No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 717 (เล่ม 26)

ด้วยสุขแต่อุจจาระและสุขแต่กาม เพราะเขามีส่วนเสมอกับกรรม จึง
สัมผัสคูถ บังเกิดในหลุมคูถนั้นเพื่อเสวยทุกข์.
จบอรรถกถาคูถขาทิสูตรที่ ๒
๒. คูถขาทิสูตร
ว่าด้วยบุรุษกินคูถ
[๖๕๑] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษผู้จมอยู่ในหลุมคูถ ใช้มือทั้งสองกอบคูถ
กิน ฯ ล ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นพราหมณ์อยู่ในกรุงราชคฤห์
นี้เอง พราหมณ์นั้นนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ในพระศาสนาของพระกัสสป-
สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยภัตแล้ว เอาคูถใส่จนเต็มรางแล้ว ใช้ให้คนไปบอก
เวลาแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอพวกท่านจงฉันและจงนำไปจนพอแก่
ความต้องการเถิด ฯ ล ฯ.
จบคูถขาทิสูตรที่ ๒
อรรถกถาคูถขาทิสูตรที่ ๒
เรื่องบุรุษผู้กินคูถ ปรากฏชัดแล้วแล.
จบอรรถกถาคูถขาทิสูตรที่ ๒

717
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 718 (เล่ม 26)

๓. นิจฉวิตถีสูตร
ว่าด้วยหญิงไม่มีผิวหนัง
[๖๕๒] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นหญิงผู้ไม่มีผิวหนังลอยอยู่ในเวหาส แร้งบ้าง
กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิกทิ้งหญิงนั้น ได้ยินว่า หญิง
นั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หญิงนี้ได้เป็น
หญิงประพฤตินอกใจสามีอยู่ในกรุงราชคฤห์นี้เอง ฯ ล ฯ.
จบนิจฉวิตถีสูตรที่ ๓
อรรถกถานิจฉวิตถีสูตรที่ ๓
ในเรื่องหญิงไม่มีผิวหนัง มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
เพราะธรรมดาว่ามาตุคาม ย่อมไม่เป็นใหญ่ในผัสสะของตน และ
มาตุคามนั้นขโมยผัสสะอันเป็นของของสามีแล้วให้เกิดความยินดีผัสสะของ
ผู้อื่น ฉะนั้น เธอจึงมีผัสสะเป็นสุข เพราะมีส่วนเท่ากับกรรม จุติจาก
อัตภาพนั้นแล้ว จึงเกิดเป็นหญิงไม่มีผิวหนัง เพื่อเสวยสัมผัสเป็นทุกข์.
จบอรรถกถานิจฉวิตถีสูตรที่ ๓
๔. มังคุฬิตถีสูตร
ว่าด้วยหญิงมีกลิ่นเหม็น
[๖๕๓] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นหญิงมีกลิ่นเหม็นน่าเกลียดลอยอยู่ในเวหาส

718
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 719 (เล่ม 26)

แร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิตทิ้งหญิงนั้น ได้ยินว่า
หญิงนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ ดูก่อน. ภิกษุทั้งหลาย หญิงนี้ได้
เป็นหญิงแม่มด อยู่ในกรุงราชคฤห์นี้เอง ฯ ล ฯ.
จบมังคุฬิตถีสูตรที่ ๔
อรรถกถามังคุฬิตถีสูตรที่ ๔
ในเรื่องหญิงมีกลิ่นเหม็น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มงฺคุฬี ได้แก่มีรูปแปลก ไม่น่าดู น่ารังเกียจ. ได้ยินว่า
เธอเป็นหญิงแม่มดกระทำกรรมของหญิงผู้เป็นทาสียักษ์ เที่ยวประกาศว่า
เมื่อคนนี้ ๆ ทำพลีกรรมอย่างนี้ พวกท่านทั้งหลายจักเจริญอย่างนี้ ดังนี้
แล้วลวงถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้นของมหาชน ให้มหาชนมีความ
เห็นชั่วเห็นผิด. เพราะฉะนั้น เธอจึงมีส่วนเท่ากับกรรมนั้น เธอจึงมี
กลิ่นเหม็น เหตุขโมยของหอมและดอกไม้เป็นต้น เธอเกิดมีรูปไม่น่าดู
แปลกประหลาด น่ารังเกียจ เหตุให้เขาถือความเห็นชั่ว.
จบอรรถกถามังคุฬิตถีสูตรที่ ๔
๕. โอกิลินีสูตร
ว่าด้วยหญิงมีน้ำเหลืองไหล
[๖๕๔] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นหญิงผู้มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มเต็มไปด้วยถ่านเพลิง
ลอยอยู่ในเวหาส ได้ยินว่า หญิงนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ ก่อนดู

719
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 720 (เล่ม 26)

ภิกษุทั้งหลาย หญิงนี้ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้ากาลิงคะ นางถูก
ความหึงครอบงำ ได้เอาเตาซึ่งเต็มด้วยถ่านเพลิงเทรดหญิงร่วมผัว ฯ ล ฯ.
จบโอกิลินีสูตรที่ ๕
อรรถกถาโอกิลินีสูตรที่ ๕
ในเรื่องหญิงมีน้ำเหลืองไหล มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อุปกฺกํ โอกิลินึ โอกิริณึ ความว่า ได้ยินว่า นาง
นอนดิ้นรนกระสับกระส่ายหมกไหม้อยู่บนเชิงตะกอนเต็มไปด้วยถ่านเพลิง
เพราะฉะนั้น นางจึงร้อนระอุ คือมีร่างกายถูกไฟร้อนแผดเผานางมีน้ำเหลือง
ไหล มีร่างกายเปรอะเปื้อน คือมีหยาดน้ำเหลืองไหลลอกจากร่างกายของ
เธอ และมีร่างกายเต็มไปด้วยถ่านเพลิง เกลื่อนกล่นไปด้วยถ่านเพลิง คือ
ข้างล่างของนาง มีถ่านเพลิงมีสีเหมือนดอกทองกวาว ที่ข้างทั้งสองก็
เหมือนกัน ข้างบนของนาง มีถ่านเพลิงตกลงมาจากอากาศ เหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า อุปกฺกํ โอกิลินี โอกิริณึ ดังนี้. บทว่า สา
อิสฺสาปกตา สปตึ องฺคารกฏาเหน โอกิริ ความว่า ได้ยินว่า หญิง
ฟ้อนคนหนึ่งของพระราชานั้นตั้งเตาถ่านเพลิงไว้ใกล้ ๆ เช็ดน้ำจากตัว
และเอาฝ่ามือเช็ดเหงื่อ แม้พระราชาก็ทรงสนทนาและทรงแสดงอาการ
ยินดีกับเธอ. พระอัครมเหสีทรงอดทนอาการเช่นนั้นไม่ได้ ถูกความหึง
หวงครอบงำ เมื่อพระราชาเสด็จหลีกไปไม่นาน พระนางถือเตาถ่านเพลิง
นั้นเทถ่านเพลิงลงบนหญิงนั้น. พระนางทำกรรมนั้นแล้ว บังเกิดในเปต-
โลก เพื่อเสวยวิบากเช่นนั้นตอบแทน.
จบอรรถกถาโอกิลินีสูตรที่ ๕

720
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 721 (เล่ม 26)

๖. สีสัจฉินนสูตร
ว่าด้วยตัวกะพันธ์ศีรษะขาด
[๖๕๕] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นตัวกะพันธ์ไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก
ลอยอยู่ในเวหาส แร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิต
ทิ้งตัวกะพันธ์นั้น ได้ยินว่า ตัวกะพันธ์นั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจร ซึ่งว่าหาริกะ อยู่ใน
กรุงราชคฤห์นี้เอง ฯ ล ฯ.
จบสีสัจฉินนสูตรที่ ๖
อรรถกถาสีสัจฉินนสูตรที่ ๖
ในเรื่องคนฆ่าโจร มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ผู้ฆ่าโจรนั้น ตัดศีรษะพวกโจรเป็นเวลานานตามคำสั่งพระราชา
เมื่อบังเกิดในเปตโลก บังเกิดเป็นตัวกะพันธ์ไม่มีศีรษะ.
จบอรรถกถาสีสัจฉินนสูตรที่ ๖
๗. ภิกขุสูตร
ว่าด้วยภิกษุไฟติดทั่วตัวลอยในอากาศ
[๖๕๖] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นภิกษุอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี บาตร
ก็ดี ประคดเอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของภิกษุนั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติช่วง

721
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 722 (เล่ม 26)

แล้ว ได้ยินว่า ภิกษุนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุนี้ได้เป็นภิกษุผู้ชั่วช้าในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัม-
พุทธเจ้า ฯ ล ฯ.
จบภิกขุสูตรที่ ๗
อรรถกถาภิกขุสูตรที่ ๗
ในเรื่องภิกษุ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปาปภิกฺขุ ได้แก่ ภิกษุลามก. ได้ยินว่า ภิกษุนั้นบริโภค
ปัจจัย ๔ ที่ชาวโลกถวายด้วยศรัทธา เป็นผู้ไม่สำรวมทางกายทวารและ
วจีทวารทำลายอาชีวะเสีย เที่ยวปล่อยจิตใจให้สนุกสนาน. แต่นั้น เธอ
ไหม้อยู่ในนรกตลอดพุทธันดรหนึ่ง เมื่อเกิดในเปตโลก บังเกิดด้วย
อัตภาพเช่นภิกษุนั่นเอง.
จบอรรถกถาภิกขุสูตรที่ ๗
๘. ภิกขุนีสูตร
ว่าด้วยภิกษุณีไฟติดทั่วตัวลอยในอากาศ
[๖๕๗] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นภิกษุณีลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี บาตร
ก็ดี ประคดเอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของภิกษุณีนั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติ
ช่วงแล้ว ได้ยินว่า ภิกษุณีนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีนี้ได้เป็นภิกษุณีผู้ชั่วช้า ในศาสนาของพระกัสสป-

722
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 723 (เล่ม 26)

สัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ ล ฯ.
จบภิกขุนีสูตรที่ ๘
๙. สิกขมานาสูตร
ว่าด้วยสิกขมานาไฟติดทั่วตัวลอยในอากาศ
[๖๕๘] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสิกขมานาลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสัมฆาฏิก็ดี
บาตรก็ดี ประคดเอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของสิกขมานานั้น อันไฟติดทั่ว
ลุกโชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า สิกขมานานั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิกขมานานี้ได้เป็นสิกขมานาผู้ชั่วช้า ในศาสนาของ
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ ล ฯ.
จบสิกขมานาสูตรที่ ๙
๑๐. สามเณรสูตร
ว่าด้วยสามเณรไฟติดทั่วตัวลอยอยู่ในอากาศ
[๖๕๙] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสามเณรลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี
บาตรก็ดี ประคดเอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของสามเณรนั้น อันไฟติดทั่วลุก
โชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า สามเณรนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯ ล ฯ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สามเณรนี้เป็นสามเณรผู้ชั่วช้า ในศาสนาของพระกัสสป.

723
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 724 (เล่ม 26)

สัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ ล ฯ.
จบสามเณรสูตรที่ ๑๐
๑๑. สามเณีสูตร
ว่าด้วยสามเณรีไฟติดทั่วตัวลอยอยู่ในอากาศ
[๖๖๐] ฯ ล ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลง
มาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสามเณรีลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี
บาตรก็ดี ประคดเอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของสามเณรีนั้น อันไฟติดทั่วลุก
โชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า สามเณรีนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ผมคิดว่า
น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาหนอ สัตว์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี ยักษ์แม้
เห็นปานนี้ก็จักมี การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้ก็จักมี.
[๖๖๑] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มีญาณหนอ
เพราะแม้สาวกก็จักรู้จักเห็นสัตว์เห็นปานนี้ หรือจักเป็นพยาน เมื่อก่อน
สามเณรีนั้นเราก็ได้เห็นแล้วเหมือนกัน แต่ว่ามิได้พยากรณ์ หากว่าเราจะ
พึงพยากรณ์สามเณรีนี้ไซร้ คนอื่นก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา ข้อนั้นพึงเป็นไป
เพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน แก่ผู้ที่ไม่เชื่อถือเรา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สามเณรีนี้ได้เป็นสามเณรผู้ชั่วช้าในศาสนาของพระ
กัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยผลของกรรมนั้น สามเณรีนั้นหมกไหม้แล้ว
ในนรกหลายมี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายหมื่นปี หลายแสนปี ด้วย
ผลของกรรมนั่นแหละยังเหลืออยู่ สามเณรีนั้นจึงต้องเสวยการได้อัตภาพ

724
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 725 (เล่ม 26)

เห็นปานดังนี้.
จบสามเณรีสูตรที่ ๑๑
จบทุติยวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กูปนิมุคคสูตร ๒. คูถขาทิสูตร
๓. นิจฉวิตถีสูตร ๔. มังคุฬิตถีสูตร
๕. โอกิลินีสูตร ๖. สีสัจฉินนสูตร
๗. ภิกษุสูตร ๘. ภิกขุนีสูตร
๙. สิกขมานาสูตร ๑๐. สามเณรสูตร
๑๑. สามเณรีสูตร
จบลักขณสังยุตที่ ๗
อรรถกถาภิกขุนีสูตรที่ ๘ เป็นต้น
แม้ในเรื่องของนางภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี ก็มี
วินิจฉัยอย่างนี้เหมือนกันแล.
จบอรรถกถาภิกขุนีสูตรที่ ๘ เป็นต้น
จบอรรถกถาลักขณสังยุต

725
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 726 (เล่ม 26)

๘. โอปัมมสังยุต
๑. กูฏาคารสูตร
ว่าด้วยกลอนของเรือนยอด
[๖๖๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กลอนทั้งหลายของเรือนยอด
ทั้งหมดไปรวมที่ยอด เมื่อรื้อยอดเรือน กลอนเหล่านั้นทั้งหมด ย่อม
ถึงการรื้อออก แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลธรรมเหล่าใดเหล่า
หนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล อกุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีอวิชชา
เป็นมูล ประชุมกันที่อวิชชา เมื่ออวิชชาถูกถอนขึ้นแล้ว อกุศลธรรม
เหล่านั้นทั้งหมดย่อมถึงการถอนขึ้น เพราะเหตุดังนี้นั้น พวกเธอพึงศึกษา
อย่างนี้ว่า พวกเราจักเป็นผู้ไม่ประมาท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึง
ศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบกูฏาคารสูตรที่ ๑
โอปัมมสังยุต
อรรถกถากูฏาคารสูตรที่ ๑
โอปัมมสังยุต กูฏาคารสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า กูฏงฺคมา เพราะไปรวมที่ยอด. ชื่อว่า กูฏสโมสรณา เพราะ

726