No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 777 (เล่ม 26)

นี้ว่า เธอถูกความโกรธนี้แทงด้วยประตักคือวาจาในปัจจุบันนี้ก่อน แต่
ในอดีตเธอถูกพระราชาเนรเทศออกจากแว่นแคว้น. ภิกษุทั้งหลายจึงทูล
วิงวอนกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ในกาลไหน พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ในอดีตกาล พระเจ้าพาราณสีเสวยราชสมบัติ
ในกรุงพาราณสี. ครั้งนั้นฤาษี ๒ ท่าน คือท่านหนึ่ง ชื่อว่า ชาติมา
ท่านหนึ่งชื่อว่า มาตังคะ. ได้ไปยังกรุงพาราณสี ในฤาษีทั้งสองนั้น
ฤาษีชื่อว่า ชาติมา ไปถึงก่อน นั่งที่โรงช่างหม้อ. ภายหลังมาตังคดาบส
ได้ไปขอพักในที่นั้น. นายช่างหม้อกล่าวว่า ในที่นี้ บรรพชิตผู้เข้าไป
ก่อนมีอยู่ ท่านจงถามเขาเถิด. มาตังคดาบสนั้น ถือเอาบริขารของตน
ยืนใกล้ประตูโรงช่างหม้อ กล่าวว่า ท่านอาจารย์ โปรดให้โอกาส
ข้าพเจ้าพักอยู่ในที่นี้สักราตรีหนึ่งเถิด. ชาติมาฤาษีกล่าวว่า เข้าไปเถิด
ท่าน จึงถามท่านผู้เข้าไปนั่งว่า ท่านโคตรอะไร. ตอบว่า ข้าพเจ้าโคตร
จัณฑาล. ชาติมาฤาษีว่า ข้าไม่อาจจะนั่งในที่แห่งเดียวกับเจ้าได้ จงไป
ณ ส่วนข้างหนึ่ง. มาตังคดาบสลาดเครื่องลาดหญ้าแล้วก็นอนในที่นั้น
นั่นเอง. ชาติมาฤาษีนอนพิงประตู. ฝ่ายมาตังคดาบสออกไปเพื่อถ่าย
ปัสสาวะจึงเหยียบอกชาติมาฤาษีนั้นเข้า เมื่อชาติมาฤาษีถามว่า ใครนั่น.
จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าเองท่านอาจารย์. เฮ้ย เจ้าจัณฑาล เจ้าไม่เห็นทาง
จากที่แห่งอื่นหรือ. เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะไม่ต้องมาเหยียบข้า. ท่าน
อาจารย์ เมื่อข้าไม่เห็นก็เหยียบเอา โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถิด. เมื่อ
มหาบุรุษออกไปภายนอก ชาติมาฤาษีนั้นคิดว่า ผู้นี้แม้ไปภายหลังก็จักมา
ข้างนี้ จึงนอนพลิกกลับไปเสีย. ฝ่ายมหาบุรุษเข้าไปด้วยคิดว่า ท่าน
อาจารย์นอนหันศีรษะมาทางนี้ เราจักไปทางที่ใกล้เท้าของท่าน ดังนี้

777
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 778 (เล่ม 26)

จึงเหยียบอกเข้าอีก. ก็เมื่อฤาษีนั้นถามว่า นั่นใคร จึงตอบว่า ข้าพเจ้าเอง
ท่านอาจารย์. ฤาษีนั้นกล่าวว่า ชั้นแรกทีเดียว เจ้าไม่รู้จึงทำ บัดนี้เจ้า
ทำกระทบเรา เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ศีรษะของเจ้าจงแตก ๗ เสียง มหา-
บุรุษไม่พูดอะไร ๆ ก่อนที่อรุณจะขึ้นนั่นเอง ได้ยึดดวงอาทิตย์ไว้ ไม่ยอม
ให้พระอาทิตย์ขึ้น พวกคนและสัตว์เดรัจฉานมีช้างม้าเป็นต้นต่างตื่นกัน
แล้ว.
พวกมนุษย์พากันไปยังราชตระกูลทูลว่า ขอเดชะ ขึ้นชื่อว่าผู้ที่จะ
ไม่ตื่นทั่วนครไม่มี แต่ไม่ปรากฏว่าอรุณจะขึ้น นี่เหตุอะไรกัน. ถ้ากระไร
ขอพระองค์โปรดตรวจตราพระนคร. คนเหล่านั้นเมื่อสำรวจดู. ก็พบดาบส
สองท่านในโรงช่างหม้อ จึงคิดว่า นี่จักเป็นการทำของสองท่านนี้ จึงได้
พากันไปกราบทูลพระราชา ถูกพระราชาตรัสว่า พวกเจ้าจงไปถามท่านดู
แล้วจึงพากันมาถามฤาษีชื่อชาติมานั้นว่า พวกท่านทำให้มืดหรือ. ชาติมา
ฤาษีตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ แต่จ้าดาบสขี้โกงตัวเลวมีมายาเหลือหลายนี้
ทำ จงถามดูเถิด. คนเหล่านั้นจึงไปถามมหาบุรุษว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทำ
ให้มืดหรือ. ดาบสตอบว่า ใช่ อาจารย์ผู้นี้ได้สาปข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าจึงทำ. คนเหล่านั้นจึงไปกราบทูลพระราชา. ฝ่ายพระราชา
เสด็จมาตรัสถามมหาบุรุษว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทำให้มืดหรือ. ดาบสทูลว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตร. พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร เจ้าข้า.
ดาบสทูลว่า อาตมภาพถูกดาบสนี้สาป ถ้าดาบสนี้ขอขมาโทษอาตมภาพ
ไซร้ อาตมภาพจักปล่อยพระอาทิตย์ พระราชาตรัสว่า ท่านเจ้าข้า
ท่านจงขมาโทษดาบสนี้เถิด. ฝ่ายฤาษีทูลว่า คนผู้มีชาติเช่นเราจักให้
ขมาโทษคนจัณฑาลเช่นนั้นหรือ อาตมภาพไม่ขอขมาโทษดอก.

778
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 779 (เล่ม 26)

ลำดับนั้น พวกคนกล่าวกะท่านว่า ท่านจักไม่ขอขมาโทษตาม
ความชอบใจของตนหรือ ดังนี้แล้วช่วยกันจักมือและเท้าแล้วให้นอนหมอบ
แทบเท้า แล้วกล่าวว่า ขอจงขมาโทษเถิด. ดาบสนั้นนอนเงียบเสียง.
คนเหล่านั้นจึงกล่าวย้ำกะดาบสนั้นว่า จงขอขมาโทษเสีย. ลำดับนั้น ดาบส
จึงกล่าวว่า โปรดยกโทษข้าเถิดอาจารย์. มหาบุรุษกล่าวว่า อันดับแรก
ข้าพเจ้าจักยกโทษให้ท่านแล้วปล่อยพระอาทิตย์ แต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น
ศีรษะของท่านจักแตก ๗ เสียง ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ท่านจงเอาก้อนดิน
เหนียว ขนาดเท่าศีรษะวางไว้บนกระหม่อมของดาบสนี้ แล้วให้ท่านยืน
แช่น้ำในแม่น้ำแค่คอ. พวกผู้คนได้กระทำเหมือนอย่างนั้น. ด้วยเหตุเพียง
เท่านี้ ไพร่พลของพระราชาทั่วแว่นแคว้นประชุมกัน. มหาบุรุษได้ปล่อย
พระอาทิตย์แล้ว. แสงพระอาทิตย์มากระทบก้อนดิน. ก้อนดินนั้นก็แตก
๗ เสี่ยง. ในขณะนั้นนั่นเอง ดาบสนั้นก็ดำลงโผล่ขึ้นทางท่าหนึ่งแล้วก็
หนีไป. พระศาสดาทรงนำเรื่องนี้มาตรัสว่า บัดนี้ท่านได้บริภาษในสำนัก
ของภิกษุทั้งหลายก่อน. แม้ในกาลก่อนท่านอาศัยความโกรธนี้ จึงถูก
เนรเทศออกจากแว่นแคว้น ครั้นทรงสืบอนุสนธิ เมื่อจะโอวาทดาบสนั้น
จึงตรัสว่า ติสสะ ข้อนั้นไม่สมควรแก่เธอแล เป็นต้น.
จบอรรถกถาติสสสูตรที่ ๙
๑๐. เถรนามสูตร
ว่าด้วยเรื่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อเถระ
[๗๑๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน

779
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 780 (เล่ม 26)

กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์. สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีชื่อว่าเถระ
มีปกติอยู่ผู้เดียว และสรรเสริญการอยู่ผู้เดียว เธอเป็นผู้เดียว เข้าไปสู่
บ้านเพื่อบิณฑบาต เป็นผู้เดียวเดินกลับ ย่อมนั่งในที่ลับผู้เดียว และย่อม
เป็นผู้เดียวอธิฐานจงกรม ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้-
มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้
มีชื่อว่าเถระ มีปกติอยู่คนเดียว และมีปกติกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว.
[๗๑๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมา
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงไปบอกภิกษุชื่อเถระตามคำของเราว่า พระ
ศาสดารับสั่งให้หา ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่าน
พระเถระถึงที่อยู่ครั้นแล้วกล่าวว่า อาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่าน
พระเถระรับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วถวายอวิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๗๑๘] ครั้นท่านพระเถระนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสถามว่า ดูก่อนเถระ. ได้ยินว่า เธอมีปกติอยู่คนเดียวและมัก
สรรเสริญการอยู่คนเดียว จริงหรือ.
พระเถระกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนเถระ ก็เธอมีปกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญ
การอยู่คนเดียวอย่างไร.
ถ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในข้อนี้ คือข้าพระองค์คนเดียวเข้าไป
สู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เดินกลับคนเดียว นั่งในที่ลับตาคนเดียว อธิษฐาน

780
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 781 (เล่ม 26)

จงกรมคนเดียว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีปกติอยู่คนเดียว และ
มักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว อย่างนี้แล.
[๗๑๙] พ. ดูก่อนเถระ การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่า
ไม่มีก็หาไม่ เถระ อนึ่ง การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดย
พิสดารกว่าโดยประการใด เธอจงฟังโดยประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดี
เราจักกล่าว ท่านพระเถระทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ตรัสดังต่อไปนี้.
[๗๒๐] ดูก่อนเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดย
พิสดารกว่าอย่างไร ในข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว
สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคือได้แล้ว ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็น
ปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดาร
กว่าอย่างนี้แล.
[๗๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-
กรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ
และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี
ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้
ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็น
ผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.
จบเถรนามสูตรที่ ๑๐

781
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 782 (เล่ม 26)

อรรถกถาเถรนามสูตรที่ ๑๐
ในเถรนามสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ว่า วณฺณวาที แปลว่า มีปกติกล่าวอานิสงส์. บทว่า ยํ อตีตํ
ปหีนํ ความว่า เป็นอันชื่อว่าละความโกรธนั้น ด้วยการละฉันทราคะใน
เบญจขันธ์อันเป็นอดีต. บทว่า อนาคตํ ความว่า เบญจขันธ์อันเป็น
อนาคตเป็นอันชื่อว่าสลัดเสียได้ ด้วยการสละฉันทราคะในเบญจขันธ์นั้น.
บทว่า สพฺพาภิภุํ ความว่า ตั้งครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และภพ ๓
ทั้งหมด. บทว่า สพฺพวิทุํ ได้แก่ รู้แจ้งเบญจขันธ์เป็นต้นซึ่งมีประการ
ดังกล่าวแล้วทั้งหมดนั้น. บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ ความว่า อันเครื่อง
ฉาบคือตัณหาและทิฏฐิไม่เข้าไปฉาบแล้วในธรรมทั้งปวงนั้นแล. บทว่า
สพฺพํ ชหํ ความว่า ละเบญจขันธ์นั้นแลทั้งหมด ด้วยการละฉันทราคะ
ในเบญจขันธ์นั้น. บทว่า ตณฺหกฺขเย วิมุตฺตํ ได้แก่น้อมไปในพระ-
นิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คือในวิมุตติซึ่งมีพระ-
นิพพานนั้นเป็นอารมณ์.
จบอรรถกถาเถรนามสูตรที่ ๑๐
๑๑. กัปปินสูตร
ว่าด้วยเรื่องท่านพระมหากัปปินะ
[๗๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้นี้พระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม

782
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 783 (เล่ม 26)

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหา
กัปปินะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
[๗๒๓] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นท่าน
พระมหากัปปินะผู้มาแต่ไกล แล้วจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นภิกษุที่กำลังมานั่นหรือไม่ เป็นผู้ขาว
โปร่ง จมูกโด่ง.
ภิกษุทั้งหลายกราบพูดว่า เห็น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นแลมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
แต่เธอไม่ได้สมาบัติที่เธอไม่เคยเข้าง่ายนัก เธอกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่ง
พรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
[๗๒๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-
กรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ในชุมนุมที่ยังรังเกียจกันด้วยโคตร กษัตริย์เป็น
ผู้ประเสริฐที่สุดในเทวดาและมนุษย์ ผู้ที่สมบูรณ์ด้วย
วิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุด พระอาทิตย์
ย่อมแผดแสงในกลางวัน พระจันทร์ส่องสว่างใน
กลางคืน กษัตริย์ผู้ผูกสอดเครื่องรบย่อมมีสง่า
พราหมณ์ผู้เพ่งฌาน ย่อมรุ่งเรือง ส่วนพระพุทธเจ้า
ย่อมรุ่งโรจน์ด้วยเดชานุภาพตลอดวันและคืนทั้งหมด
ดังนี้.
จบกัปปินสูตรที่ ๑๑

783
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 784 (เล่ม 26)

อรรถกถากัปปินสูตรที่ ๑๑
ให้กัปปินสูตรที่ ๑๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มหากปฺปิโน ได้แก่ พระมหาเถระผู้อยู่ในจำนวนพระมหา-
สาวก ๘๐ องค์ ผู้บรรลุกำลังแห่งอภิญญามีชื่ออย่างนี้. ได้ยินว่า
พระมหาเถระนั้น ครั้งเป็นคฤหัสถ์ ได้ครองราชสมบัติมีอาณาเขตประมาณ
๓๐๐ โยชน์ ในกุกกุฏวดีนคร แต่เพราะในภพสุดท้ายได้เที่ยวเงี่ยโสต
สดับคำสั่งสอนเห็นปานนั้น. ต่อมาวันหนึ่ง ทรงแวดล้อมไปด้วยอำมาตย์
๑,๐๐๐ คน ได้ไปทรงกรีฑาในพระราชอุทยาน. ก็ในคราวนั้น พ่อค้า
เดินทางจากมัชฌิมประเทศไปนครนั้น เก็บสินค้าแล้วคิดจักเฝ้าพระราชา
ต่างถือเครื่องบรรณาการไปพระราชทวาร สดับว่าพระราชาเสด็จไปพระราช
อุทยาน จึงไปยังพระราชอุทยานยืนอยู่ที่ประตู ได้แจ้งแก่คนเฝ้าประตู
ครั้นกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชารับสั่งให้เรียกมา ตรัสถาม
พวกเขาผู้มอบเครื่องบรรณาการถวายบังคมยืนอยู่ว่า พ่อทั้งหลายพวกท่าน
มาแต่ไหน. พ่อค้าเหล่านั้นกราบทูลว่า มาแต่กรุงสาวัตถี พระเจ้าข้า.
ร. แว่นแคว้นของพวกท่านมีภิกษาหาได้ง่ายไหม. พระเจ้าแผ่นดิน
ทรงธรรมไหม.
พ. ขอเดชะ. พระเจ้าข้า.
ร. ก็ในประเทศของพวกท่านมีศาสนาอะไร.
พ. มีพระเจ้าข้า แต่ผู้มีปากมีเศษอาหารไม่สามารถจะพูดได้.
พระราชา ได้พระราชทานน้ำด้วยพระเต้าทอง. พ่อค้าเหล่านั้น
บ้วนปากแล้ว ผินหน้าต่อพระทศพลประคองอัญชลีแล้วกราบทูลว่า ขอ
เดชะ ชื่อว่าพระพุทธรัตนะได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศของข้าพระองค์.

784
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 785 (เล่ม 26)

พอพระราชาทรงสดับว่า พุทโธ ปีติเกิดแผ่ไปทั่วพระวรกายของพระราชา.
ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสว่า พ่อทั้งหลาย ท่านจงกล่าวว่า พุทโธ
เถิด. พระราชารับสั่งให้พวกพ่อค้ากล่าวขึ้น ๓ ครั้ง อย่างนี้ว่า ขอเดชะ
ข้าพระองค์ทั้งหลายกล่าวว่าพุทโธ ดังนี้ จึงตรัสว่า บทว่า พุทโธ มีคุณ
หาประมาณมิได้ ใคร ๆ ไม่อาจทำปริมาณแห่งบทว่า พุทโธ นั้นได้
จึงเลื่อมใสในพระพุทธเจ้านั้นนั่นแล แล้วได้ประทานทรัพย์แสนหนึ่งแล้ว
ตรัสถามอีกว่า ศาสนาอื่นมีไหม.
พ. มี พระเจ้าข้า คือชื่อธรรมรัตนะเกิดขึ้นแล้ว.
พระราชาทรงสดับแม้ดังนั้นแล้ว จึงทรงรับปฏิญญาถึง ๓ ครั้ง
เหมือนอย่างนั้น แล้วพระราชทานทรัพย์แสนหนึ่งอีก ตรัสถามอีกว่า
ศาสนาอะไรอื่นมีไหม.
พ. มีพระเจ้าข้า คือพระสังฆรัตนะเกิดขึ้นแล้ว.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงรับปฏิญญา ๓ ครั้งเหมือนอย่างนั้น
พระราชทานทรัพย์แสนหนึ่งอีก ทรงลิขิตความที่พระราชทานทรัพย์ไว้ใน
พระราชสาสน์แล้วส่งไปด้วยพระดำรัสสั่งว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่าน
จงไปสำนักของพระเทวี. เมื่อพวกพ่อค้าเหล่านั้นไปแล้วท้าวเธอได้ตรัสถาม
อำมาตย์ทั้งหลายว่า พ่อทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว พวกท่าน
จักกระทำอไร. อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้าข้า พระองค์ประสงค์
จะทำอะไร.
ร. เราจักบวช.
อ. แม้พวกข้าพระองค์ก็จักบวช. เขาเหล่านั้นทั้งหมดไม่เยื่อใย
เรือนหรือขุมทรัพย์ จึงพากันออกบวชพร้อมด้วยเหล่าม้าที่มีคนขี่ขับไป.

785
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 786 (เล่ม 26)

พวกพ่อค้าไปสำนักพระอโนชาเทวีแสดงพระราชสาสน์ พระเทวี
ทรงอ่านแล้วตรัสสอบถามว่า พระราชาพระราชทานกหาปณะแก่พวกท่าน
เป็นอันมาก พวกท่านกระทำอะไรให้เล่า พ่อ.
พ. พวกข้าพระองค์นำพระราชสาสน์ที่น่ารักมา พระเจ้าข้า.
เท. พวกท่านพอจะเล่าให้พวกเราฟังบ้างได้ไหม.
พ. ได้ พระเจ้าข้า แต่ผู้มีปากมีเศษอาหารไม่อาจจะกล่าวได้.
พระนางได้ให้ประทานนำด้วยพระเต้าทอง พวกพ่อค้าเหล่านั้น
บ้วนปากแล้ว กราบทูลโดยนัยที่ได้กราบทูลแด่พระราชา. แม้พระนาง
ได้สดับแล้ว ทรงเกิดความปราโมทย์ ทรงรับปฏิญญา ๓ ครั้ง ในบท
หนึ่ง ๆ โดยนัยนั้นแล ได้พระราชทานทรัพย์เก้าแสนแบ่งเป็น ๓ ส่วน
ตามจำนวนปฏิญญา. พวกพ่อค้าได้ทรัพย์ทั้งหมดหนึ่งล้านสองแสน.
ลำดับนั้น พระเทวีตรัสถามพวกพ่อค้าว่า พระราชาประทับอยู่ที่ไหน
พ่อ. พวกพ่อค้าทูลว่า พระราชาเสด็จออกผนวชแล้ว พระเจ้าข้า. พระ
เทวีทรงส่งพวกพ่อค้าเหล่านั้นไปด้วยพระดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจง
ไปเถิดพ่อ แล้วมีรับสั่งให้เรียกหาภริยาของพวกอำมาตย์ที่ตามเสด็จ ตรัส
ถามว่า พวกเธอรู้สถานที่ที่สามีของตนไปหรือแม่. ภริยาเหล่านั้นทูลว่า
ทราบ พระแม่เจ้า พวกเขาตามเสด็จประพาสพระราชอุทยาน. พระเทวี
มีพระดำรัสว่า พวกเขาไปดีแล้ว แม่ทั้งหลาย เมื่อพวกเขาไปในสวนนั้น
ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว พระธรรมเกิดแล้ว พระสงฆ์เกิดแล้ว
จึงพากันไปบวชในสำนักพระทศพล พวกเธอจักทำอย่างไร. ภริยาเหล่านั้น
ทูลว่า ก็พระแม่เจ้าเล่า ประสงค์จะทำอย่างไร. พระนางตรัสว่า เราจัก
บวช เราจักไม่วางอาเจียนที่เขาเหล่านั้นคายแล้วไว้ที่ปลายลิ้น. ภริยา

786