กำลังกาย จึงตรัสแล้วอย่างนี้ ก็หามิได้ แต่ทรงหมายถึงการปฏิบัติให้
บริบูรณ์ จึงตรัสอย่างนี้.
ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ :- จีวรนี้ที่เขาห่ม ทาสีชื่อปุณณะทิ้งไว้ใน
ป่าช้าผีดิบ เราเข้าไปสู่ป่าช้านั้นอันมีตัวสัตว์กระจายอยู่ ประมาณทะนาน
หนึ่ง กำจัดตัวสัตว์เหล่านั้นแล้ว ตั้งอยู่ในมหาอริยวงศ์ ถือเอา. ในวันที่
เราถือเอาจีวรนี้ มหาปฐพีในหมื่นจักรวาลส่งเสียงสั่นสะเทือน อากาศนั้น
ส่งเสียง ตฏะ ตฏะ เทวดาในจักรวาลได้ให้สาธุการว่า ภิกษุผู้ถือเอา
จีวรนี้ ควรเป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตามธรรมชาติ นั่งอาสนะเดียวเป็น
วัตรตามธรรมชาติ เที่ยวไปตามลำดับตรอกเป็นวัตรตามธรรมชาติ ท่าน
จักอาจทำให้ควรแก่จีวรนี้ได้ ดังนี้. แม้พระเถระตนเองทรงไว้ซึ่งกำลัง
ช้าง ๕ เชือก. ท่านจึงไม่ตรึกถึงข้อนั้น ใคร่จะทำให้สมควรแก่สุคตจีวร
ด้วยความอุตสาหะว่า เราจักยังการปฏิบัตินั้นให้บริบูรณ์ ดังนี้ จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักครอง ดังนี้. บทว่า ปฏิปชฺชึ
ได้แก่ เราได้ปฏิบัติแล้ว ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการเปลี่ยนจีวรกัน
อย่างนี้แล้ว ทรงครองจีวรที่พระเถระครอง พระเถระครองจีวรของ
พระศาสดา. สมัยนั้น มหาปฐพีสั่นสะเทือนจนถึงน้ำรองแผ่นดิน.
ในบทว่า ภควโต ปุตฺโต เป็นต้น ความว่า พระเถระอาศัย
พระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดแล้วโดยอริยชาติ ดังนั้นบุตรของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ชื่อว่าผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เพราะอยู่ในอก ตั้งอยู่
ในบรรพชาและอุปสมบทด้วยอำนาจพระโอวาทออกจากพระโอษฐ์ ชื่อว่า
ผู้เกิดแต่พระธรรมอันธรรมนิรมิตแล้ว เพราะเกิดแต่พระโอวาทธรรม
และเพราะทรงนิมิตด้วยพระโอวาทธรรม ชื่อว่าธรรมทายาท เพราะ