No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 757 (เล่ม 26)

อรรถกถาอุปติสสสูตรที่ ๒
ในอุปติสสสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
คำว่า อตฺถิ นุ โข ตํ กิญฺจิ โลกสฺมึ นี้ ท่านกล่าวหมาย
เอาสัตว์หรือสังขารที่ยิ่งใหญ่. คำว่า สตฺถุปิ โข เต นี้ ท่านพระ-
อานนท์ถามเพื่อจะทราบว่า ความโศกเป็นต้นไม่พึงเกิดขึ้นแก่พระเถระนี้
แม้เพราะความแปรปรวนแห่งพระศาสดาหรือหนอแล เพราะพระอานนท์
เถระมีความพอใจและความรักในพระศาสดาเหลือประมาณ. คำว่า
ทีฆรตฺตํ ท่านกล่าวหมายเอาเวลาที่ล่วงไปตั้งแต่วันที่ทรงแสดงเวทนา-
ปริคคหสูตรแก่ทีฆนขปริพาชก ที่ประตูถ้ำสุกรขาตา. ก็ในวันนั้น พระ-
เถระถอนกิเลสที่ไปตามวัฏฏะเหล่านี้ได้แล้วแล.
จบอรรถกถาอุปติสสสูตรที่ ๒
๓. ฆฏสูตร
ว่าด้วยเรื่องหม้อเกลือใหญ่
[๖๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตร
และท่านพระมหาโมลคัลลานะอยู่ในวิหารเดียวกัน ในพระเวฬุวันกลันทก-
นิวาปสถาน ครั้งนั้นแล เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่เร้น เข้า
ไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้สนทนาปราศรัยกับ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว

757
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 758 (เล่ม 26)

จึงนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๖๙๒] ครั้นท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่าน
พระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านโมคคัลลานะ อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก
ผิวหน้าของท่านบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ชะรอยวันนี้ ท่านมหาโมคคัลลานะจะอยู่
ด้วยวิหารธรรมอันละเอียด.
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า อาวุโส วันนี้ผมอยู่ด้วยวิหาร-
ธรรมอันหยาบ อนึ่ง ผมได้มีธรรมีกถา.
สา. ท่านนหาโมคคัลลานะได้มีธรรมีกถากับใคร.
ม. ผมได้มีธรรมีกถากับพระผู้มีพระภาคเจ้า.
สา. เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ไกลนัก ท่านมหา
โมคคัลลานะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยฤทธิ์หรือ หรือว่าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จมาหาท่านมหาโมคคัลลานะด้วยฤทธิ์.
ม. ผมไม่ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยฤทธิ์ แม้พระผู้มี-
พระภาคเจ้าก็ไม่ได้เสด็จมาหาผมด้วยฤทธิ์ แต่ผมมีทิพยจักษุและทิพย-
โสตธาตุอันหมดจดเท่าพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรง
มีทิพยจักษุและทิพยโสตธาตุอันหมดจดเท่าผม.
สา. ท่านมหาโมคคัลลานะได้มีธรรมีกถากับพระผู้มีพระภาคเจ้า
อย่างไร.
[๖๙๓] ม. ผมได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่นี้ดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่าผู้ปรารภความเพียร ๆ ดังนี้ ก็บุคคลจะ

758
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 759 (เล่ม 26)

ชื่อว่าเป็นผู้ปรารภความเพียรด้วยเหตุประมาณเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า
อาวุโส เมื่อผมกราบทูลอย่างนี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะผม
ดังนี้ว่า โมคคัลลานะ. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ปรารภความเพียร
ด้วยตั้งสัตยาธิษฐานว่า จะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที
เลือดและเนื้อในร่างกายจงเหือดแห้งไปเถิด ผลอันใดที่จะพึงบรรลุได้ด้วย
เรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ
ยังไม่บรรลุผลนั้นแล้ว จะหยุดความเพียรเสียเป็นอันไม่ โมคคัลลานะ
ภิกษุย่อมเป็นผู้ปรารภความเพียรอย่างนี้แล อาวุโส ผมได้มีธรรมีกถากับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้แล.
[๖๙๔] สา. อาวุโส เปรียบเหมือนก้อนหินเล็ก ๆ ที่บุคคลเอา
ไปวางเปรียบเทียบกับเขาหิมพานต์ฉันใด เราเมื่อเปรียบเทียบกับท่าน
มหาโมคคัลลานะก็ฉันนั้นเหมือนกัน แท้จริง ท่านมหาโมคคัลลานะ
เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เมื่อจำนงอยู่ พึงตั้งอยู่ได้ตลอดกัปแล.
[๖๙๕] ม. อาวุโส ก้อนเกลือเล็ก ๆ ที่บุคคลหยิบเอาไปวาง
เปรียบเทียบกับหม้อเกลือใหญ่ฉันใด เมื่อผมเปรียบเทียบท่านพระสารีบุตร
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แท้จริง ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงชม ทรงสรรเสริญ ทรงยกย่องแล้วโดยปริยายมิใช่น้อย มีอาทิว่า
ภิกษุผู้ถึงซึ่งฝั่งคือพระนิพพาน เป็นผู้เยี่ยมด้วยปัญญา ด้วยศีลและอุปสมะ
คือพระสารีบุตร ดังนี้.
ท่านมหานาคทั้งสองนั้น เพลิดเพลินคำสนทนาที่เป็นสุภาษิตของ
กันและกัน ด้วยประการดังนี้แล.
จบฆฏสูตรที่ ๓

759
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 760 (เล่ม 26)

อรรถกถาฆฏสูตรที่ ๓
ในฆฏสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เอกวิหาเร ได้แก่ ในห้องหนึ่ง. ได้ยินว่า ครั้งนั้นภิกษุ
อาคันตุกะประชุมกันเป็นอันมาก. เพราะฉะนั้น เสนาสนะแถวชายบริเวณ
หรือชายวิหารไม่เพียงพอ พระเถระสองรูปต้องอยู่ห้องเดียวถัน พระเถระ
เหล่านั้น กลางวันนั่งแยกกัน แต่กลางคืนกั้นม่านไว้ในระหว่างพระเถระ
ทั้งสอง พระเถระเหล่านั้นนั่งในที่ที่ถึงแก่ตนเท่านั้น เพราะเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า เอกวิหาเร. คำว่า โอฬาริเกน ท่านกล่าวหมายเอาความมี
อารมณ์หยาบ. ด้วยว่า พระเถระนั่น อยู่ด้วยวิหารธรรมคือทิพยจักษุและ
ทิพยโสต. จริงอยู่ รูปายตนะและสัททายตนะที่พระเถระทั้งสองนั้นฟัง
แล้ว เป็นอารมณ์หยาบ. วิหารธรรมนั้นชื่อว่าหยาบ เพราะเห็นรูปด้วย
ทิพยจักษุ และฟังเสียงด้วยทิพยโสตธาตุ. บทว่า ทิพฺพจกฺขุํ วิสุชฺฌิ
ความว่า ทิพยจักษุได้บริสุทธิ์โดยที่ได้เห็นพระรูปของพระผู้มีพระภาค-
เจ้า. บทว่า ทิพฺพา จ โสตธาตุ ความว่า ทิพยโสตธาตุแม้นั้นชื่อว่า
บริสุทธิ์โดยที่ได้ฟังพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทิพยจักษุและ
ทิพยโสตทั้งสองแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็บริสุทธิ์ โดยที่ได้ทอดพระ
เนตรเห็นรูปและทรงสดับเสียงของพระเถระ. ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระ-
เถระคิดว่า บัดนี้ พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหนหนอ จึงเจริญอาโลกกสิณ
เห็นพระศาสดาประทับนั่ง ณ พระคันธกุฎี ในพระเชตวันวิหาร ด้วย
ทิพยจักษุ ได้ฟังพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นด้วยทิพยโสตธาตุ.
แม้พระศาสดาก็ได้ทรงกระทำเหมือนอย่างนั้นนั่นแล. พระศาสดาและพระ-

760
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 761 (เล่ม 26)

เถระได้เห็นและได้ฟังเสียงกันและกัน ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อารทฺธวิริโย ได้แก่ มีความเพียรบริบูรณ์ คือประคอง
ความเพียรไว้แล้ว. บทว่า ยาวเทว อุปนิกฺเจปนมตฺตาย ความว่า
ก้อนหินขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่วางไว้ใกล้ภูเขาหิมวันต์ซึ่งกว้างสาม
พันโยชน์. ท่านอธิบายว่า ก้อนหินมีไว้เพียงเพื่อจะเทียบเคียงอย่างนี้ว่า
ภูเขาหินวันต์ใหญ่หนอ ก้อนหินเท่านี้หนอ. แม้ข้างหน้าก็นัยนี้แหละ.
บทว่า กปฺปํ ได้แก่ ตลอดอายุกัป. ด้วยบทว่า โลณฆฏาย ท่าน
แสดงเปรียบเหมือนหม้อเกลือที่วางไว้กว้างเท่าขอบปากจักรวาลสูงจด
พรหมโลก. ก็พระเถระเหล่านั้น เมื่อนำอุปมา มาเปรียบเทียบกับ
สิ่งที่เห็นกัน และกับคุณที่มีอยู่. อย่างไร. จริงอยู่ ธรรมดาว่า
ฤทธิ์นี้เป็นเสมือนภูเขาหิมพานต์ เพราะอรรถว่า สูงลิบ และเพราะอรรถ
ว่า ขนาดใหญ่ ส่วนปัญญาเป็นเสมือนรสเกลือที่ใส่เข้าไว้ในกับข้าวทุกชนิด
เพราะอรรถว่า เข้าไปตั้งอยู่ในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ นำมาเปรียบเทียบ
ด้วยอรรถว่า เห็นสมกัน อย่างนี้ก่อน. ส่วนลักษณะแห่งสมาธิ ปรากฏแจ่ม
ชัดแก่พระมหาโมคคัลลานเถระ. ชื่อว่าฤทธิ์ที่ไม่มีอยู่ ย่อมไม่มีแก่พระสารี-
บุตรเถระก็จริง ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตั้งพระมหา-
โมลคัลลานเถระนี้แลไว้ในเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวก
ของเราผู้มีฤทธิ์ มหาโมคคัลลานะเป็นเลิศ. ส่วนลักษณะวิปัสสนา ปรากฏ
แจ่มชัดแก่พระสารีบุตรเถระ. ปัญญามีอยู่แม้แก่พระมหาโมคคัลลานเถระ
ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตั้งพระสารีบุตรเถระนี้แล
ไว้ในเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก
สารีบุตรเป็นเลิศ. เพราะฉะนั้น ท่านทั้งสองจึงรับหน้าที่แห่งกันและกัน

761
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 762 (เล่ม 26)

นำมาเปรียบเทียบกับคุณที่มีอยู่ด้วยประการฉะนี้. จริงอยู่ พระมหาโมค-
คัลลานเถระ บรรลุความสำเร็จในสมาธิลักษณะ พระสารีบุตรเถระ
บรรลุในวิปัสสนาลักษณะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุทั้งสองลักษณะ.
จบอรรถกถาฆฏสูตรที่ ๓
๔. นวสูตร
ว่าด้วยเรื่องภิกษุใหม่
[๖๙๖] ข้าพเจ้าได้สดับมายอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ สมัยนั้นแล ภิกษุใหม่
รูปหนึ่งเดินกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เข้าไปสู่วิหารแล้ว เป็น
ผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ ไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลาทำจีวร
ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๖๙๗] ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว. ได้กราบทูลพระผู้-
มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใหม่รูปหนึ่งในพระ
ธรรมวินัยนี้เดินกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัตเข้าไปสู่วิหารแล้ว เป็น
ผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ ย่อมไม่ช่วยเหลือภิกษุทั้งหลายในเวลากระทำ
จีวร ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกรูปหนึ่งมาตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอจงไปบอกภิกษุนั้นตามคำของเราว่า พระศาสดาให้หา
ภิกษุนั้นทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้วเข้าไปหาภิกษุนั้น ครั้นแล้วได้

762
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 763 (เล่ม 26)

กล่าวกะเธอว่า พระศาสดาตรัสเรียกท่าน เธอรับคำของภิกษุนั้นแล้ว
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสกะเธอว่า จริงหรืออภิกษุ ได้ยินว่า เธอเดินกลับจากบิณฑบาตในเวลา
ปัจฉาภัต เข้าไปสู่วิหารแล้วเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ ไม่ช่วย
เหลือภิกษุทั้งหลายในเวลากระทำจีวร.
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ก็กระทำ
กิจส่วนตัวเหมือนกัน.
[๖๙๘] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความ
ปริวิตกแห่งจิตของภิกษุนั้นด้วยพระทัย จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ายกโทษภิกษุนี้เลย ภิกษุนี้เป็นผู้มีปรกติได้ฌาน
๔ อันเป็นสุขวิหารธรรมในปัจจุบัน อันอาศัยอธิจิต ตามความปรารถนา
ไม่ยาก ไม่ลำบาก กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
[๖๙๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณ-
ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
บุคคลปรารภความเพียรอันย่อหย่อน ปรารภความ
เพียรด้วยกำลังน้อย ไม่พึงบรรลุพระนิพพานอันเป็น
เครื่องปลดเปลื้องกิเลสทั้งปวงได้ แต่ภิกษุหนุ่มรูปนี้
เป็นอุดมบุรุษ ชำนะมารทั้งพาหนะได้แล้ว ย่อมทรง
ไว้ซึ่งอัตภาพมีในที่สุด ดังนี้.
จบนวสูตรที่ ๔

763
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 764 (เล่ม 26)

อรรถกถานวสูตรที่ ๔
ในนวสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อปฺโปสฺสุกฺโก ได้แก่ ไม่มีความขวนขวาย. บทว่า สงฺกตายติ๑
ได้แก่ อยู่. บทว่า เวยฺยาวจฺจํ ได้แก่ กิจที่จะพึงทำในจีวร. บทว่า
อภิเจตสิกานํ ได้แก่ อาศัยอภิจิต คือจิตสูงสุด. บทว่า นิกามลาภี
ได้แก่ เป็นผู้ได้ตามปรารถนา เพราะเป็นผู้สามารถเข้าสมาบัติในขณะที่
ปรารถนา. บทว่า อกิจฺฉลาภี ได้แก่ เป็นผู้ได้ไม่ยาก เพราะเป็น
ผู้สามารถข่มอันตรายของฌานเข้าสมาบัติได้โดยง่าย. บทว่า อกสิรลาภี
ได้แก่ เป็นผู้ได้อย่างไพบูลย์ . เพราะเป็นผู้สามารถออกได้ตามกำหนด
อธิบายว่า มีฌานคล่องแคล่ว. บทว่า สิถิลมารพฺภ ได้แก่ ใช้
ความเพียรย่อหย่อน.
จบอรรถกถานวสูตรที่ ๓
๕. สุชาตสูตร
ว่าด้วยเรื่องพระสุชาต
[๗๐๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระสุชาต
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ประทับ.
[๗๐๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นพระสุชาตมา
๑. ม. สงฺกสายติ.

764
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 765 (เล่ม 26)

แต่ไกลเทียว แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า กุลบุตรนี้ย่อมงามด้วยสมบัติ
๒ อย่าง คือมีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณอันงาม
ยิ่งนัก และกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตร
ทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วย
ตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
[๗๐๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-
กรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ภิกษุนี้ย่อมงามด้วยใจอันซื่อตรงหนอ เป็นผู้หลุดพ้น
เป็นผู้พราก เป็นผู้ดับ เพราะไม่ถือมั่น ชำนะมาร
พร้อมทั้งพาหนะได้แล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งอัตภาพมีใน
ที่สุด ดังนี้.
จบสุชาตสูตรที่ ๕
อรรถกถาสุชาตสูตรที่ ๕
ในสุชาตสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อภิรูโป ได้แก่ มีรูปงามล้ำรูปอื่น ๆ. บทว่า ทสฺสนีโย
ได้แก่ ควรทัศนา. บทว่า ปาสาทิโก ได้แก่ สามารถที่จะให้ใจแจ่มใสใน
การดู. บทว่า วณฺณโปกฺขรตาย ได้แก่ด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม.
จบอรรถกถาสุชาตสูตรที่ ๕

765
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 766 (เล่ม 26)

๖. ภัททิยสูตร
ว่าด้วยเรื่องพระลกุณฏกภัททิยะ
[๗๐๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระ-
ลกุณฏกภัททิยะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
[๗๐๔] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระ-
ลกุณฏกภัททิยะมาแต่ที่ไกลเทียว แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเธอเห็นหรือไม่ ซึ่งภิกษุกำลังมาอยู่โน่น มีวรรณะไม่งาม
ไม่น่าดู เตี้ย เป็นที่ดูแคลนของภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นพระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั่นแล มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
อนึ่ง สมาบัติที่เธอไม่เคยเข้า เธอก็ได้โดยง่าย เธอกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุด
แห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิต
โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
[๗๐๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-
กรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปนี้ว่า
สัตว์ทั้งหลาย จำพวกหงส์ นกกะเรียน นกยูง ช้าง
เนื้อฟาน ทั้งหมด ย่อมกลัวราชสีห์ ความเสมอกัน
ในกายไม่มี ฉันใด ในมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น

766