No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 44 (เล่ม 27)

แปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป วิญญาณจึงไม่มีความหมุนเวียนไปตาม
ความแปรปรวนแห่งวิญญาณ ความสะดุ้งและความบังเกิดขึ้นแห่งธรรม
ที่เกิดแต่ความหมุนเวียนไปตามความแปรปรวนแห่งวิญญาณ ย่อม
ไม่ครอบงำจิตของอริยสาวกนั้นตั้งอยู่ เพราะจิตไม่ถูกครอบงำ
อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีความหวาดเสียว ไม่มีความลำบากใจ ไม่มี
ความห่วงใย และไม่สะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความไม่สะดุ้งเพราะความไม่ถือมั่น ย่อมมีอย่างนี้แล.
จบ อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๗
อรรถกถาอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๗
ในอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า อุปาทานปริตสฺสนํ ได้แก่ ความสะดุ้งที่เกิดขึ้นเพราะ
ความยึดถือ. บทว่า อนุปาทานอปริตสฺสนํ ได้แก่ ความไม่สะดุ้งที่เกิดขึ้น
เพราะความไม่ยืดถือ. บทว่า รูปวิปริณามานุวตฺติ ความว่า กรรมวิญญาณ
ย่อมเป็นธรรมชาติหมุนเวียนไปตามความแตกแห่งรูปโดยนัยเป็นต้นว่า
รูปของเราแปรไปแล้วดังนี้ หรือว่ารูปนี้ได้เคยมีแก่เราแล้ว มาบัดนี้
รูปนี้ไม่มีแก่เราหนอดังนี้ บทว่า วิปริณามานุปริวตฺติ ได้แก่ อันเกิดแต่จิต
ที่มีความแปรปรวนเป็นอารมณ์โดยหมุนเวียนไปตามรูปที่แปรปรวนไป.
บทว่า ปริตสฺสนาธมฺมสมุปฺปาทา ได้แก่ ความสะดุ้งเพราะตัณหาและ
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งอกุศลธรรม. บทว่า จิตฺตํ ได้แก่ กุศลจิต. บทว่า
ปริยาทาย ติฏฺฐนฺติ ได้แก่ ครอบงำตั้งอยู่. บทว่า อุตฺตาสวา ได้แก่

44
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 45 (เล่ม 27)

มีความสะดุ้ง. บทว่า วิฆาตวา ได้แก่ มีความคับแค้นคือมีความทุกข์.
บทว่า อเปกฺขวา ได้แก่ มีความอาลัย. บทว่า อุปาทาย จ ปริตสฺสติ ได้แก่
เป็นผู้ชื่อว่า สะดุ้งเพราะยึดถือ. บทว่า น รูปวิปริณามานุปริวตฺติ ได้แก่
กรรมวิญญาณนั่นแหละไม่มีแก่พระขีณาสพ เพราะฉะนั้น การพูดว่า
ความหมุนเวียนไปตามความแตกแห่งรูป ย่อมไม่มี ดังนี้จึงถูกต้อง.
จบ อรรถกถาอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๗
๘. อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๒
ว่าด้วยความสะดุ้งและไม่สะดุ้ง
[๓๔] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราจัก
แสดงความสะดุ้งเพราะความถือมั่น และความไม่สะดุ้งเพราะความไม่
ถือมั่นแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความสะดุ้งเพราะความถือมั่น ย่อมมีอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ ย่อมตามเห็นรูปว่า
นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา รูปของเขานั้น ย่อม
แปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น ย่อมเห็นเวทนาว่า
นั่นของเรา ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญาว่า นั่นของเรา ฯลฯ ย่อมเห็นสังขาร
ทั้งหลายว่า นั่นของเรา ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น
นั่นเป็นตัวตนของเรา วิญญาณของเขานั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็น
อย่างอื่นไป เพราะวิญญาณแปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป โสกะ

45
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 46 (เล่ม 27)

ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความสะดุ้งเพราะความถือมั่น ย่อมมีอย่างนี้แล.
[๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความไม่สะดุ้งเพราะความไม่ถือมั่น
ย่อมมีอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ผู้ได้สดับ
แล้ว ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่
ตัวตนของเรา รูปของอริยสาวกนั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป
เพราะรูปแปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาว่า นั่นไม่ใช่ของเรา
ฯลฯ ย่อมพิจารณาเห็นสัญญาว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ฯลฯ ย่อมพิจารณาเห็น
สังขารว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ฯลฯ ย่อมพิจารณาเห็นวิญญาณว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา วิญญาณของ
อริยสาวกนั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป เพราะวิญญาณ
แปรปรวน และเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ
อุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สะดุ้งเพราะความ
ไม่ถือมั่น ย่อมมีอย่างนี้แล.
จบ อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๘
อรรถกถาอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๘
ในทุติยอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๘ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงพระธรรมเทศนาด้วยอำนาจตัณหา มานะและทิฏฐิ. พระองค์
ตรัสเฉพาะวัฏฏะและวิวัฏฏะในสูตรทั้ง ๔ ตามลำดับ ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๘

46
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 47 (เล่ม 27)

๙ อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕ ในสามกาล
[๓๖] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปที่
เป็นอดีต อนาคต ไม่เที่ยง จักกล่าวถึงรูปที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มี
ความอาลัยในรูปที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินรูปที่เป็นอนาคต ย่อมเป็น
ผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับรูปที่เป็น
ปัจจุบัน เวทนาที่เป็นอดีต เวทนา ที่เป็นอนาคต ไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญา
ที่เป็นอดีต สัญญาที่เป็นอนาคตไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารที่เป็นอดีต สังขารที่
เป็นอนาคตไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณที่เป็นอดีต วิญญาณที่เป็นอนาคต
ไม่เที่ยง จักกล่าวถึงวิญญาณที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยใน
วิญญาณที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินวิญญาณที่เป็นอนาคต ย่อมเป็น
ผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับวิญญาณ
ที่เป็นปัจจุบัน.
จบ อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๑
อรรถกถาอตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๑
ในกาลัตตยอนิจจสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า โก ปน วาโท ปจฺจุปฺปนฺนสฺส ความว่า ในปัจจุบัน
ไม่จำต้องกล่าวถึงเลย. รูปนั้นก็คงยังเป็นของไม่เที่ยงอยู่นั่นเอง.
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นกำหนดว่า รูปที่เป็นอดีตอนาคตไม่เที่ยง จึง

47
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 48 (เล่ม 27)

ลำบากในปัจจุบัน. ลำดับนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวถึงรูปที่เป็นอดีต
และอนาคตจากรูปปัจจุบันนี้ว่า รูปที่เป็นปัจจุบันเป็นของไม่เที่ยง
ดังนี้ พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยว่า จักตรัสรู้จึงทรงแสดง
พระธรรมเทศนานี้ตามอัธยาศัยของบุคคล.
จบ อรรถกถาอตีตานาคตปัจจุบันสูตรที่ ๑
๑๐. อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๒
ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์ ๕ ในสามกาล
[๓๗] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคตเป็นทุกข์ จักกล่าวถึงรูปที่เป็นปัจจุบัน
ไปไยเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในรูปที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินรูปที่เป็น
อนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อ
ความดับรูปที่เป็นปัจจุบัน เวทนาที่เป็นอดีต เวทนาที่เป็นอนาคต
เป็นทุกข์ ฯลฯ สัญญาที่เป็นอดีต สัญญาที่เป็นอนาคต เป็นทุกข์ ฯลฯ
สังขารที่เป็นอดีต สังขารที่เป็นอนาคต เป็นทุกข์ ฯลฯ วิญญาณที่เป็น
อดีต วิญญาณที่เป็นอนาคต เป็นทุกข์ จักกล่าวถึงวิญญาณที่เป็นปัจจุบันไปไย
เล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็น
ผู้ไม่มีความอาลัยในวิญญาณที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินวิญญาณที่เป็น
อนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อ
ความดับวิญญาณที่เป็นปัจจุบัน.
จบ อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๒

48
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 49 (เล่ม 27)

๑๑. อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๓
ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์ ๕ ในสามกาล
[๓๘] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา จักกล่าวถึงรูปที่เป็นปัจจุบัน
ไปไยเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในรูปที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินในรูปที่เป็น
อนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อ
ความดับรูปที่เป็นปัจจุบัน เวทนาที่เป็นอดีต เวทนาที่เป็นอนาคต
เป็นอนัตตา ฯลฯ สัญญาที่เป็นอดีต สัญญาที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา
ฯลฯ สังขารที่เป็นอดีต สังขารที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา ฯลฯ วิญญาณ
ที่เป็นอดีต วิญญาณที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา จักกล่าวถึงวิญญาณที่
เป็นปัจจุบันไปไยเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในวิญญาณที่เป็นอดีต
ไม่เพลิดเพลินวิญญาณที่เป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับวิญญาณที่เป็นปัจจุบัน.
จบ อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๓
จบ นกุลปิตุวรรคที่ ๑
๑ - ๑๑ อรรถกถาอตีตานาคตปัจจุปันนสูตร
สูตรที่ ๑ และสูตรที่ ๑๑ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตามอัธยาศัย
ของบุคคลเห็นปานนั้นแลให้พิเศษออกไป ด้วยบทว่า ทุกฺขํ อนตฺตา ดังนี้
จงอรรถกถาอตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๑ - ๑๑
จบอรรถกถานกุลปิตุวรรคที่ ๑

49
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 50 (เล่ม 27)

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. นกุลปิตสูตร ๒. เทวทหสูตร ๓. หลิททิกานิสูตรที่ ๑
๔. หลิททิกานิสูตรที่ ๒ ๕. สมาธิสูตร ๖. ปฏิสัลลานสูตร ๗. อุปาทาน
ปริตัสสนาสูตรที่ ๑ ๘. อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ ๒ ๙. อตีตานาคต-
ปัจจุปันนสูตรที่ ๑ ๑๐. อตีตานาคตปัจจุปันนสูตรที่ ๒ ๑๑. อตีตานาคต-
ปัจจุปันนสูตรที่ ๓

50
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 51 (เล่ม 27)

อนิจจวรรคที่ ๒
๑. อนิจจสูตรที่ ๑๑
ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕
[๓๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง
วิญญาณไม่เที่ยง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่
อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร
แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว อริยสาวก
นั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ อนิจจสูตรที่ ๑
๒. ทุกขสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์ ๕
[๔๐] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ วิญญาณ
๑. สูตรที่ ๑ - ๙ ไม่มีอรรถกถา

51
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 52 (เล่ม 27)

เป็นทุกข์ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ทุกขสูตรที่ ๑
๓. อนัตตสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์ ๕
[๔๑] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา
วิญญาณเป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ใน
สังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลาย
กำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จ
แล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ อนัตตสูตรที่ ๑
๔. อนิจจสูตรที่ ๒
ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕
[๔๒] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็น

52
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 53 (เล่ม 27)

อนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นสิ่งนั้น
นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้ อริยสาวกพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ
สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา
เราไม่เป็นสิ่งนั้น นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวกพึงเห็นด้วย
ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็น
อยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่
ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ อนิจจสูตรที่ ๒
๕. ทุกขสูตรที่ ๒
ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์ ๕
[๔๓] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น
ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นสิ่งนั้น นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวก
พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ เวทนาเป็นทุกข์
ฯลฯ สัญญาเป็นทุกข์ ฯลฯ สังขารเป็นทุกข์ ฯลฯ วิญญาณเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา
เราไม่เป็นสิ่งนั้น นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวกพึงเห็นด้วย
ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว

53