 (เล่ม 28)

อรรถกถาปฐมโนอัสสาทสูตรที่ ๕
ในสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า นิสฺสฏ แปลว่า ออกไปแล้ว. บทว่า วิสญฺญุตฺตา แปลว่า
ไม่ประกอบ. บทว่า วิปฺปมุตฺตา แปลว่า ไม่พ้นแล้ว. บทว่า วิปฺปริยา-
ทิกเตน เจตสา ได้แก่ มีใจที่ไม่มีอะไรยึดไว้เป็นต้น. บทว่า ยํ ได้แก่
กิเลสชาตหรือวัฏฏะที่ยังละไม่ได้. จิตของพระเสขะทั้งหลาย เป็นอันชื่อว่า
อันกิเลสชาตหรือวัฏฏะยังยึดมั่นอยู่เป็นต้น แต่ในที่นี้ จิตที่อันกิเลสชาต
หรือวัฏฏะชื่อว่าไม่ยึดมั่นเป็นต้น เพราะกิเลสและวัฏฏะท่านละได้แล้วโดย
ประการทั้งปวง อธิบายว่า พระอริยเจ้ามีจิตปราศจากความยึดมั่น คือ
ก้าวล่วงการยึดมั่นของกิเลสวัฏฏะ.
จบ อรรถกถาปฐมในอัสสาทสูตรที่ ๕
๖. ทุติยโนอัสสาทสูตร
ว่าด้วยการปฏิเสธคุณและโทษแห่งอายตนะ
[ ๑๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าคุณแห่งรูปจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์
ทั้งหลายก็จะไม่พึงกำหนดในรูป แต่เพราะคุณแห่งรูปมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์
ทั้งหลายจึงกำหนัดในรูป ถ้าโทษแห่งรูปจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย
ก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายในรูป แต่เพราะโทษแห่งรูปมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย
จึงเบื่อหน่ายในรูป ถ้าความสลัดออกแห่งรูปจักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย
ก็จะไม่พึงสลัดออกจากรูป แต่เพราะความสลัดออกแห่งรูปมีอยู่ ฉะนั้น
สัตว์ทั้งหลายจึงสลัดออกจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ถ้าคุณแห่ง
ธรรมารมณ์จักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงกำหนัดในธรรมารมณ์

20
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 21 (เล่ม 28)

แต่เพราะคุณแห่งธรรมารมณ์มีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงกำหนัดใน
ธรรมารมณ์ ถ้าโทษแห่งธรรมารมณ์จักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะ
ไม่พึงเบื่อหน่ายในธรรมารมณ์ แต่เพราะโทษแห่งธรรมารมณ์มีอยู่ ฉะนั้น
สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในธรรมารมณ์ ถ้าความสลัดออกจากธรรมารมณ์
จักไม่มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงสลัดออกจากธรรมารมณ์ แต่เพราะ
ความสลัดออกแห่งธรรมารมณ์มีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงสลัดออกจาก
ธรรมารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายยังไม่รู้ตามความเป็นจริง
ซึ่งคุณแห่งอายตนะภายนอก ๖ เหล่านี้โดยเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็น
โทษ ซึ่งความสลัดออกโดยเป็นความสลัดออกเพียงใด สัตว์ทั้งหลายก็ยัง
ไม่เป็นผู้ออกไป พรากไป หลุดพ้นไปจากโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก จากหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีใจ
ถูกครอบงำอยู่เพียงนั้น เมื่อใด สัตว์ทั้งหลายได้รู้ตามความเป็นจริง ซึ่ง
คุณแห่งอายตนะภายนอก ๖ เหล่านี้ โดยเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ
และซึ่งความสลัดออก็โดยเป็นความสลัดออก เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายก็เป็น
ผู้ออกไป พรากไป หลุดพ้นไปจากโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก จากหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
มิใจมิได้ถูกครอบงำอยู่.
จบ ทุติยโนอัสสาทสูตรที่ ๖
อรรถกถาทุติยโนอัสสาทสูตรที่ ๖
แม้ในสูตรที่ ๖ ก็นัยนี้ แต่ใน ๖ สูตรนี้ พึงทราบว่าท่านกล่าว
เฉพาะสัจจะ ๔ เท่านั้น.
จบ อรรถกถาทุติยโนอัสสาทสูตรที่ ๖

21
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 22 (เล่ม 28)

๗. ปฐมอภินันทสูตร
ว่าด้วยผู้ที่เพลิดเพลินอยู่ในอายตนะภายในย่อมไม่พ้นทุกข์
[ ๑๙ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดยังเพลิดเพลินจักษุ ผู้นั้นชื่อว่า
ย่อมเพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดเพลิดเพลินทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นยังไม่พ้นไป
จากทุกข์ ฯลฯ ผู้ใดยังเพลิดเพลินใจ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใด
เพลิดเพลินทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นยังไม่พ้นไปจากทุกข์ ส่วนผู้ใดไม่เพลิด-
เพลินจักษุ ผู้นั้นชื่อว่าไม่เพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดไม่เพลิดเพลินทุกข์เรา
กล่าวว่า ผู้นั้นพ้นไปจากทุกข์ ฯลฯ ผู้ใดไม่เพลิดเพลินใจ ผู้นั้นชื่อว่าไม่
เพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดไม่เพลิดเพลินทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นพ้นไปจากทุกข์.
จบ ปฐมอภินันทสูตรที่ ๗
๘. ทุติยอภินันทสูตร
ว่าด้วยผู้เพลิดเพลินอยู่ในอายตนะภายนอกย่อมไม่พ้นทุกข์
[ ๒๐ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดยังเพลิดเพลินรูป ผู้นั้นชื่อว่า
ย่อมเพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดเพลิดเพลินทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นยังไม่พ้น
ไปจากทุกข์ ฯลฯ ผู้ใดยังเพลิดเพลินธรรมารมณ์ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเพลิด-
เพลินทุกข์ ผู้ใดเพลิดเพลินทุกข์ . เรากล่าวว่า ผู้นั้นยังไม่พ้นไปจากทุกข์
ส่วนผู้ใดไม่เพลิดเพลินรูป ผู้นั้นชื่อว่าไม่เพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดไม่เพลิด-
เพลินทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นพ้นไปจากทุกข์ ฯลฯ ผู้ใดไม่เพลิดเพลิน
ธรรมารมณ์ ผู้นั้นชื่อว่าไม่เพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดไม่เพลิดเพลินทุกข์ เรา
กล่าวว่า ผู้นั้นพ้นไปจากทุกข์.
จบ ทุติยอภินันทสูตรที่ ๘

22
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 23 (เล่ม 28)

๙. ปฐมอุปปาทสูตร
ว่าด้วยความเกิดขึ้นแห่งอายตนะ
[๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความ
บังเกิด ความปรากฏแห่งจักษุ เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่
แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ ฯลฯ ความเกิดขึ้น ความ
ตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งใจ เป็นความเกิดแห่งทุกข์ เป็นความ
ตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ ส่วนความดับ ความ
สงบ ความไม่มีแห่งจักษุ เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบแห่งโรค
เป็นความไม่มีแห่ชราและมรณะ ฯลฯ ความดับ ความสงบ ความไม่มี
แห่งใจ เป็นความขับแห่งทุกข์ เป็นความสงบแห่งโรค เป็นความไม่มี
แห่งชราและมรณะ.
จบ ปฐมอุปปาทสูตรที่ ๙
๑๐. ทุติยอุปปาทสูตร
ว่าด้วยความเกิดขึ้นแห่งอายตนะ
[ ๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความ
บังเกิด ความปรากฏแห่งรูป เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่
แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ ฯลฯ ความเกิดขึ้น ความ
ตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งธรรมารมณ์ เป็นความเกิดแห่งทุกข์
เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ.

23
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 24 (เล่ม 28)

[๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความดับ ความสงบ ความไม่มี
แห่งรูป เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบแห่งโรค เป็นความไม่มี
แห่งชราและมรณะ ฯลฯ ความดับ ความสงบ ความไม่มีแห่งธรรมารมณ์
เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบแห่งโรค เป็นความไม่มีแห่งชรา
และมรณะ.
จบ ทุติยอุปปาทสูตรที่ ๑๐
ยมกวรรคที่ ๒
อรรถกถาปฐมอภินันทสูตรที่ ๗ เป็นต้น
ในสูตรที่ ๗ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัฏฏะและวิวัฏฏะ
ไว้ใน ๔ สูตร แต่อนุปุพพิกกาพึงทราบโดยนัยที่ตรัสแล้วนั่นแหล่ะ ใน
หนหลังแก่ภิกษุเหล่านั้น.
จบ อรรถกถาปฐมอภินันทสูตรที่ ๗ เป็นต้น
จบ อรรถกถายมกวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปฐมสัมโพธสูตร ๒. ทุติยสัมโพธสูตร ๓. ปฐมอัสสาทสูตร
๔. ทุติยอัสสาทสูตร ๕. ปฐมโนอัสสาทสูตร ๖. ทุติยโนอัสสาสูตร
๗. ปฐมอภินันทสูตร ๘. ทุติยอภินันทสูตร ๙. ปฐมอุปปาทสูตร
๑๐. ทุติยอุปปาทสูตร

24
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 25 (เล่ม 28)

สัพพวรรคที่ ๓
๑. สัพพสูตร
ว่าด้วยทรงแสดงสิ่งทั้งปวง
[๒๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสิ่งทั้งปวงแก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงฟังข้อนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นสิ่งทั้งปวง. จักษุ
กับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับ
ธรรมารมณ์ อันนี้เรากล่าวว่าสิ่งทั้งปวง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า เราบอกปฏิเสธสิ่งทั้งปวง จักบัญญัติสิ่งอื่นแทน วาจาของผู้นั้น
พึงเลื่อนลอย ดุจวัตถุเทพดา แต่ครั้นถูกถามเข้า ก็ตอบไม่ได้ และจะ
อึดอัดใจยิ่งขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร. เพราะข้อนั้นไม่ใช่วิสัย.
จบ สัพพสูตรที่ ๑
อรรถกถาสัพพสูตรที่ ๑
สัพพวรรคที่ ๓ สัพพสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สพฺพํ โว ภิกฺขเว ชื่อว่า สัพพะ มี ๔ อย่าง คือ
สัพพสัพพะ, อายตนสัพพะ, สักกายสัพพะ, ปเทสสัพพะ
ใน ๔ อย่างนั้น
สัพพะว่าอะไร ๆ ที่พระองค์ไม่เคยเห็นในโลกนี้
ย่อมไม่มี ไม่รู้สิ่งที่ไม่ควรรู้ก็ไม่มี อนึ่งพระตถาคต
ทรงรู้ยิ่งถึงเนยยะ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด เพราะฉะนั้น
พระตถาคต จึงทรงพระนามว่า สมันตจักษุ.

25
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 26 (เล่ม 28)

ชื่อว่า สัพพสัพพะ. สัพพะ ว่า สพฺพํ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ ตํ
สุณาถ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสิ่งทั้งปวงแก่พวกเธอ พวกเธอ
จงฟังสิ่งนั้น นี้ชื่อว่า อายตนสัพพะ. สัพพะ ว่า สพฺพธมฺมมูลปริยายํ
โว ภิกฺขเว เทสิสฺสามิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมูลปริยาย
แห่งธรรมทั้งปวงแก่พวกเธอ นี้ชื่อว่า สักกายสัพพะ. สัพพะว่า สพฺพ-
ธมฺเมสุ วา ปฐมสมนฺนาหาโร อุปฺปชฺชติ จิตฺตํ มโน มานสํ
ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตุ หรือว่า การรวบรวมใจครั้งแรก จิต มโน
มานัส มโนวิญญาณธาตุที่เกิดแต่จิตนั้น ย่อมเกิดขึ้นในธรรมทั้งปวง นี้
ชื่อว่า ปเทสสัพพะ.
ดังนั้นเพียงอารมณ์ ๕ ชื่อว่า ปเทสสัพพะ. ธรรมอันเป็นไปใน
ภูมิ ๓ ชื่อว่า สักกายสัพพะ. ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๔ ชื่อว่า อายตน-
สัพพะ. เนยยะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สัพพสัพพะ. ปเทสสัพพะ
ไม่ถึงสักกายสัพพะ, สักกายสัพพะ ไม่ถึงอายตนสัพพะ, อายตนสัพพะ
ไม่ถึงสัพพสัพพะ. เพราะเหตุไร. เพราะว่าธรรมชื่อนี้ที่ไม่เป็นอารมณ์
ของพระสัพพัญญุตญาณย่อมไม่มี. แต่ในพระสูตรนี้ ท่านประสงค์เอา
อายตนสัพพะ.
บทว่า ปจฺจกฺขาย แปลว่า ปฏิเสธ. บทว่า วาจา วตฺถุเทวสฺส
ได้แก่ พึงเป็นเพียงวัตถุที่จะพึงกล่าวด้วยวาจาเท่านั้น. พ้นอายตนะ ๑๒ นี้
ไม่อาจแสดงได้ว่า ธรรมอื่นนี้ ชื่อว่า สภาวธรรม. บทว่า ปุฏฺโฐ จ น
สมฺปาเยยฺย ความว่า เมื่อถูกถามว่าสิ่งอื่นคืออะไร ชื่อว่าสัพพะ ก็ไม่
สามารถจะตอบได้ว่าชื่อนี้. บทว่า วิฆาตํ อาปชฺเชยฺย ได้แก่ถึงความ

26
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 27 (เล่ม 28)

ลำบาก. บทว่า ตํ ในคำว่า ยถา ตํ ภิกฺขเว อวิสยสฺมึ นี้เป็นเพียง
นิบาต. บทว่า ยถา เป็นคำบ่งเหตุ อธิบายว่า เพราะเหตุที่ถูกถามใน
สิ่งที่ไม่ใช่วิสัย. ความจริงสัตว์ทั้งหลายย่อมมีความคับแค้นใจในสิ่งที่ไม่ใช่
วิสัย. การเทินศิลาประมาณเท่าเรือนยอดข้ามน้ำลึก เป็นเรื่องไม่ใช่วิสัย.
การฉุดพระจันทร์พระอาทิตย์ลงมา ก็เหมือนกัน. เมื่อพยายามในสิ่งที่มิใช่
วิสัยนั้นย่อมลำบากแท้ อธิบายว่า ต้องลำบากในสิ่งที่มิใช่วิสัยแม้นี้ ด้วย
ประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาสัพพสูตรที่ ๑
๒. ปฐมปหานสูตร
ว่าด้วยทรงแสดงธรรมเพื่อละสิ่งทั้งปวง
[ ๒๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมเพื่อละสิ่งทั้งปวง
นั้นแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังข้อนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรม
สำหรับละสิ่งทั้งปวงนั้นเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ รูป จักษุ-
วิญญาณ จักษุสัมผัส เป็นสิ่งที่ควรละ แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ก็เป็นสิ่งที่
ควรละ ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส เป็นสิ่งที่ควรละ
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส
เป็นปัจจัย ก็เป็นสิ่งที่ควรละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แลเป็นธรรม
สำหรับละสิ่งทั้งปวง.
จบ ปฐมปหานสูตรที่ ๒

27