No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 114 (เล่ม 3)

ครั้งแรกเธอกล่าวอย่างหนึ่ง แล้วภายหลังกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ไม่กล่าวโดย
ทางเดียว, พึงกล่าวเตือนเธอว่า ท่านไม่พูดทางเดียวพูดเลี่ยงไป, เรา
ไม่อาจเพื่อจะทำวินัยกรรมแก่ท่านได้, ท่านจงไปแสวงหาความสวัสดีเถิด.
ก็ถ้าเธอกล่าวยืนยันโดยทางเดียวเท่านั้นถึง ๓ ครั้ง, กระทำตนให้แจ้งตาม
ความเป็นจริง, ลำดับนั้น พระวินัยธรพึงพิจารณาประโยค ๑๑ ด้วย
อำนาจแห่งราคะ ๑๑ อย่าง เพื่อวินิจฉัย อาบัติ อนาบัติ ครุกาบัติและ
ลหุกาบัติของเธอ.
[อธิบายราคะและประโยค ๑๑ อย่าง]
บรรดาราคะและประโยค ๑๑ นั้น ราคะ ๑๑ เหล่านี้ คือ ความ
ยินดีเพื่อจะให้เคลื่อน ๑ ความยินดีในขณะเคลื่อน ๑ ความยินดีในเมื่อ
อสุจิเคลื่อนแล้ว ๑ ความยินดีในเมถุน ๑ ความยินดีในผัสสะ ๑ ความ
ยินดีในความคัน ๑ ความยินดีในการดู ๑ ความยินดีในกิริยานั่ง ๑ ความ
ยินดีในคำพูด ความรักอาศัยเรือน ๑ ความยินดีด้วยกิ่งไม้ที่พึงหักได้ ๑.
ในราคะ ๑๑ อย่างนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- ความยินดีเพื่อจะ
ให้สุกกะเคลื่อน ชื่อว่า โมจนัสสาทะ. ความยินดีในขณะอสุจิเคลื่อน ชื่อว่า
มุจจนัสสาทะ. ความยินดีในเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว ชื่อว่า มุตตัสสาทะ.
ความยินดีในเมถุน ชื่อว่า เมถุนัสสาทะ. ความยินดีในผัสสะ ชื่อว่า
ผัสสัสสาทะ. ความยินดีในความคัน ชื่อว่า กัณฑวนัสสาทะ. ความยินดี
ในการดู ชื่อว่า ทัสสนัสสาทะ. ความยินดีในกิริยานั่ง ชื่อว่า นิสสัชชัส-
สาทะ. ความยินดีในถ้อยคำ ชื่อว่า วาจัสสาทะ. ความรักอาศัยเรือน

114
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 115 (เล่ม 3)

ชื่อว่า เคหสิตเปมะ. รุกขาวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีดอกไม้และผลไม้
เป็นต้นที่เขาหักเอามาจากป่า ชื่อว่า วนภังคิยะ (ของขวัญ).
ก็บรรดาบททั้ง ๑๑ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสราคะ โดยยกความ
ยินดีที่สัมปยุตเป็นประธานด้วย ๙ บท ตรัส โดยสรูปด้วยบทเดียว, ตรัส
โดยวัตถุด้วยบทเดียว. จริงอยู่ วนภังคะ เป็นที่ตั้งแห่งราคะ, ไม่ใช่
เป็นตัวราคะทีเดียว. แต่ประโยค (ในการปล่อย) พระวินัยธรพึงทราบ
ด้วยอำนาจแห่งราคะเหล่านี้ โดยนัยดังจะกล่าวต่อไปนี้:-
ในความยินดีเพื่อจะให้สุกกะเคลื่อน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- เมื่อ
ภิกษุจงใจและยินดีอยู่ด้วยโมจนัสสาทเจตนา พยายาม, อสุจิเคลื่อนเป็น
สังฆาทิเสส, เมื่อภิกษุจงใจและยินดีอยู่ด้วยเจตนาอย่างนั้นเหมือนกัน
พยายาม. แต่อสุจิไม่เคลื่อน เป็นถุลลัจจัย. ถ้าว่าในเวลานอน ภิกษุ
เป็นผู้กลัดกลุ้มด้วยราคะ เอาขาอ่อน หรือกำมือบีบองคชาตให้แน่นแล้ว
หลับไปทั้งที่ยังมีความอุตสาหะ เพื่อต้องการจะปล่อย ก็เมื่อภิกษุนั้นหลับ
อยู่ อสุจิเคลื่อน, เป็นสังฆาทิเสส, ถ้าหากว่า เธอยังความกลัดกลุ้มด้วย
ราคะให้สงบโดยมนสิการอสุภะ มีใจบริสุทธิ์หลับไป, แต่เมื่ออสุจิเคลื่อน
ขณะเธอหลับ ก็เป็นอนาบัติ.
ในความยินดีขณะเคลื่อน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุยินดีอสุจิ
ที่กำลังเคลื่อนโดยธรรมดาของมัน ไม่พยายาม, อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ
ก็ถ้าหากว่า เธอยินดีอสุจิที่กำลังจะเคลื่อนย่อมพยายาม, เมื่ออสุจิเคลื่อน
แล้วด้วยความพยายามนั้น เป็นสังฆาทิเสส. ในมหาปัจจรีกล่าวว่า เมื่อ
อสุจิเคลื่อนโดยธรรมดาของมัน เธอจับองคชาตไว้ด้วยคิดว่า 'อย่าเปื้อน
ผ้ากาสาวะ หรือ เสนาสนะ' ไปสู่ที่มีน้ำ เพื่อทำความสะอาด ย่อมควร.

115
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 116 (เล่ม 3)

ในความยินดีเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- เมื่อ
อสุจิเคลื่อน คือ เคลื่อนจากฐานโดยธรรมดาของมันแล้ว เมื่อภิกษุยินดี
ภายหลัง อสุจิเคลื่อนเว้นจากความพยายาม เป็นอนาบัติ. ถ้าเธอยินดี
พยายามที่นิมิตเพื่อต้องการให้เคลื่อนอีก แล้วให้เคลื่อน, เป็นสังฆาทิเสส.
ในความยินดีในเมถุน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุจับมาตุคาม
ด้วยความกำหนัดในเมถุน อสุจิเคลื่อนเพราะประโยคนั้น เป็นอนาบัติ
แต่การจับต้อง (มาตุคาม) เช่นนั้น เป็นทุกกฏ. เพราะเป็นประโยคแห่ง
เมถุนธรรม เมื่อถึงที่สุด เป็นปาราชิก. ถ้าหากภิกษุกำหนัดด้วยความ
กำหนัดในเมถุน กลับยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อต้องการจะปล่อย แล้ว
ปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส. พึงทราบวินิจฉัยในความยินดีในผัสสะ ดัง
ต่อไปนี้:- ผัสสะมี ๒ อย่าง ผัสสะที่เป็นภายใน ๑ ผัสสะที่เป็นภาย
นอก ๑. พึงทราบวินิจฉัยในผัสสะที่เป็นภายในในก่อน:- เมื่อภิกษุเล่น
นิมิตของคนโดยคิดว่า เรารู้จักว่า ตึง หรือ หย่อนก็ดี โดยความซุกซน
ก็ดี อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ . ถ้าเธอเล่นอยู่ยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อ
ประสงค์จะปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส.
ส่วนในผัสสะภายนอก พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:- เมื่อภิกษุลูบคลำ
อวัยวะน้อยใหญ่ของมาตุคาม และสวมกอดด้วยความกำหนัดในการเคล้า
คลึงกาย อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เธอต้องกายสังสัคคสังฆาทิเสส.
ถ้าว่า ภิกษุกำหนัดด้วยความกำหนัดในการเคล้าคลึงกายกลับยินดี พยายาม
ในนิมิตเพื่อต้องการปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส แม้เพราะการ
ปล่อยสุกกะเป็นปัจจัย .

116
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 117 (เล่ม 3)

พึงทราบวินิจฉัยความยินดีโนความคัน ดังนี้:- เมื่อภิกษุเกานิมิต
ที่กำลังคัน ด้วยอำนาจแห่งหิตด้านและหิดเปื่อย ผื่นคัน และสัตว์เล็ก
เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยความยินดีในความคันเท่านั้น อสุจิ
เคลื่อน เป็นอนาบัติ. ภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในความ กลับยินดี
พยายามในนิมิต เพี่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในการดู ดังนี้:- ภิกษุเพ่งดูโอกาสอัน
ไม่สมควร (กำเนิด) ของมาตุคามบ่อย ๆ ด้วยอำนาจความยินดีในการดู
อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เป็นทุกกฎเพราะเพ่งดูที่ไม่ใช่โอกาสอัน
สมควรแห่งมาตุคาม. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในการดู กลับยินดี
พยายามในนิมิต เพี่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในการนั่ง ดังนี้:- เมื่อภิกษุนั่งด้วย
ความกำหนัดยินดีการนั่งในที่ลับกับมาตุคาม อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ.
แต่พระวินัยธร พึงปรับเธอด้วยอาบัติที่ต้องเพราะการนั่งในที่ลับเป็น
ปัจจัย. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในการนั่ง แล้วกลับยินดี พยายาม
ที่นิมิตเพี่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส.
พึงทราบวินิจฉันในความยินดีในคำพูด ดังนี้:- ภิกษุพูดเกี้ยว
มาตุคาม ด้วยคำพูดพาดพิงเมถุนด้วยความกำหนัดยินดีในถ้อยคำ อสุจิ
เคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เธอต้องสังฆาทิเสส เพราะวาจาชั่วหยาบ. ถ้า
ภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในถ้อยคำแล้ว กลับยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อ
ต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
พึงทราบวินิจฉัยในความรักอาศัยเรือน ดังนี้:- เมื่อภิกษุลูบคลำ
และสวมกอดบ่อย ๆ ซึ่งมารดาด้วยความรักฐานมารดาก็ดี ซึ่งพี่สาว น้อง

117
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 118 (เล่ม 3)

สาวด้วยความรักฉันพี่สาวน้องสาวก็ดี อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ แต่เป็น
ทุกกฎ เพราะถูกต้องด้วยความรักอาศัยเรือนเป็นปัจจัย. ถ้าหากว่า ภิกษุ
กำหนัดด้วยความรักอาศัยเรือนแล้วกลับยินดี พยายามที่นิมิตเพื่อต้องการ
จะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
พึงทราบวินิจฉัยในวนภังคะ (ของขวัญ) ดังนี้:- หญิงกับชายย่อม
ส่งบรรณาการ (ของขวัญ) มีชนิด คือ หมากพลู ของหอมดอกไม้ และ
เครื่องอบกลิ่นเป็นต้นไร ๆ ไปให้กันและกัน เพื่อต้องการความมีสันถว-
ไมตรีที่มั่นคง นี้ชื่อว่า วนภังคะ. ถ้า มาตุคามส่งของขวัญเช่นนั้น ไปให้
แก่ภิกษุผู้เข้าสู่ตระกูล ผู้อยู่ใกล้ชิดกันบางรูป, และเมื่อเธอกำหนัดหนักว่า
ของนี้หญิงชื่อโน้นส่งมาให้ ดังนี้แล้ว เอามือลูบคลำของขวัญเล่น
บ่อย ๆ อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ถ้าว่า ภิกษุกำหนัดหนักในวนภังคะ
แล้วกลับยินดี พยายามที่นิมิตเพื่อประสงล์จะปล่อย แล้วปล่อย, เป็น
สังฆาทิเสส. ถ้าแม้ เมื่อภิกษุพยายาม แต่อสุจิไม่เคลื่อน เป็นถุลลัจจัย.
พระวินัยธรพึงพิจารณาประโยค ๑๑ เหล่านี้ ด้วยอำนาจแห่งราคะ
๑๑ เหล่านี้แล้ว กำหนดอาบัติ หรืออนาบัติ ด้วยประการอย่างนี้ ครั้น
กำหนดดีแล้ว ถ้าเป็นครุกาบัติ พึงบอกว่า " เป็นครุกาบัติ" ถ้าเป็น
ลหุกาบัติ พึงบอกว่า " เป็นลหุกาบัติ" และพึงกระทำวินัยกรรมให้
สมควรแก่อาบัติเหล่านั้น ๆ. จริงอยู่ วินัยกรรมที่ทำแล้วอย่างนี้ ชื่อว่า
เป็นกรรมที่ทำดีแล้ว ดุจหมอรู้สมุฎฐานแห่งโรคแล้วปรุงยาฉะนั้น และ
ย่อมเป็นไปเพื่อความสวัสดีแก่บุคคลผู้นั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เจเตติ น อุปกฺกมติ เป็นต้น ดังนี้:-
ภิกษุจงใจด้วยเจตนายินดีที่จะปล่อย แต่ไม่พยายาม อสุจิเคลื่อน ไม่เป็น

118
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 119 (เล่ม 3)

อาบัติ. ภิกษุถูกความยินดีในการปล่อยบีบคั้นแล้ว จงใจว่า "ไฉนหนอ !
อสุจิจะพึงเคลื่อน" แต่ไม่พยายาม, อสุจิไม่เคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุ
ไม่จงใจด้วยความยินดีในการปล่อย พยายามด้วยความยินดีในผัสสะก็ดี
ด้วยความยินดีในการคันก็ดี อสุจิเคลื่อนไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุไม่จงใจ
อย่างนั้นเหมือนกัน แต่พยายาม อสุจิไม่เคลื่อนไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุเมื่อ
ตรึกถึงวิตก ไม่จงใจ ไม่พยายาม เพื่อต้องการปล่อย แต่อสุจิ
เคลื่อน, ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าแม้เมื่อภิกษุนั้นตรึกถึงกามวิตกอยู่ อสุจิไม่
เคลื่อน. คำนี้ เป็นคำที่ชักมาอ้างในอรรถกถาโบราณว่า ภิกษุไม่จงใจ
ไม่พยายาม อสุจิไม่เคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ ดังนี้.
คำว่า อนาปคฺติ สุปินนฺเตน ความว่า เมื่อภิกษุหลับแล้ว ฝัน
เหมือนว่าเสพเมถุนธรรมก็ดี ฝันเหมือนว่าถึงความเคล้าคลึงกาย (มาตุ-
คาม) เป็นต้นก็ดี ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีอสุจิเคลื่อนเพราะเหตุในความ
ฝันนั้นเลย. แต่เมื่อเจตนายินดีบังเกิดในความฝัน ถ้าหากเป็นวิสัยของเธอ.*
อย่าพึงเคลื่อนไหว ไม่พึงเอามือจับนิมิตเล่น แต่เพื่อจะรักษาผ้ากาสาวะ
และผ้าปูที่นอน จะเอาอุ้งมือจับ ไปสู่ที่มีน้ำ เพื่อทำความสะอาค ควรอยู่.
บทว่า นโมจนาธิปฺปายสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุใด พอกนิมิต
ด้วยเภสัชก็ดี กระทำการถ่ายอุจจาระเป็นต้นก็ดี ไม่มีความประสงค์ในการ
ให้เคลื่อน อสุจิเคลื่อน, ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น. ไม่เป็นอาบัติ แม้
แก่ภิกษุบ้าทั้งสองจำพวก. ในสิกขาบทนี้ พระเสยยสกะเป็นต้นบัญญัติ.
ไม่เป็นอาบัติ แก่พระเสยยสกะผู้เป็นต้นบัญญัตินั้น ฉะนี้แล.
บทภาชนียวรรณา จบ
* โยชนาปาฐะ ๑/๔๓๔. สจสฺสาสโยติ สเจ อสฺส ภิกฺขุสฺส อวิสโย.

119
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 120 (เล่ม 3)

พึงทราบวินิจฉัยในสมุฏฐานเป็นต้น ดังนี้:- สิกขาบทนี้ มีสมุฏ-
ฐานดุจปฐมปาราชิกสิกขาบท ย่อมตั้งขึ้นทางกายกับจิตเป็นกิริยา เป็น
สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒
โดยเป็นสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาทั้งสองแล.
วินีตวัตถุในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑
บรรดาวินีตวัตถุทั้งหลาย เรื่องความฝันมีนัยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้ว ในอนุบัญญัตินั้นแล. เรื่องถ่ายอุจจาระปัสสาวะหลายเรื่อง มี
เนื้อความชัดเจนทั้งนั้น.
ในเรื่องวิตก บทว่า กามวิตกฺกํ ได้แก่ ความตรึกถึงกามที่อาศัย
เรือน. ในเรื่องกามวิตกนั้น ตรัสอนาบัติไว้แม้โดยแท้, ถึงกระนั้น ภิกษุ
ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจแห่งวิตก. เรื่องน้ำร้อนเรื่องแรกง่ายแล. ในเรื่อง
ที่ ๒ ภิกษุนั้นใคร่เพื่อจะปล่อย เอาน้ำร้อนสาดแล้วสาดอีกซึ่งนิมิตแล้ว
อาบน้ำ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรับอาบัติแก่เธอ. ในเรื่อง
ที่ ๓ เป็นถุลลัจจัยเพราะมีความพยายาม. เรื่องยาและเรื่องเกา มีเนื้อความ
กระจ่างทั้งนั้นแล.
พึงทราบวินิจฉัยในมัคควัตถุหลายเรื่อง ดังนี้:- เมื่อภิกษุรูปแรก
มีขาล่ำกำลังเดินทาง อสุจิได้เคลื่อน เพราะความเสียดสีในที่แคบ ไม่
เป็นอาบัติแก่เธอ เพราะไม่มีความประสงค์ในการให้เคลื่อน. สำหรับรูป
ที่สอง อสุจิได้เคลื่อนอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เป็นสังฆาทิเสส เพราะมี

120
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 121 (เล่ม 3)

ความประสงค์ในการให้เคลื่อน. รูปที่สาม อสุจิไม่เคลื่อน แต่เป็นถุล-
ลัจจัย เพราะมีความพยายาม. เพราะเหตุนั้น ภิกษุกำลังเดินทาง เมื่อ
ความกลัดกลุ้มเกิดขึ้น ไม่ควรเดินทาง พึงหยุดเดิน ยังจิตให้สงบโดย
มนสิการในอสุภเป็นต้น กำหนดกรรมฐานด้วยจิตบริสุทธิ์ แล้วจึงเดิน
ต่อไป ถ้าหยุดยืนแล้วไม่อาจบรรเทาได้ พึงแวะออกจากหนทาง นั่ง
บรรเทาแล้วเดินกำหนดกรรมฐานด้วยจิตบริสุทธิ์นั่นแล.
ในเรื่องฝักหัวไส้หลายเรื่อง พวกภิกษุเหล่านั้น จับหัวไส้*ให้แน่น
ปล่อย (เบา) ให้เต็มแล้ว ๆ ถ่ายปัสสาวะ เหมือนพวกเด็กชาวบ้าน.
ในเรื่องเรือนไฟเมื่อภิกษุอังท้องอยู่ มีความประสงค์จะให้เคลื่อนก็ดี
ไม่ประสงค์จะให้เคลื่อนก็ดี เมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว เป็นอนาบัติเหมือนกัน.
เมื่อกระทำบริกรรมอยู่ อสุจิเคลื่อนด้วยอำนาจแห่งการยังนิมิตให้เคลื่อน
ไหว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรับอาบัติในฐานะแห่งอาบัติ.
ในเรื่องเสียดสีด้วยขาหลายเรื่อง ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีอรรถกถา
อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับอาบัติแก่ภิกษุเหล่าใด, ภิกษุเหล่านั้น
บัณฑิตพึงทราบว่า เสียดสีอยู่โดยรอบองคชาต ให้ถูกต้ององคชาตนั้น
แล้ว. เรื่องสามเณรเป็นต้น มีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น.
ในเรื่องดัดกาย คำว่า กายํ ถมฺเภนฺตสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุ
นั่งนานหรือนอนนานก็ดี กระทำนวกรรมก็ดี แล้วดัดกายเพื่อแก้ความ
เมื่อขยบ.
*สารัตถทีปนี ๒/๒๖. วตฺถึ ทฬฺหํ คเหตฺวาติ องฺคชาตสฺส อคฺเค ปสฺสาวนิคฺคมนฐาเน จมฺมํ
ทฬฺหํ คเหตฺวา แปลว่า ข้อว่า จับหัวไส้ให้แน่นนั้น ได้แก่ จับที่ปลายองคชาต คือ หนังใน
ที่ซึ่งปัสสาวะไหลออกให้แน่น

121
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 122 (เล่ม 3)

พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องเพ่งดู ดังนี้:- แม้ถ้าว่า หญิงนั้นนุ่งผ้า
ตั้งร้อยชั้น ภิกษุยืนข้างหน้าก็ตาม ข้างหลังก็ตาม เพ่งดูว่า "นิมิตอยู่
ในโอกาสชื่อนี้" เป็นทุกกแท้. ก็เมื่อเพ่งดูนิมิตแห่งพวกเด็กหญิงชาว
บ้านผู้ไม่นุ่งผ้า จะต้องกล่าวอะไรเล่า ? ในนิมิตแม้แห่งสัตว์เดียรัจฉาน
ก็มีนัยเหมือนกันนี้. แต่เมื่อภิกษุไม่เหลียวไปข้างโน้นข้างนี้ เพ่งดูโดย
ประโยคเดียว แม้ตลอดทั้งวัน ก็เป็นทุกกฏตัวเดียวเท่านั้น. เมื่อเหลียวดู
ทางโน้นและทางนี้ เพ่งดูแล้ว ๆ เล่า ๆ เป็นทุกกฏทุก ๆ ประโยค. พระ-
วินัยธร ไม่พึงปรับด้วยอำนาจแห่งการลืมตาและหลับตา (กะพริบตา).
เมื่อเพ่งดูโดยบังเอิญ กลับพิจารณาแล้วตั้งอยู่ในสังวรอีก เป็นอนาบัติ.
เมื่อละสังวรนั้นแล้ว เพ่งดูอีก เป็นทุกกฏทีเดียว. เรื่องช่องลูกดาล
เป็นต้น มีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น .
ในเรื่องอาบน้ำหลายเรื่อง พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับอาบัติแก่พวก
ภิกษุผู้เอานิมิตฟาดกระแสน้ำ. แม้เรื่องน้ำโคลนหลายเรื่อง ก็มีนัยเหมือน
กันนี้. ก็ในเรื่องน้ำโคลนนี้ น้ำโคลนท่านเรียกว่า อุทัญชละ. เรื่อง
อื่น ๆ นอกนี้ทั้งหมดเรื่องวิ่งในน้ำเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยอุบายนี้
เหมือนกัน. ส่วนความแปลกกัน ในเรื่องบุปผาวลีย์ดังต่อไปนี้:- ถึงว่า
จะไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่มีความประสงค์ในอันให้เคลื่อน. แต่กระนั้น
ก็เป็นทุกกฏ เพราะการเล่นเป็นปัจจัย ดังนี้แล.
สุกกวิสัฏฐิสิกขาบทวรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ

122
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 123 (เล่ม 3)

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒
เรื่องพระอุทายี
[๓๗๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นท่าน
พระอุทายีอยู่ในป่า วิหารของท่านงดงาม น่าดู น่าชม มีห้องกลาง มี
ระเบียงโดยรอบ เตียงตั่งฟูกหมอน จัดไว้เรียบร้อย น้ำฉัน น้ำใช้ ตั้ง
ไว้ดีแล้ว บริเวณเตียนสะอาด ประชาชนเป็นอันมากพากันมาชมวิหาร
ของท่านพระอุทายี แม้พราหมณ์คนหนึ่งกับภรรยาก็เข้าไปหาท่านพระ-
อุทายี แล้วได้กล่าวกะท่านว่า พวกผมอยากชมวิหารของท่าน ท่าน
พระอุทายีกล่าวเชิญว่า ถ้าเช่นนั้น เชิญชมเถิดพราหมณ์ แล้วถือลูกดาล
ไขลิ่มผลักบานประตูเข้าไป
แม้พราหมณ์นั้นก็ตามหลังท่านพระอุทายีเข้าไป ส่วนพราหมณีตาม
หลังพราหมณ์เข้าไป ขณะนั้น ท่านพระอุทายีเดินไปเปิดบานหน้าต่างบาง
ตอน ปิดบานหน้าต่างบางตอนรอบห้อง แล้วย้อนมาทางหลัง จับอวัยวะ
น้อยใหญ่ของพราหมณีนั้น
ครั้น พราหมณ์นั้นสนทนากับ ท่านพระอุทายีแล้ว ก็ลากลับไป
พราหมณ์นั้นดีใจเปล่งวาจาแสดงความยินดีว่า พระสมณะเธอสายพระ-
ศากยบุตรเหล่านี้ อยู่ในป่าเช่นนี้ ยังมีอัธยาศัยดี แม้ท่านพระอุทายีอยู่ใน-
ป่าเช่นนี้ ก็ยังมีอัธยาศัยดี
เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนั้นแล้ว พราหมณีได้กล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า
พระอุทายีจะมีอัธยาศัยดีแค่ไหน เพราะพระอุทายีได้จับอวัยวะน้อยใหญ่
ของดิฉันเหมือนที่ท่านจับดิฉัน

123