No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 787 (เล่ม 26)

เหล่านั้นทูลว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น แม้พวกหม่อมฉันก็จักบวช. ภริยาทั้งหมด
พากันเทียมรถออกไป.
ฝ่ายพระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์พันหนึ่งเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำคงคา ใน
เวลานั้น แม่น้ำคงคาเต็มเปี่ยม. ลำดับนั้น พวกเขาเห็นดังนั้นจึงคิดว่า
แม่น้ำคงคานี้เต็มเปี่ยม คลาคล่ำไปด้วยปลาร้าย และพวกทาสหรือมนุษย์
ที่มากับพวกเรา ที่จะทำเรือหรือแพให้พวกเราก็ไม่มี ก็ขึ้นชื่อว่าคุณของ
พระศาสดานี้ แผ่ไปเบื้องล่างถึงอเวจี เบื้องบนถึงภวัคคพรหม ถ้าพระ-
ศาสดานี้เป็นพระสัมมาสมพุทธะ ขอให้หลังกีบม้าเหล่านี้จงอย่าเปียก
ดังนี้แล้ว จึงให้ม้าวิ่งไปบนผิวน้ำ. แม้เพียงหลังกีบม้าตัวหนึ่งก็ไม่เปียก.
พวกเขาเหมือนไปตามทางที่เสด็จถึงฝั่งข้างโน้น แล้วถึงแม่น้ำใหญ่สายอื่น
ข้างหน้า. ในที่นั้นไม่มีสัจกิริยาอย่างอื่น พวกเขาข้ามแม่กว้างกึ่งโยชน์
แม้นั้นด้วยสัจกิริยานั้นเอง. ลำดับนั้น พวกเขาถึงแม่น้ำใหญ่สายที่ ๓
ชื่อจันทภาคา ได้ข้ามแม่น้ำนั้นด้วยสัจกิริยานั้นนั่นเอง.
วันนั้นเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ
ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นว่า วันนี้พระเจ้ามหากัปปิยนะทรงละราช-
อาณาจักรสามร้อยโยชน์ แวดล้อมไปด้วยอำมาตย์พันหนึ่งมาเพื่อบวชใน
สำนักของเรา พระดำริว่า เราควรต้อนรับพวกเขา ทรงชำระพระวรกาย
แต่เช้าตรู่ มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จบิณฑบาต ณ กรุงสาวัตถี หลัง
จากเสวยพระกระยาหารแล้วเสด็จกลับจากบิณฑบาต พระองค์เองทรงถือ
บาตรและจีวร เสด็จเหาะไปประทับนั่งขัดสมาธิดำรงพระสติมั่นเปล่งพระ-
พุทธฉัพพรรณรังสี ณ ที่ต้นไทรใหญ่ซึ่งมีอยู่ในที่ตรงท่าข้ามของพวกเขา
เหล่านั้น ริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคา. ตรงเท่านั้น พวกเขาแลดูพระพุทธ-

787
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 788 (เล่ม 26)

ฉัพพรรณรังสีซึ่งเปล่งปลั่งวูบวาบแวววาว เห็นพระพักตร์ของพระทศพล
มีสิริดังจันทร์เพ็ญ จึงตกลงใจด้วยการเห็นนั่นแหละว่า พระศาสดาที่
พวกเราบวชอุทิศนั้นเป็นองค์นี้แน่ จึงน้อมกายลงถวายบังคมตั้งแต่ที่เห็น
พากันมาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว. พระราชาทรงจับข้อพระพุทธบาท
ทั้งสองตาบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่งพร้อมด้วยอำมาตย์
พันหนึ่ง. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระราชาและอำมาตย์เหล่านั้น.
เวลาจบทศนา พวกเขาทั้งหมดดังอยู่ในพระอรหัต ทูลขอบรรพชา
กะพระศาสดา. พระศาสดาทรงทราบว่า พวกนี้ถือจีวรของตนมาทีเดียว
เพราะเคยถวายจีวรทาน จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ซึ่งมีวรรณะดั่งทอง ตรัส
ว่า จงเป็นภิกษุเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อ
ให้สิ้นสุดกองทุกข์โดยชอบเถิด. เป็นอันท่านผู้มีอายุเหล่านั้นได้บรรพชา
และอุปสมบทแล้ว. ท่านเหล่านั้นเป็นเหมือนพระเถระมีพรรษา ๖๐ แวด
ล้อมพระศาสดา.
ฝ่ายพระอโนชาเทวีมีรถพันหนึ่งเป็นบริวารเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำคงคา
มิได้เห็นเรือหรือแพที่มาเป็นประโยชน์แก่พระราชา โดยที่พระนางเป็น
หญิงฉลาด จึงมีพระดำริว่า พระราชจักทรงทำสัจกิริยาเสด็จไป ก็พระ-
ศาสดานั้นมิได้ทรงบังเกิดเพื่อประโยชน์แก่พระราชาและอำมาตย์เหล่านั้น
พวกเดียวเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้ ถ้าพระศาสดานั้นเป็นพระสัมมา-
สัมพุทธะ ขอให้รถทั้งหลายของพวกเราอย่าได้จมน้ำ ดังนี้แล้วให้รถแล่น
ไปบนผิวน้ำ . แม้เพียงกงรถก็ไม่เปียก. แม้แม่น้ำสายที่ ๒ และที่ ๓
พระนางก็ข้ามได้ด้วยสัจกิริยานั้นนั่นเอง เมื่อกำลังข้ามแม่น้ำอยู่นั่นแล
พระนางได้ทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาที่โคนต้นไทร. พระศาสดามี

788
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 789 (เล่ม 26)

พระดำริว่า เมื่อหญิงเหล่านี้เห็นสามีของตนฉันทราคะจะเกิดขึ้นทำอันตราย
ต่อมรรคผล แต่ฉันทราคะนั้นจักไม่อาจทำอันตรายอย่างนี้ได้ ได้ทรง
กระทำโดยวิธีพวกเขาจะเห็นกันและกันไม่ได้. หญิงเหล่านั้นทั้งหมดขึ้น
จากท่า นั่งถวายบังคมพระทศพล. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่หญิง
เหล่านั้น. เวลาจบเทศนา หญิงทั้งหมดดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วจึงได้
เห็นกันและกัน. พระศาสดาทรงพระดำริว่า ขออุบลวรรณาจงมา.
พระอุบลวรรณาเถรีมาแล้ว ให้หญิงทั้งหมดบรรพชาแล้วพาไปสำนักนาง
ภิกษุณี. พระศาสดาพาภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปเหาะไปพระเชตวัน. ท่านหมาย
เอาพระมหากัปปินะนี้ จึงได้กล่าวคำนี้ว่า มหากปฺปิโนติ เอวํนามโก
อภิญฺญาพลปฺปตฺโต อสีติมหาสาวกานํ อพฺภนฺตโร มหาเถโร ดังนี้.
บทว่า ชเนตสฺมึ แปลว่า ในชุมชนผู้ให้กำเนิด อธิบายว่า ใน
หมู่สัตว์. บทว่า เย โคตฺตปฏิสาริโน ความว่า บรรดาผู้ที่ยึดถือคือ
ปฏิบัติญาณโคตรว่า พวกเราเป็นวาเสฏชโคตร ดังนี้เป็นต้น กษัตริย์
เป็นผู้ประเสริฐที่สุด. บทว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ได้แก่ผู้ประกอบด้วย
วิชชา ๘ ประการ และจรณธรรม ๑๕ ประเภท. บทว่า ตปติ แปลว่า
ย่อมไพโรจน์. บทว่า ฌายี ตปติ พฺราหฺมโณ ความว่า พราหมณ์
ผู้เป็นขีณาสพเพ่งฌานสองอย่างย่อมไพโรจน์ยิ่ง ก็ขณะนั้น พระกาฬุทายี-
เถระนั่งเพ่งฌานสองอย่างอยู่ในที่ไม่ไกล. บทว่า พุทฺโธ ตปติ ความว่า
พระสัพพัญญูพุทธเจ้าย่อมไพโรจน์. ได้ยินว่า นี้เป็นมงคลคาถาทั้งหมด.
เล่ากันว่า พระเจ้าภาติกราชให้ทำการบูชาอย่างหนึ่งแล้ว ตรัสกะ
ผู้เป็นอาจารย์ว่า ขอท่านจงบอกชัยมงคลอย่างหนึ่งที่ไม่พ้นจากพระรัตน-
ตรัย. ผู้เป็นอาจารย์พิจารณาถึงพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก เมื่อจะ

789
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 790 (เล่ม 26)

กล่าวมงคลคาถานี้ กล่าวว่า ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ พระอาทิตย์สว่างใน
กลางวัน ดังนี้แล้ว ประคองอัญชลีแก่พระอาทิตย์ที่ตกไปอยู่ กล่าวว่า
รตฺติมาภาติ จนฺทิมา พระจันทร์ที่สว่างในกลางคืน ดังนี้แล้วประคอง
อัญชลีแก่พระจันทร์ที่กำลังขึ้น กล่าวว่า สนฺนทฺโธ ขตฺติโย ตปติ
กษัตริย์ทรงสวมเกราะย่อมงามสง่า ดังนี้แล้วประคองอัญชลีแก่พระราชา
กล่าวว่า ฌายี ตปติ พฺราหฺมโณ พราหมณ์ผู้เพ่งฌานย่อมรุ่งเรือง
ดังนี้แล้วประคองอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ กล่าวว่า พุทฺโธ ตปติ เตชสา
พระพุทธเจ้าย่อมรุ่งเรืองด้วยเดช ดังนี้แล้วประคองอัญชลีแก่มหาเจดีย์.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะท่านผู้เป็นอาจารย์ว่า ท่านอย่าลดมือลง แล้ว
ทรงมอบทรัพย์พันหนึ่งไว้ในมือที่ยกขึ้นนั่นแล.
จบอรรถกถากัปปินสูตรที่ ๑๑
๑๒. สหายสูตร
ว่าด้วยเรื่องภิกษุเป็นเพื่อนกัน ๒ รูป
[๗๒๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ภิกษุผู้เป็นเพื่อนกัน
๒ รูป ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของท่านพระมหากัปปินะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.

790
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 791 (เล่ม 26)

[๗๒๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเธอทั้งสองมา
อยู่แต่ไกล จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอเห็นภิกษุสหาย ๒ รูป ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของมหากัปปินะกำลังมา
อยู่นั่นหรือไม่.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ๒ รูปนั้นแล มีฤทธิ์มาก มี
อานุภาพมาก แต่ไม่ได้สมาบัติที่เธอไม่เคยเข้าง่ายนัก เธอทั้งสองกระทำ
ให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ยันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกบวช
เป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่.
[๗๒๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-
กรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ภิกษุเหล่านี้เป็นสหายกัน เป็นผู้มีความรู้คู่เคียงกัน
มาตลอดกาลนาน สัทธรรมของเธอเหล่านั้นย่อม
เทียบเคียงได้ในธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศแล้ว
เธออันกัปปินะแนะนำดีแล้วในธรรมที่พระอริยเจ้า
ประกาศแล้ว เธอทั้งสองชำนะมารพร้อมทั้งพาหนะ
ได้แล้ว ย่อมทรงไว้ ซึ่งอัตภาพมีในที่สุด ดังนี้.
จบสหายสูตรที่ ๑๒
จบภิกขุสังยุตที่ ๙

791
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 792 (เล่ม 26)

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. โกลิตสูตร ๒. อุปติสสสูตร ๓. ฆฏสูตร
๔. นวสูตร ๕. สุชาตสูตร ๖. ภัททิยสูตร
๗. วิสาขสูตร ๘. นันทสูตร ๙. ติสสสูตร
๑๐. เถรนามสูตร ๑๑. กัปปินสูตร ๑๒. สหายสูตร
รวมสังยุตที่มีในนิทานวรรค
๑. อภิสมยสังยุต ๒. ธาตุสังยุต ๓. อนมตัคคสังยุต
๔. กัสสปสังยุต ๕. ลาภสักการสังยุต ๖. ราหุลสังยุต
๗. ลักขณสังยุต ๘. โอปัมมสังยุต ๙. ภิกขุสังยุต
จบสังยุตตนิกาย นิทานวรรค
อรรถกถาสหายสูตรที่ ๑๒
ในสหายกสูตรที่ ๑๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า จิรรตฺตํ สเมนิกา ได้แก่ เป็นผู้มีลัทธิตั้งอยู่เสมอกัน คู่
เคียงกันแม้ตลอดกาลนาน. ได้ยินว่า บรรพชิตเหล่านั้นได้เที่ยวไปร่วมกัน
ตลอดห้าร้อยชาติ. บทว่า สเมติ เนสํ สทฺธมฺโม ความว่า บัดนี้
ศาสนธรรมนี้ของบรรพชิตเหล่านั้น เทียบเท่ากันเสมอกัน. บทว่า ธมฺเม
พุทฺธปฺปเวทิเต ความว่า ในธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว
อธิบายว่า ศาสนธรรมย่อมงามด้วยธรรมนั้น. บทว่า สุวินีตา กปฺปิเนน

792
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 793 (เล่ม 26)

ความว่า พระอุปัชฌาย์ของตนแนะนำด้วยดีในธรรมที่พระอริยเจ้าประ-
กาศแล้ว. คำที่เหลือในทุก ๆ บทง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๒
จบอรรถกถาภิกขุสังยุต
จบอรรถกถาสังยุตตนิกาย นิทานวรรค

793
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 1 (เล่ม 27)

พระสุตตันตปิฎก
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
เล่มที่ ๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น
๑. ขันธสังยุต มูลปัณณาสก์
นกุลปิตุวรรคที่ ๑
๑. นกุลปิตุสูตร
ว่าด้วยกายเปรียบด้วยฟองไข่
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เภสกฬาวัน (ป่าเป็น
ที่นางยักษ์ชื่อ เภสกฬา อยู่อาศัย) อันเป็นสถานที่ให้อภัยแก่หมู่มฤค ใกล้
เมืองสุงสุมารคิระในภัคคชนบท ฯลฯ ครั้งนั้นแล คฤหบดีชื่อนกุลบิดา
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์
เป็นผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว โดยลำดับ ร่างกายกระสับ
กระส่าย เจ็บป่วยเนืองๆ พระเจ้าข้า ก็ข้าพระองค์มิได้เห็นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าและภิกษุทั้งหลาย ผู้ให้เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มี-

1
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 2 (เล่ม 27)

พระภาคเจ้าโปรดสั่งสอนข้าพระองค์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรด
พร่ำสอนข้าพระองค์ ด้วยธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่
ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นั่น ถูกแล้ว ๆ
คฤหบดี อันที่จริง กายนี้กระสับกระส่ายเป็นดังฟองไข่ อันหนังหุ้มไว้
ดูก่อนคฤหบดี ก็บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่ พึงรู้ตัวได้ชัดว่าไม่มีโรคได้แม้
เพียงครู่เดียว ก็จะมีอะไรเล่า นอกจากความเป็นคนเขลา ดูก่อนคฤหบดี
เพราะเหตุนี้แหละ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเรามีกายกระสับกระส่าย
อยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูก่อนคฤหบดี ท่านพึงศึกษา
อย่างนี้แล.
[๒] ครั้งนั้นแล คฤหบดีชื่อนี้นกุลบิดาชื่นชมยินดีพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทำประทักษิณแล้ว เข้าไปหาท่านพระสารีบุตร อภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวกะนกุลปิตุคฤหบดีว่า
ดูก่อนคฤหบดี อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านบริสุทธิ์
เปล่งปลั่ง วันนี้ ท่านได้ฟังธรรมีกถาในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มี
พระภาคเจ้าหรือ. นกุลปิตุคฤหบดีตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไฉนจะไม่
เป็นอย่างนี้เล่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลั่งอมฤตธรรมรดข้าพเจ้าด้วย
ธรรมีกถา.
ส. ดูก่อนคฤหบดี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลั่งอมฤตธรรม
รดท่าน ด้วยธรรมีกถาอย่างไรเล่า.
น. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (ข้าพเจ้าจะเล่าถวาย) ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้ว

2
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ – หน้าที่ 3 (เล่ม 27)

ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้แก่เฒ่า
เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยแล้วโดยลำดับ มีกายกระสับกระส่าย เจ็บป่วย
เนืองๆ พระเจ้าข้า ก็ข้าพระองค์มิได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุ
ทั้งหลาย ผู้ให้เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดสั่งสอน
ข้าพระองค์ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดพร่ำสอนข้าพระองค์ด้วยธรรม
ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด.
เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นั่น ถูกแล้วๆ
คฤหบดี อันที่จริง กายนี้กระ สับกระส่าย เป็นดังว่าฟองไข่ อันหนังหุ้มไว้
ดูก่อนคฤหบดีก็บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่ พึงรู้ตัวได้ชัดว่าไม่มีโรคได้แม้
เพียงครู่เดียว ก็จะมีอะไรเล่า นอกจากความเป็นคนเขลา ดูก่อนคฤหบดี
เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเรามีกายกระสับ
กระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูก่อนคฤหบดี ท่านพึง
ศึกษาอย่างนี้แล ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลั่งอมฤต-
ธรรมรดข้าพเจ้าด้วยธรรมีกถาอย่างนี้แล.
[๓] ส. ดูก่อนคฤหบดี ก็ท่านมิได้ทูลสอบถามพระผู้มีพระภาคเจ้า
ต่อไปว่า พระเจ้าข้า ด้วยเหตุเท่าไรหนอ บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกาย
กระสับกระส่าย และเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย และก็ด้วยเหตุเท่าไรเล่า
บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่.
น. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ามาแม้แต่ที่ไกล เพื่อจะทราบเนื้อ
ความแห่งภาษิตนั้นในสำนักท่านพระสารีบุตร ดีละหนอ ขอเนื้อความ
แห่งภาษิตนั้นจงแจ่มแจ้งกะท่านพระสารีบุตรเถิด.
ส. ดูก่อนคฤหบดี ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.

3