No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 767 (เล่ม 26)

เหมือนกัน ถ้าคนหนุ่มมีปัญญา เขาก็ย่อมใหญ่ใน
มนุษย์เหล่านั้น ไม่เหมือนคนพาล ซึ่งถือร่างกาย
เป็นใหญ่ ดังนี้.
จบภัททิยสูตรที่ ๖
อรรถกถาภัททิยสูตรที่ ๖
ในภัททิยสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทุพฺพณฺณํ ได้แก่มีผิวกายไม่งาม. บทว่า โอโกฏิมกํ
ได้แก่ เตี้ย. บทว่า ปริภูตรูปํ ได้แก่ ถูกดูแคลนเรื่องขนาด. ได้ยินว่า
พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ปรามาสท่านลกุณฏกภัททิยะว่า ท่านภัททิยะ ท่าน
ภัททิยะ หยอดล้อแบบต่าง ๆ ฉุดมาบ้าง รั้นไปรอบ ๆ บ้าง ในที่นั้น ๆ
เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปริภูตรูปํ ดังนี้.
ก็เพราะเหตุไร ท่านลกุณฏกภัททิยะจึงมีรูปอย่างนี้. เล่ากันมาว่า
ท่านลกุณฏกภัททิยะนี้ เคยเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง พระองค์ทรง
รังเกียจพวกคนแก่และหญิงแก่ ๆ ถ้าพระองค์เห็นคนแก่ ๆ ให้เกล้ามวย
ผมของคนเหล่านั้น ให้ผูกรักแร้ แล้วให้เล่นตามชอบใจ แม้เห็นหญิงแก่ ๆ
ก็ทำพิเรน ๆ ตามปรารถนาแก่หญิงเหล่านั้น ให้เล่นตามชอบใจ โทษใหญ่
ย่อมเกิดขึ้นในสำนักแห่งบุตรและธิดาเป็นต้นของคนเหล่านั้น การกระทำ
ความชั่วของท่าน ได้กระทำให้เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวตั้งแต่แผ่นดินจด
ถึงเทวโลก ๖ ชั้น.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะมีพระดำริว่า คนอันธพาลเบียดเบียนมหาชน
เราจักข่มเขา. ท้าวสักกะจึงแปลงเพศเป็นคนแก่ชาวบ้าน ยกตุ่มเต็มด้วย

767
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 768 (เล่ม 26)

เปรียงตุ่มหนึ่งไว้บนยานน้อย ขันยานเข้าพระนคร. ฝ่ายพระราชาทรงช้าง
เสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็นเขา ตรัสว่า คนแก่นี้มุ่ง
หน้ามาหาเราด้วยยานน้อยเต็มด้วยเปรียง ห้ามเขาไว้ ห้ามเขาไว้. พวกมนุษย์
วิ่งหาข้างโน้นข้างนี้ก็ไม่เห็น. เพราะท้าวสักกะทรงอธิษฐานไว้อย่างนี้ว่า
พระราชาเท่านั้นจงเห็นเรา คนอื่นอย่าได้เห็น. ลำดับนั้น เมื่อมนุษย์
เหล่านั้น กราบทูลว่า ที่ไหนพระองค์ ที่ไหนพระองค์ เท่านั้น พระราชา
พร้อมทั้งช้างเสด็จเข้าไปใต้ยาน เหมือนลูกโคอยู่ใต้แม่โคฉะนั้น. ท้าวสักกะ
ก็ทรงทุบตุ่มเปรียงแตกออก ตั้งแต่นั้น พระราชามีพระวรกายเปรอะเปื้อน
ไปด้วยเปรียง ท้าวเธอให้ขัดสีพระวรกาย สรงสนานในสระโบกขรณีในสวน
ตกแต่งพระวรกายเสด็จเข้าพระนคร ได้ทอดพระเนตรเห็นเขาอีก ครั้น
ทอดพระเนตรเห็นแล้วจึงตรัสว่า คนแก่ที่เราเห็นนี้นั้นปรากฏอีก จง
ห้ามเขา จงห้ามเขา. พวกมนุษย์กราบทูลว่า ที่ไหนพระองค์ ที่ไหน
พระองค์ เที่ยววิ่งพล่านไปมา. พระองค์ประสบอาการผิดปกติอีกครั้ง
ขณะนั้น ท้าวสักกะให้โคและยานหายไป ประทับยืนในอากาศตรัสว่า คน
อันธพาล ท่านสำคัญเราว่า ผู้นี้เป็นพ่อค้าเปรียง เราคือท้าวสักกเทวราช
มาเพื่อจะห้ามการทำชั่วของท่านนั้น ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้ต่อไป ทรงคุก
คามแล้วเสด็จไป. ด้วยกรรมอันนี้ ท่านจึงมีผิวพรรณทราม.
ก็ในครั้งพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านลกุณฏกภัททิยะนี้
เป็นนกดุเหว่าชื่อจิตตปัตต์ อยู่ที่มิคทายวันอันปลอดภัย วันหนึ่งบินไปป่า
หิมวันต์ เอาจะงอยปากคาบมะม่วงหวานบินมา เห็นพระศาสดามีภิกษุ
สงฆ์แวดล้อมจึงคิดว่า วันอื่น ๆ เราไม่มีอะไร เห็นพระศาสดา แต่วันนี้
เรามีผลมะม่วงสุกนี้ เราจักถวายผลมะม่วงแด่พระทศพล ดังนี้ บินร่อนอยู่

768
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 769 (เล่ม 26)

ในอากาศ พระศาสดาทรงทราบจิตของนกดุเหว่า ทอดพระเนตรดู
อุปัฏฐาก. อุปัฏฐากนำบาตรออกวางไว้ในพระหัตถ์ของพระศาสดา. นก
ดุเหว่าวางมะม่วงสุกลงในบาตรของพระทศพล. พระศาสดาประทับนั่ง
เสวยมะม่วงสุกในที่ตรงนั้นเอง. นกดุเหว่ามีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงคุณ
พระทศพลร่ำไป ถวายบังคมพระทศพลแล้วบินไปสู่รังของตน ให้เวลา
ล่วงไปด้วยความสุขเกิดแต่ปีตินั่นเองตลอด ๗ วัน. ด้วยกรรมอันนี้ นก
ดุเหว่านั้นจึงมีเสียงไพเราะ.
ในครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเริ่มสร้างเจดีย์ พวก
ช่างปรึกษากันว่า เราจะทำขนาดไหน ขนาด ๗ โยชน์ นี้ใหญ่เกินไป
ขนาด ๖ โยชน์ แม้นี้ก็ใหญ่เกินไป ขนาด ๕ โยชน์ แม้นี้ก็ใหญ่เกินไป
ขนาด ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ ดังนี้ ครั้งนั้น ท่านลกุณฏกภัททิยะ
นี้เป็นหัวหน้าช่าง กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ในอนาคตควรจะประดับ
ประคองความสุขไว้ ด้วยอาการอย่างนี้ถือเชือกวัดไปยืนในที่สุดคาวุตหนึ่ง
กล่าวว่า มุขหนึ่ง ๆ คาวุตหนึ่ง จักเป็นพระเจดีย์กลมโยชน์หนึ่ง สูง
โยชน์หนึ่ง. ช่างเหล่านั้นได้ทำตามคำหัวหน้าช่าง. ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน
จึงสร้างเจดีย์สำเร็จ. ท่านได้ทำประมาณของพระพุทธเจ้าผู้หาประมาณมิได้
ด้วยประการฉะนี้ ดังนั้น ด้วยกรรมนั้น ท่านจึงเกิดเป็นคนเตี้ย.
บทว่า หตฺถิโย ปสฏมิคา ได้แก่ช้างและเนื้อฟาน. บทว่า
นตฺถิ กายสฺมึ ตุลยตา ความว่า ชื่อว่าขนาดในกายไม่มี อธิบายว่า
ขนาดกาย ไม่สำคัญ.
จบอรรถกถาภัททิยสูตรที่ ๖

769
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 770 (เล่ม 26)

๗. วิสาขสูตร
ว่าด้วยเรื่องพระวิสาขปัญจาลบุตร
[๗๐๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่า
มหาวัน กรุงเวสาลี. สมัยนั้นแล ท่านพระวิสาขปัญจาลบุตร ยังภิกษุ
ทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
ประกอบด้วยวาจาไพเราะ สละสลวยปราศจากโทษ นับเนื่องเข้าในวาจา
ที่ให้เข้าใจเนื้อความ ไม่อิงอาศัยวัฏฏะ ในอุปัฏฐานศาลา.
[๗๐๗] ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
ออกจากที่เร้น เสด็จไปทางอุปัฏฐานศาลา ครั้นเสด็จถึงแล้วประทับบน
อาสนะที่แต่งตั้งไว้ แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ใครหนอแลยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถา ประกอบด้วยวาจาไพเราะ สละสลวยปราศจากโทษ นับ
เนื่องเข้าในวาจาที่ให้เข้าใจเนื้อความ ไม่อิงอาศัยวัฏฏะ ในอุปัฏฐาน-
ศาลา.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระวิสาข-
ปัญจาลบุตร ฯลฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านวิสาขปัญจาลบุตรว่า
ดีแล้ว ดีแล้ว วิสาขะ เธอยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง... ด้วยธรรมีกถา
ฯลฯ ดีนักแล.
[๗๐๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-

770
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 771 (เล่ม 26)

กรณภาษิตแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปนี้
ชนทั้งหลายย่อมไม่รู้จักคนที่ไม่พูด ว่าเจือด้วยพาล
หรือเป็นบัณฑิต แต่ย่อมรู้จักคนที่พูด ผู้แสดงทาง
อมฤตอยู่ บุคคลพึงกล่าวธรรม พึงส่องธรรม พึง
ประคองธงชัยของฤาษี ฤาษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง
ธรรมนั่นเองเป็นธงชัยของพวกฤาษี ดังนี้.
จบวิสาขสูตรที่ ๗
อรรถกถาวิสาขสูตรที่ ๗
ในวิสาขสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โปริยา วาจาย ได้แก่ ด้วยวาจาที่ไพเราะ มีอักขระและบท
ไม่เสียหาย เสมือนวาจาของชาวเมือง คือมนุษย์ในเมือง. บทว่า
วิสฺสฏฺฐาย ได้แก่ ไม่ฉงน ไม่ยุ่งเหยิง ไม่พัวพัน อธิบายว่า อันดีและ
เสมหะไม่ทำลาย. บทว่า อเนลคฬาย ความว่า ไม่พูดด้วยวาจาที่เหมือน
วาจาของคนโง่ ๆ ใช้ปากที่กำลังกลืนเขฬะพูดกัน โดยที่แท้ พูดด้วย
วาจาปราศจากโทษ คือวาจาสละสลวย. บทว่า ปริยาปนฺนาย ได้แก่
วาจาที่นับเนื่องในสัจจะ ๔ คือวาจาที่พูดไม่พ้นสัจจะ ๔. บทว่า อนิสฺสิตาย
ได้แก่ วาจาที่ไม่กล่าวอิงวัฏฏะ. บทว่า ธมฺโม หิ อิสินํ ธโช ความว่า
โลกุตรธรรม ๙ อย่าง ชื่อว่าธงของฤาษีทั้งหลาย.
จบอรรถกถาวิสาขสูตรที่ ๗

771
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 772 (เล่ม 26)

๘. นันทสูตร
ว่าด้วยเรื่องนันทะ
[๗๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
นัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้นนั้นแล ท่านพระนันทะ
ผู้เป็นบุตรของพระเจ้าแม่น้ำแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ห่มจีวรที่ทุบแล้ว
ทุบอีก หยอดนัยน์ตา ถือบาตรมีสีใส เข้าไปเฝ้าพระผู้พระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทแล้วนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๗๑๐] ครั้นท่านพระนันทะนั่งเรียบร้อยแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนนันทะ ข้อที่เธอห่มจีวรที่ทุบแล้วทุบอีก หยอด
นัยน์ตา และถือบาตรมีสีใส ไม่สมควรแก่เธอผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็น
บรรพชิตด้วยศรัทธา ข้อที่เธอถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร
ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และไม่พึงเป็นผู้อาลัยในกามทั้งหลายอยู่อย่างนี้ จึง
สมควรแก่เธอผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา.
[๗๑๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณ-
ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
เมื่อไร เราจะพึงได้เห็นนันทะ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือ
ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยโภชนะ
ที่เจือปนกัน ไม่อาลัยในกามทั้งหลาย ดังนี้.
[๗๑๒] ลำดับนั้น ท่านพระนันทะ. โดยสมัยต่อมา ได้เป็นผู้
อยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และไม่

772
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 773 (เล่ม 26)

อาลัยในกามทั้งหลายอยู่.
จบนันทสูตรที่ ๘
อรรถกถานันทสูตรที่ ๘
ในนันทสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาโกฏิตปจฺจาโกฏิตานิ ความว่า ที่ใช้ฝ่ามือหรือค้อนทุบ
ที่ข้าง ๆ หนึ่ง. บทว่า อญฺชิตฺวา ได้แก่ เต็มด้วยยาตา. บทว่า อจฺฉํ
ปตฺตํ ได้แก่ บาตรดินที่มีสีใส.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไรพระเถระจึงทำอย่างนั้น. ตอบว่า เพื่อจะรู้
อัธยาศัยของพระศาสดา. ได้ยินว่า พระเถระนั้นได้ความคิดอย่างนี้ว่า
ถ้าพระศาสดาจักตรัสว่า น้องชายของเรานี้ งามจริงหนอ เราจักประ-
พฤติตามอาการนี้แล ถ้าจะเห็นโทษในข้อนี้ เราจะละอาการนี้ ถือเอาผ้า
จากกองหยากเยื่อ กระทำจีวรครอง จักอยู่ประพฤติในเสนาสนะสุดท้าย.
บทว่า อสฺสสิ แปลว่า จักเป็น. บทว่า อญฺญาภุญฺเชน ความว่า
ก็อาหารการกินของพวกภิกษุผู้แสวงหาโภชนะที่มีกลิ่นหอม ปรุงด้วยเครื่อง
เผ็ดร้อน ในเรือนของอิสระชน ที่เขากำหนดไว้ ชื่อว่า อัญญาภุญชะ.
แต่โภชนะคละกัน ที่ภิกษุผู้ยืนอยู่ที่ประตูเรือนตามลำดับเรือน ชื่อว่า
อัญญาภุญชะ อัญญาภุชะนี้ ท่านประสงค์เอาในที่นี้. บทว่า กาเมสุ
อนเปกฺขินํ ได้แก่ปราศจากความเยื่อใย ในวัตถุกามและกิเลสกาม.
บทว่า อารญฺญิโก จ ท่านกล่าวโดยการสมาทานทุกอย่างทีเดียว. คำว่า
กาเมสุ จ อนเปกฺโข ความว่า พระสูตรนี้พระองค์ทรงแสดงนาง
อัปสรเป็นต้น ในเทวโลก เสด็จมาตรัสไว้ในภายหลัง. ตั้งแต่วันที่ตรัส

773
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 774 (เล่ม 26)

พระสูตรนี้ พระเถระเพียรพยายามอยู่โดย ๒-๓ วันเท่านั้น ก็ดำรงอยู่
ในพระอรหัต เป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
จบอรรถกถานันทสูตรที่ ๘
๙. ติสสสูตร
ว่าด้วยเรื่องท่านพระติสสะ
[๗๑๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระติสสะ
ผู้เป็นโอรสพระเจ้าอาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทแล้ว นั่งเป็นทุกข์เสียใจ
หลั่งน้ำตาอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๗๑๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระติสสะ
ว่า ดูก่อนติสสะ ไฉนหนอ เธอจึงนั่งเป็นทุกข์เสียใจหลั่งน้ำตาอยู่.
ท่านพระติสสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลาย
กลุ้มรุมเสียดแทงข้าพระองค์ด้วยวาจาดุจประตัก.
พ. จริงอย่างนั้น ติสสะ เธอว่าเขาข้างเดียว แต่เธอไม่อดทนต่อ
ถ้อยคำ ข้อที่เธอว่าเขาข้างเดียว ไม่อดทนต่อถ้อยคำนั้น ไม่สมควรแก่
เธอผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา แต่ข้อที่เธอว่าเขาด้วย
อดทนต่อถ้อยคำได้ด้วย นั่นแล สมควรแก่เธอผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็น
บรรพชิตด้วยศรัทธา.
[๗๑๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณ-
ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

774
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 775 (เล่ม 26)

เธอโกรธทำไมหนอ เธออย่าโกรธ ติสสะ ความ
ไม่โกรธเป็นความประเสริฐของเธอ แท้จริง บุคคล
ย่อมประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกำจัดความโกระ ความ
ถือตัว และความลบหลู่คุณท่าน ดังนี้.
จบติสสสูตรที่ ๙
อรรถกถาติสสสูตรที่ ๙
ในติสสสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทุมฺมโน ได้แก่ เกิดในโทมนัส. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร
พระติสสะนี้จึงเกิดเป็นทุกข์เสียใจอย่างนี้. ตอบว่า ก็พระติสสะนี้เป็นกษัตริย์
บวช. เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลายให้ท่านบวชแล้ว ให้นุ่งผ้าสาฎก ๒ ชั้น
ห่มจีวรอย่างดี หยอดตา ทาศีรษะด้วยน้ำมันเจือด้วยน้ำชาด. เมื่อเหล่า
ภิกษุไปสู่ที่พักกลางคืนและกลางวัน ท่านไม่รู้ว่า ธรรมดาว่าภิกษุต้องนั่ง
ในโอกาสอันสงัด จึงไปโรงฉันขึ้นเตียงใหญ่แล้วนั่ง. ภิกษุทั้งหลายผู้ถือ
ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ผู้เที่ยวไปในทิศเป็นอาคันตุกะมา คิดว่า ด้วยทำนองนี้
พวกเรามีตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยธุลี ไม่อาจจะเฝ้าพระทศพลได้ เราจะวาง
สิ่งของไว้ก่อน ดังนี้แล้วก็ไปโรงฉัน. เมื่อพระมหาเถระกำลังมา ท่าน
ติสสะนั่งนิ่งทีเดียว. ภิกษุเหล่าอื่นถามโดยเอื้อเฟื้อ [ขอโอกาส] ว่า
พวกเราจะทำวัตรคือการล้างเท้า พัดด้วยก้านตาลนะ ก็พระติสสะนี้นั่งอยู่
นั่นแล ถามว่า พวกท่านมีพรรษาเท่าไร. เมื่อพวกภิกษุนั้นตอบว่า
พวกกระผมยังไม่มีพรรษา ก็ท่านเล่ามีพรรษาเท่าไร จึงกล่าวว่า ผมบวช
ในวันนี้. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวก็ท่านว่า อาวุโส ท่านจงตัด

775
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 776 (เล่ม 26)

มวยผมเดี๋ยวนี้ แม้วันนี้กลิ่นเหาที่โคนศีรษะของท่านส่งกลิ่นฟุ้งทีเดียว
เมื่อภิกษุแก่ว่ามีประมาณเท่านี้ ขอโอกาสทำวัตรของเรา ท่านก็นั่งนิ่ง
เงียบ แม้เพียงความยำเกรงของท่านก็ไม่มี ท่านบวชในศาสนาของใคร
ดังนี้แล้ว รุมกันประหารพระติสสะนั้นด้วยหอกคือวาจา กล่าวว่า ท่าน
ไม่อาจเลี้ยงชีพได้เพราะเป็นหนี้ หรือกลัวจึงบวช หรือท่านแลดูพระเถระ
รูปหนึ่ง เมื่อพระเถระนั้นกล่าวว่า ท่านมองดูเราหรือขรัวตา จึงแลดู
อีกรูปหนึ่ง แม้เมื่อท่านรูปนั้นกล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน ทีนั้น ท่านก็เกิด
ขัตติยมานะขึ้นมา ภิกษุเหล่านี้รุมกันใช้หอกคือวาจาทิ่มแทงเรา น้ำตาสี
แก้วมณีในดวงตาก็ไหลพราก. แต่นั้นท่านก็กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า
ท่านมาสู่สำนักของใคร. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ก็ท่านเล่าสำคัญเราว่า
มาสู่สำนักของท่านหรือ พวกเราไม่ใช่อยู่ในเพศคฤหัสถ์นี้ จึงกล่าวว่า
พวกเรามาสู่สำนักของพระศาสดาผู้เป็นอัครบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
พระติสสะกล่าวว่า พวกท่านมาในสำนักพี่ชายของเรา ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น
เราจักไปตามทางที่พวกท่านมานั่นแล โกรธออกไปแล้วคิดในระหว่าง
ทางว่า เมื่อเราไปโดยทำนองนี้ก่อน พระศาสดาจักให้นำภิกษุเหล่านี้
ออกไป จึงเป็นทุกข์เสียใจ เดินน้ำตาไหลไป ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงเกิด
เป็นอย่างนี้แล.
บทว่า วาจาย สนฺนิโตทเกน ความว่า ด้วยประตักคือถ้อยคำ. บทว่า
สญฺชมฺภรึ อกํสุ ได้แก่กระทำให้เต็มแปร้ คือให้ถูกต้องไม่มีระหว่าง.
ท่านอธิบายไว้ว่า แทงข้างบน. บทว่า วตฺตา ความว่า ท่านพูดเรื่องที่
ปรารถนากะคนเหล่าอื่น. บทว่า โน จ วจนกฺขโม ความว่า ท่าน
ไม่อาจอดทนถ้อยคำของชนเหล่าอื่น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่าง

776