No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 727 (เล่ม 26)

รวมกันที่ยอด. บทว่า กูฏสมุคฺฆาตา ความว่า เมื่อรื้อยอดเรือน.
บทว่า อวิชฺชาสมุคฺฆาตา ความว่า เพราะถอนอวิชชาได้ด้วยอรหัต-
มรรค. บทว่า อปฺปปตฺตา ได้แก่เป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่อยู่ปราศจากสติ.
จบอรรถกถากูฏาคารสูตรที่ ๑
๒. นขสิขสูตร
ว่าด้วยสัตว์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย
เหมือนฝุ่นติดปลายเล็บ
[๖๖๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงช้อนฝุ่นเล็กน้อยไว้ที่ปลายพระนขาแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลาย
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฝุ่น
เล็กน้อยที่เราช้อนขึ้นไว้ที่ปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนี้ อย่างไหนมากกว่ากัน.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาปฐพีนั่น
แหละมากกว่า ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนขึ้นไว้ที่ปลาย
พระนขานี้มีประมาณน้อย ย่อมไม่ถึงแม้ซึ่งการนับ ย่อมไม่ถึงแม้ซึ่งการ
เทียบเคียง ย่อมไม่ถึงแม้ซึ่งส่วนแห่งเสี้ยว เพราะเทียบมหาปฐพีเข้าแล้ว
ฝุ่นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนขึ้นไว้ที่ปลายพระนขามีประมาณเล็ก
น้อย.
[๖๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มี
ประมาณน้อย สัตว์ไปเกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์มีมากกว่ามากทีเดียว
ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

727
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 728 (เล่ม 26)

เราจักเป็นผู้ไม่ประมาท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่าง
นี้นั่นแหละ.
จบนขสิขสูตรที่ ๒
อรรถกถานขสิขสูตรที่ ๒
ในนขสิขสูตรที่ ๒ มีวินิฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มนุสฺเสสุ ปจฺจาชายนฺติ มีอธิบายว่า เหล่าชนที่จุติจาก
มนุษยโลกแล้วเกิดในมนุษยโลกนั้นแล มีประมาณน้อย. บทว่า อญฺญตฺร
มนุสฺเสหิ ความว่า เหล่าชนที่จุติจากมนุษยโลกแล้วไม่เกิดในมนุษยโลก
ไปเกิดเฉพาะในอบาย ๔ มีมากกว่า เหมือนฝุ่นในมหาปฐพี. ก็ในพระ-
สูตรนี้ ท่านรวมเทวดากับมนุษย์ทั้งหลายเข้าด้วยกัน. เพราะฉะนั้น พึง
ทราบว่า ผู้เกิดในเทวโลกมีประมาณน้อย เหมือนผู้ที่เกิดในมนุษยโลก
ฉะนั้น.
จบอรรถกถานขสิขสูตรที่ ๒
๓. กุลสูตร
ว่าด้วยอานิสงส์เมตตาเจโตวิมุตติ
[๖๖๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สกุลใดสกุลหนึ่งมีสตรีมาก
มีบุรุษน้อย สกุลเหล่านั้นย่อมถูกพวกโจรผู้ขโมยด้วยหม้อปล้นได้ง่าย แม้

728
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 729 (เล่ม 26)

ฉันใด ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งไม่เจริญเมตตาเจโตวิมุตติ ไม่กระทำให้มากแล้ว
ภิกษุรูปนั้นย่อมถูกพวกอมนุษย์กำจัดได้ง่าย ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๖๖๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สกุลเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีสตรีน้อย
มีบุรุษมาก สกุลเหล่านั้นย่อมถูกพวกโจรผู้ขโมยด้วยหม้อปล้นได้ยาก แม้
ฉันใด ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ การทำให้มากแล้ว ภิกษุ
รูปนั้นย่อมเป็นผู้อันอมนุษย์กำจัดได้ยาก เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลาย
พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำ
ให้เป็นประดุจยาน กระทำให้เป็นที่ตั้งอาศัย ให้มั่นคง สั่งสมปรารภด้วยดี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบกุลสูตรที่ ๓
อรรถกถากุลสูตรที่ ๓
ในกุลสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สุปฺปธํสิยานิ ได้แก่ ถูกพวกโจรเบียดเบียนได้ง่าย. บทว่า
กุมฺภตฺเถนเกหิ ความว่า ชื่อว่า กุมฺภตฺเถนกา ได้แก่ เหล่าโจรผู้เข้าเรือน
คนอื่น ตรวจดูด้วยแสงประทีป ประสงค์จะลักสิ่งของของคนอื่น จุด
ประทีปใส่หม้อเข้าไป สิ่งของเหล่านั้นอันโจรผู้ใช้หม้อเหล่านั้นขโมยได้ง่าย.
บทว่า อนนุสฺเสหิ ความว่า จริงอยู่ ปิศาจผู้เล่นฝุ่น ย่อมกำจัดผู้เว้น
เมตตาภาวนา จะป่วยกล่าวไปไยถึงพวกอมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เล่า. บทว่า
ภาวิตา ได้แก่ ให้เจริญนั่นแล. บทว่า พหุลีกตา ได้แก่ กระทำบ่อย ๆ.
บทว่า ยานีกตา ได้แก่ กระทำให้เป็นดุจยานที่เทียมแล้ว. บทว่า
วตฺถุกตา ได้แก่ กระทำให้เป็นดุจพื้นที่ เพราะอรรถว่า เป็นที่ตั้งอาศัย

729
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 730 (เล่ม 26)

บทว่า อนุฏฺฐิตา ได้แก่ ตั้งมั่นแล้ว. บทว่า ปริจิตา ได้แก่ สั่งสม
โดยรอบ. บทว่า สุสมาทฺธา ได้แก่ มีจิตพากเพียรด้วยดี.
จบอรรถกถากุลสูตรที่ ๓
๔. โอกขาสูตร
ว่าด้วยการให้ทาน
[๖๖๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อราม
ของท่านอนาถบิณฑิตเศรษฐี กรุงสาวัตถี... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ใน
เวลาเช้า ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเที่ยง ผู้ใดพึง
ให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเย็น ผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตใน
เวลาเช้า โดยที่สุดแม้เพียงชั่วการหยดน้ำมันแห่งแม่โค หรือผู้ใดพึงเจริญ
เมตตาจิตในเวลาเที่ยง โดยที่สุดแม้เพียงชั่วการหยดน้ำมันแห่งแม่โค หรือ
ผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเย็น โดยที่สุดแม้เพียงชั่วการหยดน้ำมันแห่ง
แม่โค การเจริญเมตตาจิตนี้มีผลมากกว่าทานที่บุคคลให้แล้ว ๓ ครั้ง
ในวันหนึ่งนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เรา
จักเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นประดุจยาน
กระทำให้เป็นที่ตั้งอาศัย ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภด้วยดี ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบโอกขาสูตรที่ ๔

730
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 731 (เล่ม 26)

อรรถกถาโอกขาสูตรที่ ๔
ในโอกขาสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โอกฺขาสตํ ได้แก่ หม้อปากกว้าง ๑๐๐ หม้อ. บทว่า ทานํ
ทเทยฺย ความว่า พึงให้ทานหม้อใหญ่เต็มด้วยโภชนะประณีต ๑๐๐ หม้อ.
บาลีว่า อุกฺกาสตํ ดังนี้ก็มี. ความของบาลีนั้นว่า ประทีปด้าม ๑๐๐ ดวง
อธิบายว่า พึงถวายทานเต็มด้วยรัตนะ ๗ ตลอดสถานที่ร้อยเท่าจากสถาน
ที่ที่แสงสว่างของประทีปดวงหนึ่งแผ่ไปถึง. บทว่า คทฺทูหนมตฺตํ ได้แก่
เพียงการหยดน้ำนมแห่งแม่โค อธิบายว่า เพียงการบีบหัวนมแม่โคครั้ง
เดียว. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เพียงสละกลิ่น คือเพียงใช้ ๒ นิ้วจับ
ก้อนของหอมสูดดมครั้งเดียว. ก็ตลอดกาลแม้เพียงนี้ ผู้ใดสามารถเจริญ
เมตตาจิต แผ่ประโยชน์เกื้อกูลไปในสรรพสัตว์ในโลกธาตุทั้ง ๔ ซึ่งหา
ประมาณมิได้ โดยกำหนดเอาห้องบริเวณและอุปจารวิหาร หรือโดยกำหนด
เอาจักรวาล การเจริญเมตตาจิตของผู้นั้นนี้มีผลมากกว่านั้น คือกว่าทาน
ที่เขาให้วันละ ๓ ครั้ง.
จบอรรถกถาโอกขาสูตรที่ ๔
๕. สัตติสูตร
ว่าด้วยหอก
[๖๖๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หอกมีใบอันคม ถ้าบุรุษพึงมากล่าวว่า

731
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 732 (เล่ม 26)

เราจักงอเข้า จักพับ จักม้วน ซึ่งหอกมีใบอันคมนี้ด้วยฝ่ามือ หรือด้วย
กำมือ ดังนี้ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเป็นผู้สามารถ
เพื่อจะงอเข้า เพื่อจะพับ เพื่อจะม้วน ซึ่งหอกมีใบอันคมโน้นด้วยฝ่ามือ
หรือด้วยกำมือได้หรือหนอ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นไปไม่ได้ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้นเพราะเหตุไร.
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่าการที่จะงอเข้า จะพับและม้วน
ซึ่งหอกมีใบอันคมด้วยฝ่ามือหรือด้วยกำมือ กระทำไม่ได้ง่าย ก็แหละบุรุษ
นั้น พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเหน็ดเหนื่อยลำบากถ่ายเดียว แม้ฉันใด.
[๖๖๙] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เจริญ
เมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นประดุจยาน กระทำให้
เป็นที่ตั้งอาศัยให้มั่นคง สั่งสม ปรารภด้วยดี ถ้าอมนุษย์จะพึงกระทำจิต
ของภิกษุนั้นให้ฟุ้งซ่าน อมนุษย์นั้นพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเหน็ดเหนื่อย
ลำบากถ่ายเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึง
ศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำให้
เป็นประดุจยาน กระทำให้เป็นที่ตั้งอาศัย ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภด้วยดี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบสัตติสูตรที่ ๕
อรรถกถาสัตติสูตร
ในสัตติสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ในคำว่า ปฏิเลณิสฺสามิ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า

732
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 733 (เล่ม 26)

งอ ได้แก่ รวบปลายน้อมมาเหลือมเกลียวฝ่าย และคล้องรวมกันไว้
เหมือนเกลียวยางไม้. ชื่อว่า พับ ได้แก่ รวมตรงกลางแล้วน้อมมา หรือ
รวมเข้ากับคมแล้วเอาคมทั้ง ๒ คล้องเข้าด้วยถัน. ชื่อว่า ม้วน ได้แก่
ม้วนเหมือนการกระทำอย่างเกลียวฝ้าย คลี่เสื่อลำแพนที่ม้วนไว้นานแล้ว
ม้วนกลับตามเดิม.
จบอรรถกถาสัตติสูตรที่ ๕
๖. ธนุคคหสูตร
ว่าด้วยการจับลูกธนู
[๖๗๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายขมังธนู ๔ คน ถือธนูอันมั่นคง ได้ศึกษา
มาดีแล้ว เป็นผู้มีความชำนาญ เป็นผู้มีศิลปะอันได้แสดงแล้ว ยืนอยู่แล้ว
ในทิศทั้ง ถ้าบุรุษพึงมากกล่าวว่า เราจักจันลูกธนูทั้งหลายที่นายขมังธนู
ทั้ง ๔ เหล่านี้ยิงมาจากทิศทั้ง ๔ ไม่ให้ตกถึงแผ่นดิน เธอทั้งหลายจะสำคัญ
ความข้อนั้นเป็นไฉน ควรจะกล่าวได้ว่า บุรุษผู้มีความเร็ว ประกอบด้วย
ความเร็วอย่างยอดเยี่ยม ดังนี้หรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าแม้บุรุษจะพึง
จับลูกธนูที่นายขมังธนูเพียงคนเดียวยิง ไม่ให้ตกถึงแผ่นดิน ก็ควรจะกล่าว
ได้ว่า บุรุษผู้มีความเร็ว ประกอบด้วยความเร็วอย่างยอดเยี่ยม จะกล่าว
ไปไยถึงการจับลูกธนูทั้ง ๔ ลูกที่นายขมังธนู ๔ คนยิงมาจาก ๔ ทิศ แม้

733
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 734 (เล่ม 26)

ฉันใด.
[๖๗๑] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ความเร็วของ
พระจันทร์และพระอาทิตย์ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษนั้น ความเร็วของ
เทวดาที่ไปข้างหน้าพระจันทร์พระอาทิตย์ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษและ
ความเร็วของพระจันทร์และพระอาทิตย์ อายุสังขารสิ้นไปเร็วกว่าความเร็ว
นั้น ๆ เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลาย
จักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้
แหละ.
จบธนุคคหสูตรที่ ๖
อรรถกถาธนุคคหสูตรที่ ๖
ในธนุคคหสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทฬฺหธมฺมา ธนุคฺคหา ได้แก่ นายขมังธนูผู้แม่นธนู-
ธนูที่ใช้กำลัง ๒,๐๐๐ คนโก่ง เรียกชื่อว่า ทัฬหธนุ (ธนูหนัก). บุคคล
ผู้โก่งธนู จับที่คันธนู ซึ่งผูกสายธนูแล้ว อันหนักด้วยเครื่องประกอบ
ที่หัวคันธนูมีโลหะเป็นต้น แล้วยกคันธนูขึ้น ให้พ้นพื้นดิน ชั่วระยะ
ลูกศรหนึ่ง. บทว่า สุสิกฺขิตา ได้แก่ ศิลปะที่เรียนในสำนักอาจารย์
ตลอด ๑๒ ปี. บทว่า กตหตฺถา ความว่า ผู้ที่เรียนเฉพาะแต่ศิลปะ
เท่านั้น ไม่มีการฝึกฝีมือ. ส่วนชนผู้ฝึกฝีมือเหล่านี้ มีความชำนาญที่อบรม
มาแล้ว. บทว่า กตูปาสนา ได้แก่ ผู้ที่ประลองศิลปะในราชตระกูลเป็นต้น
แล้ว.

734
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 735 (เล่ม 26)

บทว่า ตสฺส ปุริสสฺส ชโว ความว่า ขึ้นชื่อว่า บุรุษอื่นเห็น
ปานนี้ไม่เคยมี. ส่วนพระโพธิสัตว์เท่านั้น ได้ชื่อว่า ชวนหังสกาล.
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้นำลูกธนูทั้ง ๔ มาแล้ว.
ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พี่น้องชายของพระโพธิสัตว์บอกว่า ข้าแต่
พี่ชาย พวกเราจักแล่นแข่งไปกับพระอาทิตย์. พระโพธิสัตว์กล่าว
พระอาทิตย์เร็วมาก พวกเจ้าไม่อาจไปเร็วเท่าพระอาทิตย์ได้. พี่น้องกล่าว
อย่างนั้นแหละ ๒-๓ ครั้ง คิดว่าจะไปในวันหนึ่ง จึงบินขึ้นไปจับอยู่ ณ
ภูเขายุคันธร. พระโพธิสัตว์ถามว่า พี่ชายของเราไปไหน เมื่อเขาตอบว่า
ไปแข่งกับพระอาทิตย์ จึงคิดว่า ผู้มีตบะจักพินาศ สงสารพี่ชายทั้งสอง
ตนเองจึงไปจับอยู่ในสำนักของพี่ชายทั้งสอง. ครั้นพระอาทิตย์ขึ้น พี่น้อง
ทั้งสองก็บินสู่อากาศพร้อมพระอาทิตย์ทีเดียว. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็บินไป
กับพี่ชายทั้งสองด้วย. บรรดาพี่น้องทั้งสองนั้น เมื่อตัวหนึ่งไปยิ่งไม่ถึงเวลา
กินอาหารเลย เกิดไฟขึ้นในระหว่างปีก. จึงเรียกพี่ชายบอกว่าฉันไม่สามารถ
ดังนี้. พระโพธิสัตว์ปลอบโยนพี่ชายนั้นว่า อย่ากลัวเลย ให้พี่ชายเข้าไป
อยู่ในกรงปีก บรรเทาความกระวนกระวายแล้ว ส่งไปว่า ไปเถิด.
พี่ชายตัวที่สองบินไปชั่วเวลากินอาหาร ไฟตั้งขึ้นในระหว่างปีก
จึงกล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้กระทำอย่างนั้นแหละ
ส่งไปว่า ไปเถิด. ส่วนตนเองบินไปจนเที่ยงวัน คิดว่าสองพี่น้องนี้โง่
บินกลับด้วยคิดว่า เราไม่พึงโง่ ได้บินไปยังกรุงพาราณสีด้วยหมายใจว่า
จักเฝ้าพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นอทิฏฐสหาย (สหายที่ไม่เคยเห็นกัน). เมื่อ
พระโพธิสัตว์บินวนอยู่เหนือนครนั้น. นคร ๑๒ โยชน์ได้เป็นเหมือนบาตรที่

735
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 736 (เล่ม 26)

ฝาบาตรครอบไว้. ขณะเมื่อพระโพธิสัตว์กำลังบินวนอยู่ ได้ปรากฏช่อง
ในที่นั้น ๆ แม้พระโพธิสัตว์เองก็ปรากฏเหมือนหงส์หลายพันตัว. พระ-
โพธิสัตว์ลดกำลังบินมุ่งหน้าต่อพระราชมณเฑียร พระราชาทรงตรวจดู
ทรงทราบว่าหงส์มีกำลังเร็ว เพื่อนรักของเรามาแล้ว ทรงเปิดพระบัญชร
จัดตั้งตั่งรัตนะประทับยืนทอดพระเนตรอยู่. พระโพธิสัตว์จับบนตั่งรัตนะ.
ลำดับนั้น พระราชาทรงเอาน้ำมันที่หุงตั้งพันครั้งทาปีกทั้งสองของ
พระโพธิสัตว์แล้วได้พระราชทานข้าวตอกมีรสอร่อยและปานะมีรสอร่อย.
ต่อแต่นั้นพระราชาได้ตรัสถามพระโพธิสัตว์ผู้บริโภคเสร็จแล้วว่า เพื่อน
ท่านได้ไปที่ไหนมา. พระโพธิสัตว์เล่าเรื่องนั้นแล้ว ทูลว่า มหาราช
หม่อมฉันบินไปจนเที่ยงวัน การบินไม่มีประโยชน์ ดังนั้นหม่อมฉันจึง
กลับมา. พระราชารับสั่งกะพระโพธิสัตว์ว่า นาย ฉันปรารถนาจะเห็น
กำลังความเร็วของท่านกับพระอาทิตย์. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ทำได้ยาก
มหาราช พระองค์ไม่อาจจะเห็นได้. พระราชาตรัสว่า นาย ถ้าอย่างนั้น
ขอท่านจงแสดงพอให้คล้าย ๆ กัน. พระโพธิสัตว์ทูลว่า ดีแล้ว มหาราช
ขอพระองค์โปรดให้พวกขมังธนูประชุมกันเถิด. พระราชามีรับสั่งให้พวก
ขมังธนูประชุมกัน. พญาหงส์ไปพาพวกขมังธนู ๔ คนให้กระทำเสาระเนียด
ท่ามกลางนคร ให้ประดับลูกธนูที่คอของตน บินขึ้นไปจับบนเสาระเนียด
กล่าวว่า ขอนายขมังธนู ๔ คนจงยืนพิงเสาระเนียดผินหน้าไป ๔ ทิศยิงลูกธนู
ทีละลูก ดังนี้ ตนเองที่แรกบินขึ้นไปพร้อมกับลูกธนูทีเดียว ไม่จับลูกธนู
นั้น จับลูกธนูที่ไปทางทิศทักษิณ ซึ่งห่างจากธนูเพียงศอกเดียว ลูกที่ ๒
ห่างเพียง ๒ ศอก ลูกที่ ๓ ห่างเพียง ๓ ศอก จับลูกที่ ๔ ยังไม่ทันตก
ถึงดื้นดินเลย. ขณะนั้นนายขมังธนูได้เห็นพญาหงส์นั้น ในเวลาที่จับลูก

736