No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 54 (เล่ม 27)

เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ทุกขสูตรที่ ๒
๖. อนัตตสูตรที่ ๒
ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์ ๕
[๔๔] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป
เป็นอนัตตา รูปนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นรูปนั้น นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา
ข้อนี้ อริยสาวกพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้
เวทนาเป็นอนัตตา ฯลฯ สัญญาเป็นอนัตตา ฯลฯ สังขารเป็นอนัตตา ฯลฯ
วิญญาณเป็นอนัตตา ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ อนัตตสูตรที่ ๒
๗. อนิจจเหตุสูตร
ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งเหตุปัจจัย
[๔๕] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง
แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้นก็ไม่เที่ยง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปที่เกิดจาก
สิ่งที่ไม่เที่ยง ที่ไหนจักเที่ยงเล่า เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ

54
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 55 (เล่ม 27)

สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้น
ก็ไม่เที่ยง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เกิดจากสิ่งไม่เที่ยง ที่ไหนจะ
เที่ยงเล่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ อนิจจเหตุสูตร
๘. ทุกขเหตุสูตร
ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งเหตุปัจจัย
[๔๖] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นทุกข์ แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปที่เกิดจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ฯลฯ ที่ไหนจะเป็นสุขเล่า เวทนาเป็นทุกข์
ฯลฯ สัญญาเป็นทุกข์ ฯลฯ สังขารเป็นทุกข์ ฯลฯ วิญญาณเป็นทุกข์ แม้เหตุ
ปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เกิดจาก
สิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจักเป็นสุขเล่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่
อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่
ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ทุกขเหตุสูตร
๙. อนัตตเหตุสูตร
ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งเหตุปัจจัย
[๔๗] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้นก็เป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุ

55
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 56 (เล่ม 27)

ทั้งหลาย รูปเกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า เวทนา
เป็นอนัตตา ฯลฯ สัญญาเป็นอนัตตา ฯลฯ สังขารเป็นอนัตตา ฯลฯ
วิญญาณเป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้นก็เป็นอนัตตา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไหนจักเป็น
อัตตาเล่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ อนัตตเหตุสูตร
๑๐. อานันทสูตร
ว่าด้วยความดับแห่งขันธ์ ๕
[๔๘] กรุงสาวัตถี. ในอาราม ฯลฯ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความดับเรียกว่านิโรธ ความดับแห่งธรรม
เหล่าไหนแล เรียกว่านิโรธ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์
รูปแลเป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความ
สิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็น
ธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา ความดับแห่งรูปนั้น เรียกว่านิโรธ
เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณ
ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไป

56
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 57 (เล่ม 27)

เป็นธรรมดา ความดับแห่งวิญญาณนั้น เรียกว่านิโรธ ดูก่อนอานนท์
ความดับแห่งธรรมเหล่านี้แล เรียกว่านิโรธ
จบ อานันทสูตร
จบ อนิจจวรรคที่ ๒
อรรถกถาอานันทสูตรที่ ๑๐
พระสูตรสุดท้ายในอนิจจวรรค เป็นไปด้วยอำนาจคำถามบท
ที่เหลือ พระองค์ทรงแสดงด้วยอำนาจแห่งผู้มีปัญญาตรัสรู้โดยประการนั้น ๆ.
จบ อรรถกถาอานันทสูตรที่ ๑๐
จบ อรรถกถาอนิจวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. อนิจจสูตรที่ ๑ ๒. ทุกขสูตรที่ ๑ ๓. อนัตตสูตรที่ ๑
๔. อนิจจสูตรที่ ๒ ๕. ทุกขสูตรที่ ๒ ๖. อนัตตสูตรที่ ๒ ๗. อนิจจ-
เหตุสูตร ๘. ทุกขเหตุสูตร ๙. อนัตตเหตุสูตร ๑๐. อานันทสูตร

57
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 58 (เล่ม 27)

ภารวรรคที่ ๓
๑. ภารสูตร
ว่าด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระ
[๔๙] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงภาระ ผู้แบกภาระ การถือภาระ และการวางภาระ
แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า ภาระ คืออุปาทาน
ขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน คือ อุปาทานขันธ์ คือรูป อุปาทานขันธ์
คือ เวทนา อุปาทานขันธ์ คือสัญญา อุปาทานขันธ์ คือ สังขาร และ
อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาระ.
[๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้แบกภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า
บุคคลบุคคลนี้นั้น คือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย นี้เรียกว่า ผู้แบกภาระ.
[๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การถือภาระเป็นไฉน ตัณหานี้ใด
นำให้เกิดภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน
มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา
วิภวตัณหา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการถือภาระ.

58
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 59 (เล่ม 27)

[๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การวางภาระเป็นไฉน ความที่
ตัณหานั่นแล ดับไปด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละคืน
ความพ้น ความไม่อาลัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการวางภาระ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้
จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกในภายหลังว่า
[๕๓] ขันธ์ ๕ ชื่อว่าภาระแล และผู้แบกภาระคือบุคคล การถือ
ภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข
บุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้ว ไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อมทั้ง
มูลรากแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้.
จบ ภารสูตรที่ ๑
อรรถกถาภารวรรคที่ ๓
อรรถกถาภารสูตรที่ ๑
ภารวรรค ภารสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ปญฺจุปาทานกฺขนฺ-
ธาติสฺส วจนียํ ตัดเป็น ปญฺจุปาทานกฺขนฺขา อิติ อสฺส วจนียํ ความว่า
เป็นข้อที่จะพึงตรัสอย่างนั้น. บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ภาโร ความว่า
อุปาทานขันธ์ ๕ ท่านกล่าวว่าเป็นภาระ. ถามว่า ด้วยอรรถว่ากระไร?
แก้ว่า ด้วยอรรถว่าเป็นภาระที่จะต้องบริหาร. จริงอยู่ อุปาทานขันธ์ ๕
เหล่านั้น จำต้องบริหารด้วยการให้ยืน ให้เดิน ให้นั่ง ให้นอน ให้อาบน้ำ
แต่งตัว ให้เคี้ยว ให้กิน เป็นต้น จึงชื่อว่าเป็นภาระ(ของหนัก) เพราะฉะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า ภาระเพราะอรรถว่าเป็นภาระจะต้องบริหาร.

59
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 60 (เล่ม 27)

บทว่า เอวํนาโม ได้แก่มีชื่อเป็นต้นว่า ติสสะ ว่าทัตตะ บทว่า
เอวํโคตฺโต ได้แก่ มีโคตรเป็นต้นว่า กัจจายนโคตร วัจฉายนโคตร.
ดังนั้น ทรงแสดงบุคคลที่สำเร็จเพียงโวหาร ให้ชื่อว่า ภารหาระ-
ผู้แบกภาระ จริงอยู่บุคคล ยกขันธภาระขึ้นในขณะปฏิสนธินั้นเอง
แล้วให้ขันธ์นี้ อาบ บริโภค นั่ง นอน บนเตียงและตั่ง ที่อ่อนนุ่มแล้ว
บริหาร ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง จนตลอดชีวิต
แล้วทิ้งไปในจุติขณะ ยึดเอาขันธ์อื่นในปฏิสนธิขณะอีก เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่าผู้แบกภาระ.
บทว่า โปโนพฺภวิกา ได้แก่ที่เกิดในภพใหม่. บทว่า นนฺทิราคสหคตา
ได้แก่ถึงความเป็นอันเดียวกันกับนันทิราคะนั่นเอง ในที่นี้ท่านประสงค์ว่า
เกิดพร้อมกับความเป็นนันทิราคะนั้น. บทว่า ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี ได้แก่
มีปกติยินดีในที่เกิดหรือในอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้นๆ. ในกามตัณหา
เป็นต้น ความยินดีอันเป็นไปในกามคุณ ๕ ชื่อว่า กามตัณหา ความยินดี
ในรูปภพและอรูปภพ ความติดอยู่ในฌาน ความยินดีที่เกิดพร้อมด้วย
สัสสตทิฏฐิ นี้ชื่อว่า ภวตัณหา ความยินดีที่เกิดพร้อมกับอุจเฉททิฏฐิ
ชื่อว่า วิภวตัณหา. บทว่า ภาราทานํ ได้แก่ การถือภาระ. จริงอยู่บุคคลนี้
ย่อมถือภาระด้วยตัณหา.
บทว่า อเสสวิราคนิโรโธเป็นต้นทั้งหมดเป็นไวพจน์ของนิพพาน
นั้นเอง. จริงอยู่ ตัณหามาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมคลายความยินดี
ย่อมดับ ย่อมละขาด ย่อมสละคืน ย่อมหลุดพ้น โดยไม่มีส่วนเหลือ
ก็ในพระนิพพานนี้ไม่มีอาลัยคือกาม หรืออาลัยคือทิฏฐิ ฉะนั้น
พระนิพพานจึงได้ชื่อเหล่านี้. บทว่า สมูลํ ตณฺหํ ความว่า อวิชชาชื่อว่า

60
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 61 (เล่ม 27)

เป็นมูลของตัณหา. บทว่า อพฺพุยฺห ได้แก่ ถอนตัณหานั้นพร้อมทั้งราก
ด้วยอรหัตตมรรค. บทว่า นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ความว่า ผู้ออกจากตัณหา
จะเรียกว่า ผู้ปรินิพพานแล้ว ก็ควรแล.
จบ อรรถกถาภารสูตรที่ ๑
๒. ปริญญาสูตร
ว่าด้วยธรรมที่ควรกำหนดรู้และความกำหนดรู้
[๕๔] กรุงสาวัตถีฯ ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงธรรมที่ควรกำหนดรู้และความกำหนดรู้ เธอทั้งหลายจงฟัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
เป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าธรรมที่
ควรกำหนดรู้.
[๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความกำหนดรู้เป็นไฉน คือ
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความกำหนดรู้.
จบ ปริญญาสูตรที่ ๒
อรรถกถาปริญญาสูตรที่ ๒
ในปริญญาสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปริญฺเญยฺเย แปลว่า พึงกำหนดรู้ อธิบายว่า พึงก้าวล่วง
ด้วยดี. บทว่า ปริญฺญํ ได้แก่กำหนดรู้ล่วงส่วน อธิบายว่า ก้าวล่วงด้วยดี.

61
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 62 (เล่ม 27)

บทว่า ราคกฺขโย เป็นต้น เป็นชื่อของพระนิพพาน. จริงอยู่ พระนิพพาน
นั้นชื่อว่ากำหนดรู้ล่วงส่วน.
จบ อรรถกถาปริญญาสูตรที่ ๒
๓. ปริชานสูตร
ว่าด้วยผู้ไม่ควรและผู้ควรสิ้นทุกข์
[๕๖] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลเมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้ ไม่หน่าย ไม่ละซึ่งรูป เป็นผู้ไม่ควรเพื่อ
สิ้นทุกข์ บุคคลเมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้ ไม่หน่าย ไม่ละซึ่งเวทนา
ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อสิ้นทุกข์.
[๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้
เมื่อหน่าย เมื่อละได้ซึ่งรูป จึงเป็นผู้ควรเพื่อสิ้นทุกข์ บุคคลเมื่อรู้ยิ่ง
เมื่อกำหนดรู้ เมื่อหน่าย เมื่อละได้ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร
ซึ่งวิญญาณ จึงเป็นผู้ควรเพื่อสิ้นทุกข์.
จบ ปริชานสูตรที่ ๓
อรรถกถาปริชานสูตรที่ ๓
ในปริชานสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า อภิชานํ ได้แก่รู้ยิ่ง ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวหมายเอา
ญาตปริญญา ด้วยบทที่ ๒ ท่านกล่าวหมายเอาติรณปริญญา ด้วย

62
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 63 (เล่ม 27)

บทที่ ๓ และที่ ๔ ท่านกล่าวหมายเอาปหานปริญญา รวมความว่า
ในสูตรนี้ ท่านกล่าวปริญญา ๓ อย่างแล.
จบ อรรถกถาอภิชานสูตรที่ ๓
๔. ฉันทราคสูตร
ว่าด้วยการละฉันทราคะในขันธ์ ๕
[๕๘] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงละฉันทราคะในรูปเสีย ด้วยการละอย่างนี้ รูปนั้นจักเป็น
อันเธอทั้งหลายละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ทำให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงละ
ฉันทราคะในเวทนาเสีย ฯลฯ เธอทั้งหลายจงละฉันทราคะในสัญญาเสีย
ฯลฯ เธอทั้งหลายจงละฉันทราคะในสังขารเสีย ฯลฯ เธอทั้งหลายจงละ
ฉันทราคะในวิญญาณเสีย ด้วยการละอย่างนี้ วิญญาณนั้นจักเป็นอัน
เธอทั้งหลายละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ทำให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
จบ ฉันทราคสูตรที่ ๔
๕. อัสสาทสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความปริวิตกของพระโพธิสัตว์เกี่ยวกับขันธ์ ๕
[๕๙] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก่อนแต่ตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตก
อย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็นคุณของรูป อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นเครื่อง

63