No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 747 (เล่ม 26)

ปสนฺนาการํ กโรนฺติ ความว่า กระทำอาการอันผู้เลื่อมใสจะพึงทำ คือ
ถวายปัจจัย ๔. บทว่า ธมฺมํ ภาสนฺติ ความว่า เรียน ๑-๒ ชาดก
หรือพระสูตรแล้วแสดงธรรมด้วยเสียงอันไม่แตก. บทว่า ปสนฺนาการํ
กโรนฺติ ความว่า เลื่อมใสในเทศนาของภิกษุเหล่านั้นแล้วถวายปัจจัย
ของคฤหัสถ์. บทว่า เนว วณณาย โหติ น พลาย ความว่า
ไม่ใช่มีเพื่อสรรเสริญคุณ ไม่ใช่สรรเสริญญาณ และเมื่อคุณเสื่อมไป
วรรณะแห่งสรีระก็ดี กำลังแห่งสรีระก็ดี ย่อมเสื่อมไป เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่าไม่เป็นไปเพื่อวรรณะและเพื่อกำลังของสรีระ.
จบอรรถกถานาคสูตรที่ ๙
๑๐. วิฬารสูตร
ว่าด้วยภิกษุเปรียบด้วยแมว
[๖๘๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง
เข้าไปเที่ยวในสกุลเกินเวลา ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะเธออย่างนี้ว่า ท่านผู้มี
อายุ อย่าเข้าไปเที่ยวในสกุลกินเวลาเลย ภิกษุนั้นถูกพวกภิกษุว่ากล่าวอยู่
ย่อมไม่พอใจ ลำดับนั้น ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้เข้าไปเที่ยวในสกุลเกิน
เวลา ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะเธออย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ อย่าเข้าไปเที่ยว
ในสกุลเกินเวลาเลย ภิกษุนั้นถูกพวกภิกษุกล่าวอยู่ย่อมไม่พอใจ.

747
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 748 (เล่ม 26)

[๖๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่อง
เคยมีมาแล้ว มีแมวได้ยืนคอยจับลูกหนูอยู่ในที่กองหยากเยื่อที่ทางระบาย
คูถโคในบ้าน ระหว่างที่ต่อเรือนสองหลัง ด้วยคิดว่า ลูกหนูจักไปหา
เหยื่อในที่ใด เราจักจับมันกินเสียในที่นั้น ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล
ลูกหนูได้ออกไปหาเหยื่อ แมวจับลูกหนูนั้นแล้วรีบกัดกลืนลงไป ลูกหนู
นั้นกัดทั้งไส้ใหญ่และไส้น้อยของแมวนั้น แมวนั้นย่อมเข้าถึงความตาย
หรือทุกข์ปางตาย ซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ.
[๖๘๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน เวลาเช้า นุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปสู่บ้านหรือนิคมเพื่อ
บิณฑบาต มีกายวาจาและจิตอันไม่รักษาแล้ว มีสติไม่เข้าไปตั้งไว้แล้ว
มีอินทรีย์อันไม่สำรวมแล้ว เธอเห็นมาตุคามในบ้านหรือนิคมนั้น นุ่งห่ม
ผ้าลับ ๆ ล่อ ๆ ความกำหนัดย่อมรบกวนจิตของเธอ เพราะเห็นมาตุคาม
นุ่งห่มผ้าลับ ๆ ล่อ ๆ เธอมีจิตอันราคะรบกวน ชื่อว่าย่อมเข้าถึงความ
ตายหรือทุกข์ปางตาย การที่เธอบอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหีนเพศนั้น ชื่อ
ว่าเป็นความตายในอริยวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอต้องอาบัติ
เศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง การปรากฏแห่งการออกจากอาบัติตามที่ต้อง
นั้น ชื่อว่าเป็นทุกข์ปางตายทีเดียว เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึง
ศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักมีกายวาจาและจิตอันรักษาแล้ว มีสติเข้าไปตั้งไว้
แล้ว มีอินทรีย์อันรวมแล้ว เข้าไปสู่บ้านหรือนิคมเพื่อบิณฑบาต
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบวิฬารสูตรที่ ๑๐

748
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 749 (เล่ม 26)

อรรถกถาวิฬารสูตรที่ ๑๐
ในวิฬารสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สนฺธิ ในคำว่า สนฺธิสมลสงฺกติเร ได้แก่ที่ต่อแห่งเรือน
ทั้งสอง. บทว่า สมลา ได้แก่ทางเป็นที่ออกของคูถ จากบ้าน. บทว่า
สงฺกติเร ได้แก่ที่ทิ้งหยากเยื่อ. บทว่า มุทุมูสึ ได้แก่หนูอ่อน. บทว่า
วุฏฺฐานํ ปญฺญายติ ได้แก่การแสดงย่อมปรากฏ.
๑๑. ปฐมสิคาลสูตร
ว่าด้วยเรื่องสุนัขจิ้งจอก
[๖๘๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอได้ฟังเรื่องพระสุนัขจิ้งจอกผู้อยู่ใน
ปัจจุสสมัยแห่งราตรีแล้วมิใช่หรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ได้ฟังมาแล้ว พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกแก่นี้แล เป็นโรคเรื้อน มัน
อยากจะไปทางไหนก็ไปทางนั้น อยากจะยืนที่ไหน ๆ ก็ยืนที่นั่น อยาก
จะนั่งที่ไหนก็นั่งที่นั่น อยากจะนอกที่ไหนก็นอนที่นั่น ลมเย็น ๆ ย่อม
รำเพยให้มัน.
[๖๘๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้
ผู้ปฏิญาณว่าเป็นศากยบุตร ได้เสวยการได้เฉพาะซึ่งอัตภาพแม้เห็นปานนี้
เป็นการดีนักหนา เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เรา

749
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 750 (เล่ม 26)

จักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้
แหละ.
จบปฐมสิคาลสูตรที่ ๑๑
อรรถกถาปฐมสิคาลสูตรที่ ๑๑
ในปฐมสิคาลสูตรที่ ๑๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า เยน เยน อิจฺฉติ ท่านแสดงว่าสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้น
ย่อมมีใจแจ่มใสเป็นระยะ ๆ ด้วยการใช้อิริยาบถ และด้วยลมเย็นโชยชาย
ให้มันในที่ที่มันปรารถนา. คำว่า สกฺยปุตฺติยปฏิญฺโญ นี้ ท่านกล่าว
หมายถึงพระเทวทัต พระเทวทัตนั้นจักมีใจแจ่มใสถึงเพียงนี้ ในอัตภาพ
ที่จักมาข้างหน้า.
จบอรรถกถาปฐมสิคาลสูตรที่ ๑๑
๑๒. ทุติยสิคาลสูตร
ว่าด้วยเรื่องสุนัขจิ้งจอก
[๖๘๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอได้ฟังเรื่องของสุนัขจิ้งจอกผู้อยู่ในปัจจุสสมัย
แห่งราตรีแล้วมิใช่หรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ได้ฟังแล้ว พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกตัญญูบางอย่าง ความกตเวทีบาง
อย่าง พึงมีในสุนัขจิ้งจอกแก่นั้น แต่ความกตัญญูบางอย่าง ความกตเวที

750
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 751 (เล่ม 26)

บางอย่าง ไม่พึงมีในภิกษุบางรูป ผู้ปฏิญาณว่าเป็นศากยบุตรในธรรม
วินัยนี้เลย เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็น
ผู้กตัญญู เราจักเป็นผู้กตเวที อุปการะแม้น้อยที่บุคคลกระทำแล้วในพวก
เรา จักไม่เสื่อมหายไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้
แหละ.
จบทุติยสิคาลสูตรที่ ๑๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กูฏาคารสูตร ๒. นขสิขสูตร ๓. กุลสูตร
๔. โอกขาสูตร ๕. สัตติสูตร ๖. ธนุคคหสูตร
๗. อาณีสูตร ๘. กลิงครสูตร ๙. นาคสูตร
๑๐. วิฬารสูตร ๑๑. ปฐมสิคาลสูตร ๑๒.ทุติยสัคาบสูตร.
จบโอปัมมสังยุตที่ ๘
อรรถกถาทุติยสิคาลสูตรที่ ๑๒
ในสิคารสูตรที่ ๑๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า กตญฺญุตา ได้แก่รู้คุณที่ผู้อื่นทำ. บทว่า กตเวทิตา ได้แก่
รู้คุณที่ต่างจากคุณที่เขาทำ (ตอบแทน) ในข้อนั้นมีเรื่องสุนัขจิ้งจอกแก่มี
ความกตัญญู ดังต่อไปนี้.
เล่ากันมาว่า พี่น้อง ๗ คนไถนาอยู่ บรรดาพี่น้องเหล่านั้น น้อง
ชายคนสุดท้องไปเลี้ยงโคที่ปลายนา. ขณะนั้นงูเหลือมรัดสุนัขจิ้งจอกแก่
ตัวหนึ่ง. เขาเห็นดังนั้นจึงเอาไม้ตีให้งูปล่อย. งูเหลือมปล่อยสุนัขจิ้งจอก
แล้วรัดเขาทันที สุนัขจิ้งจอกคิดว่า ผู้นี้ช่วยชีวิตเรา แม้เราก็จักช่วยชีวิต

751
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 752 (เล่ม 26)

ผู้นี้ จึงคาบมีดที่วางอยู่บนหม้อข้าวยาคู. ได้ไปหาเขา. พวกพี่ ๆ กำลัง
ไถนาอยู่ เห็นเข้าจึงติดตาม ด้วยคิดว่า สุนัขจิ้งจอกลักมีด. สุนัขจิ้งจอกรู้ว่า
พวกพี่ ๆ เหล่านั้นเห็นแล้ว จึงทิ้งมีดไว้ใกล้ ๆ น้องคนสุดท้องแล้วหนี
ไป. พวกพี่ ๆ มาเห็นน้องชายถูกงูเหลือมรัดจึงเอามีดฟันงูเหลือมแล้วได้
พาน้องชายไป. ความกตัญญูกตเวทีบางอย่างพึงมีในสุนัขจิ้งจอกแก่ ด้วย
ประการฉะนี้.
แม้คำว่า สกฺยปุตฺติยปฏิญฺเญ นี้ ท่านกล่าวหมายเอาความประพฤติ
ของพระเทวทัตเท่านั้นแล.
จบอรรถกถาทุติยสิคาลสูตรที่ ๑๒
จบโอปัมมสังยุต

752
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 753 (เล่ม 26)

๙. ภิกขุสังยุต
๑. โกลิตสูตร
ว่าด้วยดุษณีภาพอันประเสริฐ
[๖๘๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ท่านพระมหาโมค-
คัลลานะเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย
ได้รับคำท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว.
[๖๘๗] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มี
อายุทั้งหลาย ความปริวิตกแห่งใจได้บังเกิดขึ้นแก่เรา ผู้เร้นอยู่ในที่ลับ
อย่างนี้ว่า ที่เรียกว่าดุษณีภาพอันประเสริฐ ดุษณีภาพอันประเสริฐ
ดังนี้ ดุษณีภาพอันประเสริฐเป็นไฉน ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ความ
ดำริได้มีแก่เราดังนี้ว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะระงับวิตกและ
วิจารเสียได้ จึงเข้าทุติยฌาน เป็นความผ่องไสแห่งใจในภายใน เป็น
ธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ นี้เรียก
ว่าดุษณีภาพอันประเสริฐ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เรานั้น เพราะ
ระงับวิตกและวิจารเสียได้ จึงเข้าทุติยฌาน เป็นความผ่องใสแห่งใจใน
ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่
สมาธิอยู่ เมื่อเรานั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญาและมนสิการอันเกิด
ร่วมกับวิตก ย่อมฟุ้งขึ้น ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้-

753
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 754 (เล่ม 26)

มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปหาเราด้วยฤทธิ์ ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า โมค-
คัลลานะ ๆ ผู้เป็นพราหมณ์อย่าประมาทดุษณีภาพอันประเสริฐ เธอจง
รวมจิตตั้งไว้ในดุษณีภาพอันประเสริฐ จงการทำจิตให้เป็นธรรมเอกผุด
ขึ้นในดุษณีภาพอันประเสริฐ จงตั้งจิตมั่นไว้ในดุษณีภาพอันประเสริฐ
สมัยต่อมา เรานั้น เพราะระงับวิตกและวิจารเสียได้ จึงเข้าทุติยฌาน เป็น
ความผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ก็บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ หมายถึงบุคคล
ใด พึงกล่าวว่าสาวกผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ได้บรรลุความรู้
อันยิ่งใหญ่แล้ว บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ พึงกล่าวหมายถึงเรานั้นว่า
สาวกผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ได้บรรลุความร้อนยิ่งใหญ่แล้ว
ดังนี้.
จบโกลิสูตรที่ ๑
ภิกขุสังยุต
อรรถกถาโกลิตสูตรที่ ๑
ภิกขุสังยุต โกลิตสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาวุโส เป็นคำเรียกพระสาวก. จริงอยู่ พระผู้มีพระ-
ภาคผู้พุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อตรัสเรียกพระสาวก ย่อมตรัสเรียกว่า ภิกฺขเว
ฝ่ายพระสาวกทั้งหลายคิดกันว่า พวกเราอย่าเป็นเหมือนพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ทีแรกกล่าวว่า อาวุโส ภายหลังกล่าวว่า ภิกฺขเว. ภิกษุ
สงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสเรียก ย่อมตอบสนองพระดำรัสว่า ภนฺเต.
ภิกษุสงฆ์ที่พระสาวกทั้งหลายเรียก ย่อมตอบว่า อาวุโส.

754
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 755 (เล่ม 26)

ในคำว่า อยํ วุจฺจติ นี้ ประกอบความดังนี้ เพราะวิตกวิจารใน
ทุติยฌานดับ สฬายตนะย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ทุติยฌานนี้นั้น ท่านจึง
เรียกว่า อริโย ตุณฺหีภาโว การนิ่งอย่างอริยะ แต่ในคำว่า ธรรมีกถา
หรือดุษณีภาพอันประเสริฐนี้ การมนสิการกัมมัฏฐานก็ดี ปฐมฌานเป็น
ต้นก็ดี นับว่าเป็นดุษณียภาพอันประเสริฐทั้งนั้น.
บทว่า วิตกฺกสหคตา ได้แก่มีวิตกเป็นอารมณ์. บทว่า สญฺญา
มนสิการา ได้แก่สัญญาและมนสิการ. บทว่า สมุทาจรนฺติ ได้แก่ย่อม
เป็นไป. ได้ยินว่า ทุติยฌานของพระเถระยังไม่ช่ำชอง เมื่อเป็นเช่นนั้น
พอท่านออกจากทุติยฌานนั้นแล้ว วิตกวิจารไม่ตั้งขึ้นโดยที่สงบไป.
ทุติยฌานก็ดี สัญญาและมนสิการก็ดีของพระเถระนั้น ได้เป็นไปในส่วน
แห่งความเสื่อมทั้งนั้น. เมื่อจะทรงแสดงทุติยฌานนั้น จึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า สณฺฐเปหิ ได้แก่ตั้งอยู่โดยชอบ. บทว่า เอโกทิภาวํ กโรหิ
ได้แก่กระทำให้มีอารมณ์เดียว. บทว่า สมาทห ได้แก่ยกขึ้นตั้งไว้โดย
ชอบ. บทว่า มหาภิญฺญตฺตํ ได้แก่อภิญญา ๖.
ได้ยินว่า พระศาสดาทรงขยายสมาธิที่เป็นไปในส่วนแห่งความ
เสื่อมของพระเถระตลอด ๗ วัน โดยอุบายนี้ ให้พระเถระบรรลุอภิญญา ๖.
จบอรรถกถาโกลิตสูตรที่ ๑
๒. อุปติสสสูตร
ว่าด้วยโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
[๖๘๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้รับคำท่านพระ-
สารีบุตรแล้ว.

755
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 756 (เล่ม 26)

[๖๘๙] ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ความปริวิตกแห่งใจได้บังเกิดขึ้นแก่เราผู้เร้นอยู่ในที่ลับอย่างนี้ว่า โสกปริ-
เทวทุกขโทมนัสและอุปายาสพึงบังเกิดขึ้นแก่เรา เพราะความแปรปรวน
เป็นอย่างอื่นแห่งสัตว์หรือสังขารใด สัตว์หรือสังขารบางอย่างนั้น ยังมี
อยู่ในโลกหรือ เราได้มีความดำริว่า โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
ไม่พึงบังเกิดขึ้นแก่เรา เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแห่งสัตว์หรือ
สังขารใด สัตว์หรือสังขารบางอย่างนั้น ไม่มีอยู่ในโลกเลย.
[๖๙๐] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์
ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า ดูก่อนท่านสารีบุตรผู้มีอายุ โสกปริ-
เทวทุกขโทมนัสและอุปายาสไม่พึงบังเกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะความแปร
ปรวนเป็นอย่างอื่นแม้แห่งพระศาสดาแลหรือ พระสารีบุตรกล่าวว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสไม่พึงบังเกิดขึ้น
แก่เรา เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแม้แห่งพระศาสดาแล อนึ่ง
ผมดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสัตว์ผู้มีศักดาใหญ่ มีฤทธิ์มาก มี
อานุภาพมาก อันตรธานไปแล้ว ถ้าพระองค์พึงดำรงอยู่ตลอดกาลนาน
ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อสุขแก่ชน
เป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุข
แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ความจริง ท่านพระสารีบุตรถอนอหังการ
มมังการ และมานานุสัยได้นานแล้ว เพราะฉะนั้น โสกปริเทวทุกข-
โทมนัสและอุปายาสทั้งหลาย จึงไม่บังเกิดขึ้นแก่ท่านพระสารีบุตร เพราะ
ความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแม้แห่งพระศาสดาแล ด้วยประการดังนี้.
จบอุปติสสสูตรที่ ๒

756