No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 737 (เล่ม 26)

ธนูทั้ง ๔ ลูกแล้วบินมาเกราะที่เสาระเนียดนั่นเอง. พญาหงส์กราบทูลพระ-
ราชาว่า โปรดทรงเห็นเถิด มหาราช ความเร็วของหม่อมฉันเร็วอย่างนี้.
พึงทราบว่า ลูกธนูเหล่านั้นพระโพธิสัตว์นำมาในครั้งเสวยพระชาติเป็น
หงส์เร็ว ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ปุรโต ธาวนฺติ ความว่า แล่นไปก่อน ๆ แต่เทวดา
เหล่านั้นมิได้อยู่ข้างหน้าตลอดเวลาเลย บางคราวอยู่ข้างหน้า บางคราวอยู่
ข้างหลัง. จริงอยู่ ในวิมานพวกอากาสัฏฐกเทวดา มีทั้งอุทยานทั้งสระ-
โบกขรณี. เทวดาเหล่านั้นอาบเล่นกีฬาน้ำในที่นั้น อยู่ข้างหลังบ้าง
ไปด้วยกำลังเร็วล้ำหน้าไปอีกก็มี. บทว่า อายุสงฺขารา ท่านกล่าวหมาย
รูปชีวิตินทรีย์. จริงอยู่ รูปชีวิตินทรีย์นั้นสิ้นไปเร็วกว่าความเร็วของเทวดา
นั้น. แต่ใคร ๆ ไม่อาจจะรู้ทั่วถึงการแยกอรูปธรรมได้.
จบอรรถกถาธนุคคหสูตรที่ ๖
๗. อาณีตสูตร
ว่าด้วยการตอกลิ่ม
[๖๗๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของ
พวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่า ทสารหะ ได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวก
ทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็
หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุ

737
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 738 (เล่ม 26)

ในอนาคต เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถ
อันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง
จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน
ว่าควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนัก
ปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของ
ภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ
จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน
ควรศึกษา.
[๖๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าว
แล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จัก
อันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษา
อย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก
เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จัก
เงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น
ว่าควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึง
ศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบอาณีสูตรที่ ๗
อรรถกถาอาณีสูตรที่ ๗
ในอาณีสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทสารหานํ ได้แก่เหล่ากษัตริย์ผู้มีชื่ออย่างนี้. ได้ยินว่า
กษัตริย์เหล่านั้น ถือเอาสิบส่วนจากข้าวกล้า ฉะนั้นจึงปรากฏชื่อว่า ทสารหา

738
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 739 (เล่ม 26)

บทว่า อานโก ได้แก่ กลองมีชื่ออย่างนี้.
ได้ยินว่า ในป่าหิมวันต์ มีสระปูใหญ่. ปูใหญ่กินข้างที่ลงไป
ในสระนั้น. ครั้งนั้น พวกช้างถูกปูเบียดเบียน มีความเห็นร่วมกันว่า
เพราะอาศัยลูกของนางช้างนี้ พวกเราจึงจักมีความสวัสดีได้ จึงได้พากัน
สักการะนางช้างเชือกหนึ่ง. แม้นางช้างนั้นก็ได้ตกลูกเป็นช้างมเหศักดิ์.
ช้างทั้งหลายพากันสักการะแม้ลูกช้างนั้น. ลูกช้างเจริญวัยแล้วถามแม่ว่า
เหตุไรช้างเหล่านี้จึงสักการะเรา. นางช้างจึงเล่าเรื่องให้ฟัง. ลูกช้างกล่าวว่า
ก็ปูเป็นอะไรกะฉัน พวกเราไปที่นั่นกันเถิด แวดล้อมไปด้วยช้างเป็น
อันมาก ไปที่นั้นแล้วลงสระก่อนทีเดียว. ปูมาหนีบลูกช้างไว้เพราะเสียง
น้ำนั่นเอง. ปูมีก้ามใหญ่. ลูกช้างไม่อาจทำปูให้เคลื่อนไปข้างโน้นข้างนี้
ได้ จึงสอดงวงเข้าปากร้องลั่น. ช้างทั้งหลายกล่าวว่า ลูกช้างที่พวกเรา
เข้าใจว่า ได้อาศัยแล้วจักมีความสวัสดีนั้น ถูกหนีบเสียก่อนเลย จึงพา
กันหนีกระจัดกระจายไป.
ลำดับนั้น แม่ของลูกช้างยืนอยู่ไม่ไกล กล่าวกะปูด้วยคำที่น่ารักว่า
พวกเราชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐบนบก พวกท่านชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐในน้ำ
ผู้ประเสริฐไม่ควรเบียดเบียนผู้ประเสริฐ ดังนี้แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
เย กุฬีรา สมุทฺทสฺมึ คงฺคาย ยมุนาย จ
เตสํ ตฺวํ วาริโช เสฏฺโฐ มุญฺจ โรทนฺติยา ปชํ
บรรดาปูทั้งหลาย ในทะเล ในแม่น้ำคงคา
และแม่น้ำยมุนาเหล่านั้น ท่านเป็นสัตว์น้ำที่ประเสริฐ
ที่สุด ขอท่านจงปล่อยลูกของเราผู้ร้องไห้อยู่.

739
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 740 (เล่ม 26)

ธรรมดาเสียงมาตุคาม. ย่อมทำให้บุรุษปั่นป่วน ฉะนั้น ปูจึงได้
คลายหนีบ ลูกช้างรีบยกเท้าทั้งสองขึ้นเหยียบหลังปู. พอถูกเหยียบ หลัง
ปูแตกเหมือนภาชนะดิน. ลำดับนั้น ลูกช้างเอางาทั้งสองแทงปู ยกขึ้น
ทิ้งไปบนนก แล้วส่งเสียงร้องแสดงความยินดี ช้างทั้งหลายมาจากที่ต่างๆ
เหยียบปูนั้น. ก้ามปูก้ามหนึ่งหักกระเด็น ท้าวสักกเทวราชทรงถือเอา
ก้ามปูนั้นไป.
ส่วนก้ามปูอีกก้ามหนึ่งถูกลมและแดดเผาจนสุก มีสีเหมือนน้ำครั่ง
เคี่ยว. เมื่อฝนตก ก้ามปูนั้นถูกระแสน้ำพัดลมลอยมาติดข่ายของพระราชา
สิบพี่น้องผู้ขึงข่ายไว้เหนือน้ำ เล่นน้ำอยู่ที่แม่น้ำคงคา. เมื่อเล่นน้ำแล้ว
ยกข่ายขึ้น พระราชาเหล่านั้นทรงเห็นก้ามปูนั้น ตรัสถามว่า นั่นอะไร.
ก้ามปู พะย่ะค่ะ. พระราชาทั้งหลายตรัสว่า ก้ามปูนี้ ไม่อาจนำไปเป็น
เครื่องประดับได้ พวกเราจักให้หุ้มก้ามปูนี้ทำกลอง รับสั่งให้หุ้มแล้ว
ทรงตี. เสียง (กลอง) ดังไปทั่วพระนคร ๑๒ โยชน์. ต่อแต่นั้น
พระราชาทั้งหลายตรัสว่า ไม่อาจประโคมกลองนี้ประจำวัน จงเป็นมงคล-
เภรีสำหรับวันมหรสพเถิด จึงให้ทำเป็นมงคลเภรี. เมื่อประโคมกลองนั้น
ประชาชนไม่ทันอาบน้ำ ไม่ทันแต่งตัว รีบขึ้นยานช้างเป็นต้นไปประชุม.
กลองนั้นได้ชื่อว่า อานกะ เพราะเหมือนเรียกประชาชนมา ด้วย
ประการฉะนี้.
บทว่า อญฺญํ อาณึ โอทหึสุ ความว่า ตอกลิ่มอื่นที่สำเร็จด้วย
ทองและเงินเป็นต้น. บทว่า อาณิสงฺฆาโตว อวสิสฺสติ ความว่า
เพียงการตอกลิ่มที่สำเร็จด้วยทองเป็นต้นเท่านั้นได้เหลืออยู่. ลำดับนั้น
เสียงของกลองนั้นดังไปประมาณ ๑๒ โยชน์ แม้อยู่ภายในม่านก็ยากที่จะ

740
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 741 (เล่ม 26)

ได้ยิน.
บทว่า คมฺภีรา ความว่า ว่าโดยบาลีพระสูตรทั้งหลายที่ลึก เช่น
สัลลสูตร. บทว่า คมฺภีรตฺถา ความว่า ว่าด้วยอรรถ พระสูตรทั้งหลาย
ที่ลึก เช่นมหาเวทัลลสูตร. บทว่า โลกุตฺตรา ได้แก่แสดงอรรถอันเป็น
โลกุตตระ. บทว่า สุญฺญตปฏิสญฺญุตฺตา ความว่า เหมือนประกอบ
ข้อความที่ประกาศเพียงสุญญตธรรมเท่านั้น. บทว่า อุคฺคเหตพฺพํ
ปริยาปุณิตพฺพํ ความว่า ที่ควรเล่าเรียนและควรศึกษา. บทว่า กวิกตา
ความว่า อันกวี คือนักปราชญ์รจนาไว้. นอกนั้นเป็นไวพจน์ของบทว่า
กวิกตา นั่นเอง. บทว่า จิตฺตกฺขรา ได้แก่ มีอักษรวิจิตร. นอกนั้นเป็น
ไวพจน์ของบทว่า จิตฺตกฺขรา นั่นเอง. บทว่า พาหิรกา ได้แก่ มีภาย
นอกพระศาสนา. บทว่า สาวกภาสิตา ความว่า พระสูตรเหล่านั้นเป็น
สาวกภาษิต. บทว่า สุสฺสุสิสฺสนฺติ ความว่า สามเณร ภิกษุหนุ่ม
มาตุคาม และมหาคหบดีเป็นต้น มีความพอใจ เพราะพระสูตรเหล่านั้นมี
อักษรวิจิตรและสมบูรณ์ด้วยการฟัง จักเป็นผู้ปรารถนาประชุมฟังด้วยคิด
ว่า ผู้นี้เป็นธรรมกถึก. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุนั้น พระสูตร
ทั้งหลายที่เป็นตถาคตภาษิต เมื่อพวกเราไม่ศึกษา ย่อมอันตรธานไป.
จบอรรถกถาอาณีสูตรที่ ๗
๘. กลิงครสูตร
ว่าด้วยหมอนท่อนไม้หนุนศีรษะและเท้า
[๖๗๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคาร-
ศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

741
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 742 (เล่ม 26)

เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้ทูลรับพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า.
[๖๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน
ปัจจุบัน พวกกษัตริย์ลิจฉวีผู้ทรงไว้ซึ่งหมอนท่อนไม้หนุนศีรษะะและเท้า
ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรในการฝึกซ้อมศิลปะ พระเจ้าอชาตสัตรู
เวเทหิบุตร พระเจ้าแผ่นดินมคธ ย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้โอกาส แต่
กษัตริลิจฉวีเหล่านั้น ในอนาคตกาล พวกกษัตริย์ลิจฉวีจักเป็นกษัตริย์
สุขุมาลชาติ มีมือและเท้าอันอ่อนนุ่ม จักสำเร็จการนอนบนที่นอน มี
ฟูกและหมอนหนาอันอ่อนนุ่ม จนกว่าพระอาทิตย์ขึ้น พระเจ้าอชาตสัตรู
เวเทหิบุตร พระเจ้าแผ่นดินมคธ จักได้ช่อง ได้โอกาส แต่กษัตริย์
ลิจฉวีเหล่านั้น.
[๖๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในปัจจุบัน พวกภิกษุผู้เข้าไปทรง
ไว้ซึ่งหมอนท่อนไม้หนุนศีรษะและเท้า ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท มีความ
เพียร ในการเริ่มตั้งความเพียรอยู่ มารผู้มีบาปย่อมไม่ได้ช่อง ย่อมไม่ได้
โอกาส แต่ภิกษุเหล่านั้น ในอนาคตกาล พวกภิกษุจักเป็นสุขุมาลชาติ
มีมือเท้าอันอ่อนนุ่ม จักสำเร็จการนอนบนที่นอนมีฟูกและหมอนหนาอัน
อ่อนนุ่ม จนกว่าพระอาทิตย์ขึ้น มารผู้มีบาป ย่อมได้ช่อง ได้โอกาส
แก่พวกเธอเหล่านั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราจักเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งหมอนท่อนไม้หนุนศีรษะและเท้า ไม่ประมาท มี
ความเพียร ในการเริ่มตั้งความเพียรไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
พึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบกลิงครสูตรที่ ๘

742
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 743 (เล่ม 26)

อรรถกถากลิงครสูตรที่ ๘
ในกลิงครสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า กลิงฺครูปธานา ได้แก่ กระทำท่อนไม้ คือท่อนไม่ตะเคียน
เป็นหมอนหนุนศีรษะและหนุนเท้า. บทว่า อปฺปมตฺตา ได้แก่ ไม่
ประมาทในการเรียนศิลปะ. บทว่า อาตาปิโน ได้แก่ เริ่มประกอบความ
เพียรคือความหมั่นอันเป็นเหตุทำกิเลสให้เร่าร้อน. บทว่า อุปาสนสฺมึ
ได้แก่ ในการเริ่มประกอบศิลปะและในการเข้าไปนั่งใกล้อาจารย์. ได้ยินว่า
ในกาลนั้น พวกเขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ไปโรงศิลปะ เรียนศิลปะในโรงศิลปะ
นั้นแล้ว กระทำการประกอบความเพียรด้วยการเรียนและการสาธยาย
เป็นต้น ล้างหน้าแล้ว ไปดื่มข้าวยาคู ดื่มข้าวยาคูแล้วไปสู่โรงศิลปะอีก
กระทำการสาธยาย ไปกินอาหารเช้า กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว คิดว่า ขอ
พวกเราอย่าได้หลับนานด้วยความประมาทเลย แล้วหนุนศีรษะและเท้าที่
ท่อนไม้ตะเคียน หลับไปหน่อยหนึ่งแล้วไปโรงศิลปะอีก เรียนสาธยายศิลปะ
และเวลาเย็นกระทำการสาธยายศิลปะ กลับไปเรือนบริโภคอาหารเย็น ปฐม-
ยามกระทำการสาธยาย เวลาเย็นนอนหนุนท่อนไม้เหมือนอย่างนั้นนั่นแล
เขาเหล่านั้น ไม่รู้ขณะ และมีปัญญาอ่อน ซึ่งท่านหมายเอากล่าวไว้ดังนี้.
บทว่า โอตารํ แปลว่า ช่อง. บทว่า อารมฺมณํ ได้แก่ ปัจจัย.
บทว่า ปธานสฺมึ ได้แก่ กระทำความเพียรในสถานที่สำหรับทำความเพียร.
ได้ยินว่า ในครั้งปฐมโพธิกาล ภิกษุทั้งหลาย กระทำภัตกิจเสร็จ
แล้วมนสิการพระกรรมฐาน เมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังมนสิการอยู่นั้นแล
พระอาทิตย์ก็อัสดงคต. ภิกษุเหล่านั้น อาบน้ำแล้ว ลงจงกรมอีก จง-

743
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 744 (เล่ม 26)

กรมตลอดปฐมยาม. แต่นั้นคิดว่า พวกเราอย่านอนหลับนาน นอนเพื่อ
บรรเทาความลำบากทางร่างกาย จึงนอนหนุนท่อนไม้. ก็ภิกษุเหล่านั้น
ลุกขึ้นในปัจฉิมยาม แล้วลงจงกรม. ท่านหมายเอาภิกษุเหล่านั้น จึง
กล่าวไว้ดังนี้ . ในรัชกาลแห่งพระเจ้าแผ่นดินถึง ๓ รัชกาล เกาะแม้นี้ก็
เป็นที่มีเสียงระฆังเป็นอันเดียวกัน ได้เป็นพื้นที่สำหรับบำเพ็ญเพียรอัน
เดียวกัน ระฆังที่เขาตีที่วิหารต่าง ๆ ก็ดังประสมไปที่ปิลิจฉิโกฏินคร๑
ระฆังที่เขาตีที่กัลยาณีวิหาร ก็ดังประสมไปที่นาคทวีป ภิกษุนี้จะถูกเขา
เหยียดนิ้วชี้ว่า ผู้นี้เป็นปุถุชน. ภิกษุทั้งหมดได้เป็นพระอรหันต์ในวัน
เดียวกัน. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่มารไม่ได้เครื่องหนุนคือ
ท่อนไม้เป็นอารมณ์.
จบอรรถกถากลิงครสูตรที่ ๘
๙. นาคสูตร
ว่าด้วยภิกษุใหม่เปรียบด้วยช้าง
[๖๗๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง
เข้าไปสู่สกุลเกินเวลา ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าวกะเธออย่างนี้ว่า ท่านมีอายุ
อย่าเข้าไปสู่สกุลเกินเวลาเลย เธอถูกพวกภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ จึง
กล่าวอย่างนี้ว่า ก็ภิกษุชั้นเถระเหล่านี้จักสำคัญสกุลทั้งหลายว่า ควรเข้า
๑. ม. ปิลิจฺฉิโกฏิยํ.

744
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 745 (เล่ม 26)

ไปหา ส่วนเราไฉนจักเข้าไปไม่ได้ ครั้งนั้นแล พวกภิกษุมากรูปด้วยกัน
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุใหม่รูปหนึ่งในพระธรรม
วินัยนี้ เข้าไปสู่สกุลเกินเวลา ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะเธออย่างนี้ว่า ท่านผู้
มีอายุ อย่าเข้าไปสู่สกุลเกินเวลาเลย เธอเมื่อถูกภิกษุว่ากล่าวอยู่ ได้กล่าว
อย่างนี้ว่า ก็ภิกษุชั้นเถระเหล่านี้จักสำคัญสกุลทั้งหลายว่า ควรเข้าไปหา
ส่วนเราไฉนจักเข้าไปไม่ได้.
[๖๘๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่อง
เคยมีมาแล้ว มีสระใหญ่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ช้างทั้งหลายอาศัยสระ
เหล่านั้นอยู่ ช้างเหล่านั้นลงสู่สระน้ำแล้ว ถอนเหง้าและรากบัวขึ้นด้วยงวง
ล้างให้ดีแล้ว เคี้ยวกินเหง้าและรากบัวที่ไม่มีเปือกตม ข้อนั้นย่อมเป็นไป
เพื่อวรรณะและเพื่อกำลังแก่ช้างเหล่านั้น ช้างเหล่านั้นย่อมไม่เข้าถึงความ
ตายหรือทุกข์ปางตายซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ ส่วนลูกช้างเล็ก ๆ สำเหนียก
ตามช้างใหญ่เหล่านั้นนั่นเทียว พวกมันลงสู่สระนั้นแล้ว ถอนเหง้าและราก
บัวขึ้นด้วยงวง ไม่ล้างให้ดีจึงเคี้ยวกินทั้งเปือกตม ข้อนั้นย่อมไม่เป็นไป
เพื่อวรรณะและเพื่อกำลังแก่ลูกช้างเหล่านั้น ลูกช้างเหล่านั้นย่อมเข้าถึง
ความตายหรือทุกข์ปางตายซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ.
[๖๗๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุผู้เถระในธรรมวินัยนี้ก็
ฉันนั้นเหมือนกัน เวลาเช้า นุ่งผ้าถือบาตรและจีวรเข้าไปสู่บ้านหรือนิคม
เพื่อบิณฑบาต พวกเธอย่อมกล่าวธรรมในที่นั้น คฤหัสถ์ทั้งหลายผู้เลื่อมใส

745
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 746 (เล่ม 26)

ย่อมกระทำอาการเลื่อมใสแก่พวกเธอ พวกเธอไม่กำหนัด ไม่หมกมุ่น
ไม่พัวพัน มักเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก ย่อมบริโภคลาภนั้น
ข้อนั้นย่อมเป็นไปเพื่อวรรณะและเพื่อกำลังแก่ภิกษุผู้เถระเหล่านั้น พวก
เธอย่อมไม่เข้าถึงความตายหรือทุกข์ปางตายซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ ส่วนพวก
ภิกษุใหม่ ผู้ตามสำเหนียกภิกษุผู้เถระเหล่านั้นนั่นเทียว เวลาเช้า นุ่งผ้า
ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่บ้านหรือนิคมเพื่อบิณฑบาต พวกเธอย่อมกล่าวธรรม
ในที่นั้น คฤหัสถ์ทั้งหลายผู้เลื่อมใส ย่อมกระทำอาการเลื่อมใสแก่พวกเธอ
พวกเธอกำหนัด หมกมุ่น พัวพ้น มักไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเป็น
เครื่องสลัดออก ย่อมบริโภคลาภนั้น ข้อนั้นย่อมไม่เป็นไปเพื่อวรรณะ
และเพื่อกำลังของพวกเธอ พวกเธอย่อมเข้าถึงความตายหรือทุกข์ปางตาย
ซึ่งมีข้อนั้นเป็นเหตุ เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราทั้งหลายจักไม่กำหนัด ไม่หมกมุ่น มักเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่อง
สลัดออกบริโภค ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบนาคสูตรที่ ๙
อรรถกถานาคสูตรที่ ๙
ในนาคสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อติเวลํ ความว่า กาลที่ล่วงเวลาไป คือกาลที่ล่วงประมาณไป.
บทว่า กิมงฺคํ ปนาหํ ถามว่า ก็เพราะเหตุไร เราจึงไม่เข้าไปหา. บทว่า
ภิสมูฬาลํ ได้แก่ เหง้า และรากน้อยใหญ่. บทว่า อพฺภุคฺคเหตฺวา๑ ได้แก่
ถอนขึ้น. บทว่า ภิกจฺฉาปา ได้แก่ ลูกช้าง. ได้ยินว่า ลูกช้างเหล่านั้น
ร้องเหมือนเสียงช้างรุ่น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าลูกช้าง. บทว่า
๑. ม. อพฺภุเหตฺวา.

746