No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 267 (เล่ม 26)

ได้แก่ ถึงความเจริญงอกงาม ควรจะเก็บดอกก็ได้เก็บดอก ควรจะเก็บผลก็
ได้เก็บผล. ก็ในข้อนี้มีการเทียบเคียงด้วยข้ออุปมาดังนี้ วัฏฏะอันเป็นไปใน
ภูมิ ๓ เหมือนต้นไม้อ่อน ปุถุชนอาศัยวัฏฏะเหมือนบุรุษบำรุงต้นไม้ การ
ประมวลมาซึ่งกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทางทวาร ๓ เหมือนการสืบต่อแห่ง
รากและผลไม้เป็นต้น ความเป็นไปแห่งวัฏฏะในภพต่อ ๆ ไปของปุถุชน
ผู้ประมวลมาซึ่งกรรมทางทวาร ๓ เหมือนต้นไม้ที่ถึงความเจริญงอกงาม.
วิวัฏฏะ (พระนิพพาน) พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วแล.
จบอรรถกถาตรุณรุกขสูตรที่ ๗
๘. นามรูปสูตร
ว่าด้วยภิกษุพอใจในธรรมกับนามรูป
[๒๑๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็น
ความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ นาม-
รูปก็หยั่งลง เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ฯ ล ฯ ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่มีรากหยั่งลงและแผ่ไป
ข้าง ๆ รากทั้งหมดนั้นดูดโอชารสไปเบื้องบน ก็เมื่อเป็นอย่างนี้
ต้นไม้ใหญ่นั้น มีอาหารอย่างนั้น มีเชื้ออย่างนั้น พึงเป็นอยู่ตลอดกาล
นาน แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ นามรูปก็หยั่งลง ฉันนั้นเหมือนกัน

267
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 268 (เล่ม 26)

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์
ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ นามรูปก็ไม่หยั่งลง เพราะนามรูป
ดับ สฬายตนะจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้.
[๒๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่อย่างนั้น ทีนั้น
บุรุษเอาจอบและภาชนะมา ฯ ล ฯ ไม่เกิดอีกต่อไป แม้ฉันใด ภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่ง
สังโยชน์อยู่ นามรูปก็ไม่หยั่งลง ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะนามรูปดับ
สฬายตนะจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้.
จบนามรูปสูตรที่ ๘
อรรถกถานามรูปสูตรที่ ๘
สูตรที่ ๘ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถานามรูปสูตรที่ ๘
๙. วิญญาณสูตร
ว่าด้วยความพอใจในธรรมกับวิญญาณ
[๒๒๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความ

268
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 269 (เล่ม 26)

พอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ วิญญาณ
ก็หยั่งลง เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่มีรากหยั่งลงและแผ่ไป
ข้าง ๆ ฯ ล ฯ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจ
เนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์ วิญญาณก็หยั่งลง
ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ฯ ล ฯ ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ใน
ธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ วิญญาณก็ไม่หยั่งลง เพราะ
วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อม
มีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่อย่างนั้น
ทีนั้นภิกษุเอาจอบและภาชนะมา ฯ ล ฯ ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป แม้ฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัย
แห่งสังโยชน์อยู่ วิญญาณก็ไม่หยั่งลง ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะวิญญาณ
ดับ นามรูปจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้.
จบวิญญาณสูตรที่ ๙
อรรถกถาวิญญาณสูตรที่ ๙
สูตรที่ ๙ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาวิญญาณสูตรที่ ๙

269
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 270 (เล่ม 26)

๑๐. นิทานสูตร
ว่าด้วยความพอใจในปฏิจจสมุปบาท
[๒๒๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่นิคมของหมู่
ชนชาวเมืองกุรุ อันมีชื่อว่ากัมมาสทัมมะ๑ แคว้นกุรุรัฐ ครั้งนั้นแล
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านนั่งเรียบ
ร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า
ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า คือปฏิจจสมุปบทนี้เป็นธรรมลึกซึ้งเพียงไร
ทั้งมีกระแสความลึกซึ้ง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ปรากฏเหมือนธรรมง่าย ๆ แก่
ข้าพระองค์.
[ ๒๒๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่า
กล่าวอย่างนี้ ดูก่อนอานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็น
ธรรมลึกซึ้ง ทั้งมีกระแสความลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่ตรัสรู้ ไม่แทง
ตลอดธรรมนี้ หมู่สัตว์นี้จึงเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ยุ่ง เป็นเหมือหกลุ่มเส้น
ด้ายที่เป็นปม เป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ย่อมไม่ผ่านพ้น
อบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร.
[๒๒๖] ดูก่อนอานนท์ เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ใน
ธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
๑. บางแห่งเป็น กัมมาสธัมมะ

270
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 271 (เล่ม 26)

โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๒๗] ดูก่อนอานนท์ ต้นไม้ใหญ่มีรากหยั่งลงและแผ่ไปข้าง ๆ
รากทั้งหมดนั้นย่อมดูดโอชารสไปเบื้องบน ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้ใหญ่
นั้น มีอาหารอย่างนั้น มีเชื้ออย่างนั้น พึงเป็นอยู่ตลอดกาลนาน แม้ฉันใด
อานนท์ เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็น
ปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหา
เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ฯ ล ฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๒๘] ดูก่อนอานนท์ เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับ เพราะตัณหาดับ
อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกอง
ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๒๙] ดูก่อนอานนท์ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอย่างนั้น ทีนั้นบุรุษ
เอาจอบและภาชนะมา ตัดต้นไม้นั้นที่โคนต้น แล้วขุดลงไป ครั้นขุดลง
ไปแล้ว คุ้ยเอารากใหญ่เล็กแม้เท่าก้านแฝกขึ้น บุรุษนั้น ทอนต้นไม้นั้น
เป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ แล้วพึงผ่า ครั้นผ่าแล้ว เกรียกเป็นชิ้น ๆ แล้ว
พึงผึ่งลม ตากแดด ครั้นผึ่งลม ตากแดดแล้ว พึงเอาไฟเผา ครั้นเอา
ไฟเผาแล้ว พึงทำให้เป็นเขม่า ครั้นทำให้เป็นเขม่าแล้ว พึงโปรยที่ลม
แรง หรือลอยในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้ใหญ่นั้น
ถูกตัดเอารากขึ้นแล้ว ถูกทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี ไม่เกิด
อีกต่อไป แม้ฉันใด อานนท์ เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลาย

271
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 272 (เล่ม 26)

อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะ
ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ
ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและ
อุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
จบนิทานสูตรที่ ๑๐
จบทุกขวรรคที่ ๖
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปริวีมังสนสูตร ๒. อุปาทานสูตร
๓. ปฐมสังโยชนสูตร ๔. ทุติยสังโยชนสูตร
๕. ปฐมมหารุกขสูตร ๖. ทุติยมหารุกขสูตร
๗. ตรุณรุกขสูตร ๘. นามรูปสูตร
๙. วิญญาณสูตร ๑๐. นิทานสูตร.
อรรถกถานิทานสูตรที่ ๑๐
ในนิทานสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
สองบทว่า "กุรูสุ วิหรติ" ได้แก่ ประทับอยู่ในชนบทที่ได้ชื่อด้วย
อำนาจเรียกกันมากอย่างนี้ว่า กุรุ. นิคมของชาวกุรุ ชื่อว่า กัมมาสธัมมะ
เพราะฉะนั้น นิคมของชาวกุรุจึงมีชื่ออย่างนี้. อธิบายว่า ทรงกระทำนิคม
นั้นให้เป็นโคจรคาม. คำว่า "ท่านผู้มีอายุ" นี้ เป็นคำเรียกด้วยความรัก
เป็นคำเรียกด้วยความเคารพ. คำว่า "อานันทะ" เป็นชื่อของพระเถระนั้น.
คำว่า " เอกมนฺตํ นิสีทิ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง" มีอธิบายว่า ท่านพระ-

272
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 273 (เล่ม 26)

อานนท์ ผู้เป็นพระธรรมภัณฑาคาริก เมื่อเว้นโทษของการนั่ง ๖ ประการ
ได้เข้าไปภายในพระรัศมีอันมีวรรณะ ๖ ของพระพุทธองค์ ในที่ตรงหน้า
มณฑลพระชานุข้างขวา นั่งเหมือนกำลังอาบน้ำครั่งใส เหมือนกำลังห่ม
แผ่นทอง เหมือนกำลังเข้าไปสู่สวนดอกบัวแดง เพราะฉะนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ถามว่า ก็ท่านผู้มีอายุนี้ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเวลาใด
และเพราะเหตุใด. แก้ว่า เข้าไปเฝ้าในเวลาเย็น เพราะเหตุเพื่อทูลถาม
ปัญหาเรื่องปัจจยาการ.
เล่ากันมาว่า ในวันนั้น ท่านผู้มีอายุนี้ ( พระอานนท์) ได้เที่ยว
ไปโปรดสัตว์ยังนิคมกัมมาสธัมมะ ดุจว่าว่างสิ่งของนับพันอย่างลงทุก
ประตูเรือน กลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้แสดงวัตรถวายพระศาสดา เมื่อ
พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎีแล้ว ก็ถวายบังคมพระศาสดาแล้วไป
ยังที่พักกลางวันของตน เมื่อพวกอันเตวาสิกแสดงวัตรแล้วกลับไป จึง
ปัดกวาดที่พักกลางวัน ปูลาดแผ่นหนัง เอาน้ำจากหม้อน้ำล้างมือและเท้า
จนเย็น แล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าไปโสดาปัตติผลสมาบัติ ภายหลังออกจากสมาบัติ
ด้วยอำนาจสิ้นกำหนดเวลา จึงได้หยั่งญาณลงในปัจจยาการ. ท่านพิจารณา
ปัจจยาการ ๑๒ บท จำเดิมแต่ต้นว่า "เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขาร" จนจดปลาย ตั้งแต่ปลายไปจนจดต้น ตั้งแต่ปลายทั้งสอง
จนจดกลาง ตั้งแต่กลางจนจดปลายทั้งสองที่สุด ๓ ครั้ง. เมื่อท่าน
พิจารณาอยู่อย่างนี้ ปัจจยาการได้ปรากฏแจ่มแจ้งเหมือนง่าย แต่นั้นก็คิด
ว่า "ปัจจยาการนี้พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวงตรัสว่า ลึกซึ้ง และมี
กระแสความลึกซึ้ง แต่ปรากฏว่าง่ายแจ่มแจ้งแก่เราที่เป็นสาวกผู้ตั้งอยู่ใน

273
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 274 (เล่ม 26)

ปเทสญาณ ความรู้บางส่วน ปัจจยาการนี้ย่อมปรากฏเหมือนง่ายแก่เราเท่า
นั้นหรือหนอ หรือว่าปรากฏแก่ภิกษุเหล่าอื่นด้วย" ท่านพระอานนท์คิดว่า
"เราจักกราบทูลเหตุที่ปรากฏแก่ตนแด่พระศาสดา" จึงลุกจากที่นั่ง ตบ
แผ่นหนังแล้วถือเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาเย็น. เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า "พระอานนท์เข้าไปเฝ้าในเวลาเย็น ด้วยเหตุเพื่อทูลถาม
ปัญหาเรื่องปัจจยาการ."
ยาว ศัพท์ ในคำว่า ยาวคมฺภีโร นี้ เป็นไปในการก้าวล่วงเกิน
ประมาณ คือลึกเกินประมาณ. อธิบายว่า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง. บทว่า
"คมฺภีราวภาโส มีเนื้อความลึกซึ้ง" อธิบายว่า ส่องสว่าง คือปรากฏลึกซึ้ง
โดยแท้. จริงอยู่น้ำแห่งหนึ่ง เพียงตื้น ๆ เท่านั้น แต่มีกระแสลึก เหมือน
น้ำเก่าอันมีสีดำด้วยอำนาจรสใบไม้เน่า. เพราะว่า น้ำนั้น แม้ลึกแค่เข่า
ก็ปรากฏเหมือนลึกตั้งร้อยชั่วบุรุษ. น้ำบางแห่งลึก แต่มีกระแสตื้น
เหมือนน้ำอันใสแจ๋วแห่งมณีคงคา เพราะน้ำนั้น แม้น้ำลึกตั้งร้อยชั่วบุรุษ
ก็ปรากฏเหมือนลึกแค่เข่า. เพราะน้ำนั้น แม้น้ำลึกตั้งร้อยชั่งบุรุษ
ก็ปรากฏเหมือนลึกแค่เข่า. น้ำบางแห่งตื้น และก็มีกระแสน้ำตื้นด้วย
เหมือนน้ำในตุ่มเป็นต้น. น้ำบางแห่งลึก และก็มีกระแสลึกด้วย เหมือน
น้ำในมหาสมุทรเชิงภูเขาสิเนรุ. น้ำย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง ด้วยประการ
ฉะนี้แล. แต่ความตื้นความลึกย่อมไม่มีในปฏิจจสมุปบาท. เพราะว่า
ปฏิจจสมุปบาทนี้ ได้ชื่อว่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า "ลึกซึ้ง และมีกระแส
ความลึกซึ้ง." พระอานนท์เมื่อจะประกาศความอัศจรรย์ในของตนอย่างนี้ว่า
"ปฏิจจสมุปบาทเห็นปานนี้ แต่ก็ปรากฏเหมือนเป็นธรรมง่าย ๆ สำหรับ
ข้าพระองค์. ข้อนี้ น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า"
จึงทูลถามปัญหาแล้ว ได้นั่งนิ่งอยู่.

274
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 275 (เล่ม 26)

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของพระอานนท์แล้ว ทรงพระดำริว่า
"ภิกษุชื่ออานนท์ เหมือนกับว่าเหยียดมือออกเพื่อจับภวัคคพรหม
เหมือนกับว่าพยายามทำลายภูเขาสิเนรุ นำสะเก็ดหินออกอยู่ เหมือนใคร่
จะข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้องใช้เรือ และเหมือนพยายามพลิกแผ่นดินถือเอา
โอชะแห่งดินอยู่ จึงกล่าวถึงปัญหาอันเป็นพุทธวิสัยว่า ง่าย ๆ สำหรับ
ตน เอาเถอะ เราจะบอกความลึกซึ้งแก่เธอ" ดังนี้ จึงตรัสว่า "มา-
เหวํ " ดังนี้ เป็นอาทิ.
ในพระบาลีนั้น ห อักษร ในคำว่า "มาเหวํ" เพียงเป็น
นิบาต. อธิบายว่า เธออย่ากล่าวอย่างนี้. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้จะทรง
ทำให้ท่านพระอานนท์ยินดี (เบาใจ) หรือไม่ยินดี (ไม่เบาใจ) ก็ตาม
จึงได้ตรัสคำว่า "มาเหวํ" นี้. ในพระบาลีนั้น ข้อว่า "อุสฺสาเทสฺโต
ทำให้ยินดี (เบาใจ) อยู่" มีอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เธอมีปัญญา
มาก มีญาณแกล้วกล้า ด้วยเหตุนั้น เธอไม่ควรกำหนดว่า ปฏิจจสมุปบาท
แม้จะลึกซึ้ง แต่ก็ปรากฏว่าง่าย ๆ สำหรับเธอ หรือว่าง่ายสำหรับภิกษุ
เหล่าอื่นด้วย. ด้วยว่า ปฏิจจสมุปบาทนี้ ทั้งลึกซึ้งโดยแท้ และเป็น
ธรรมมีกระแสความลึกซึ้งด้วย.
ในข้อนั้น พระอรรถกถาจารย์กล่าวอุปมาไว้ ๔ ข้อว่า เล่ากันมาว่า
ชนทั้งหลายได้แสดงก้อนหินที่นักมวยปล้ำจะพึงยก ในระหว่างนักมวยปล้ำ
ยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกชำนาญแล้ว ได้รับการเลี้ยงดูด้วยรสโภชนะอันดีตลอด
๖ เดือน ไปสู่ยุทธภูมินักมวยปล้ำในสมัยชุมนุมแข่งขันกัน. นักมวยปล้ำ
นั้น พูดว่า "วัตถุอย่างหนึ่งนี้ คืออะไร." ชนทั้งหลายกล่าวว่า
"ก้อนหินที่นักมวยปล้ำจะต้องยก." เขากล่าวว่า พวกท่านจงนำก้อนหิน

275
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 276 (เล่ม 26)

นั้นมาเถิด." พอชนทั้งหลายกล่าวว่า "พวกข้าพเจ้ายกไม่ไหวดอก " จึงยก
ขึ้นเสียเอง แล้วกล่าวว่า "ที่หนักกว่าหินนี้อยู่ที่ไหน" แล้วยกก้อนหิน
๒ ก้อนขึ้นด้วยมือทั้งสองแล้ววางลงเหมือนยกงบน้ำอ้อยเล่น. ในข้อนั้น
เขาพึงถูกชนทั้งหลายต่อว่าว่า "ก้อนหินที่นักมวยปล้ำจะต้องยก เป็นของ
เบาสำหรับนักมวยปล้ำ" แต่ไม่ควรจะกล่าวว่า "เป็นของเบาสำหรับ
บุคคลเหล่าอื่นด้วย ท่านพระอานนท์ผู้ถึงพร้อมด้วยอภินิหารตลอดแสน
กัป ก็เหมือนนักมวยปล้ำผู้ถูกเลี้ยงดูด้วยรสโภชนะอันดีตลอด ๖ เดือน.
ก้อนหินที่นักมวยจะต้องยกเป็นของเบาสำหรับนักมวยปล้ำ เพราะนักมวย
ปล้ำมีกำลังมาก ฉันใด. ปฏิจจสมุปบาทพึงกล่าวว่า เป็นธรรมอันง่าย
สำหรับพระอานนท์ เพราะพระเถระมีปัญญามาก แต่มิใช่ธรรมอันง่าย
สำหรับภิกษุเหล่าอื่น ฉันนั้น.
ก็ในมหาสมุทร ปลาใหญ่ชื่อ ติมิ ยาว ๒๐๐ โยชน์ ปลาติมิงคละ
ยาว ๓๐๐ โยชน์ ปลาติเมรปิงคละ ยาว ๕๐๐ โยชน์. ปลา ๔ อย่าง
เหล่านี้ คือ ปลาอานนท์ ปลาปนันทะ ปลาอัชโฌหาระ ปลามหาติมิ
ยาวตั้งพันโยชน์. ในปลาทั้ง ๔ อย่างนั้น ท่านแสดงด้วยปลาติเมรปิงคละ
นั่นเอง. เมื่อมันกระดิกหูขวา น้ำในพื้นที่ตั้ง ๕๐๐ โยชน์ ก็จะเคลื่อนไหว
หูซ้าย หาง หัว ก็เหมือนกัน. แต่เมื่อมันกระดิกหูทั้ง ๒ ฟาดหางเอียงหัว
ไปมา เริ่มจะเล่นน้ำที่คนเอาใส่ภาชนะ น้ำในที่ ๗-๘ ร้อยโยชน์ก็กระเพื่อม
เหมือนยกขึ้นตั้งบนเตา น้ำในพื้นที่ประมาณ ๓๐๐ โยชน์ก็ไม่อาจจะท่วม
หลัง (ของมัน). มันพึงกล่าวอย่างนี้ว่า "ชนทั้งหลายกล่าวว่า มหาสมุทร
นี้ลึก ความลึกของมหาสมุทรนั้นอยู่ที่ไหน. พวกเราไม่ได้น้ำแม้เพียงที่จะ
ท่วมหลังของพวกเราได้" ในข้อนั้น พึงกล่าวว่า "มหาสมุทรตื้น

276