No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 257 (เล่ม 26)

(ฟืน) ๔๐ เล่มเกวียน. พระโยคาวจรผู้ยังอาศัยวัฏฏะอยู่ เหมือนบุรุษ
ผู้บำเรอไฟ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนบุรุษผู้หวังประโยชน์. เวลาที่พระ
ตถาคตตรัสกัมมัฏฐานในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ แก่ภิกษุนั้นว่า "ดูก่อน
ภิกษุ เธอจงหน่ายในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ เถิด เธอจักพ้นจาก
วัฏทุกข์อย่างนี้." เหมือนโอวาทที่บุรุษผู้หวังประโยชน์ให้แก่บุรุษผู้บำเรอ
ไฟนั้น. เวลาที่พระโยคีรับโอวาทของพระสุคตแล้วเข้าไปสู่สุญญาคาร
เริ่มตั้งวิปัสสนาในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ ได้อาหารสัปปายะเป็นต้น เห็น
ปานนั้นโดยลำดับ นั่งบนอาสนะเดียวแล้วตั้งอยู่ในผลอันเลิศ (อรหัตผล)
เหมือนเวลาที่บุรุษ (ผู้บำเรอไฟ) นั้น ปฏิบัติตามที่มีผู้สอนแล้วนั่งใน
ปราสาท. เวลาที่พระโยคีชำระมลทินคือกิเลสด้วยน้ำคือมรรคญาณที่สระ
โบกขรณีคืออริยมรรค นุ่งผ้าคือหิริโอตตัปปะ เข้าไปทาด้วยเครื่องลูบไล้
คือศีล ตกแต่งอัตภาพด้วยเครื่องตกแต่งคือพระอรหัต ประดับพวง
ดอกไม้คือวิมุตติ สวมรองเท้าคืออิทธิบาท เข้าไปสู่นครคือพระนิพพาน
ขึ้นสู่ปราสาทคือพระธรรม รุ่งเรืองอยู่บนถนนใหญ่คือสติปัฏฐาน แนบ
สนิทผลสมาบัติที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ เหมือนเวลาที่บุรุษนั้น นั่ง
บนปราสาทนั้น มีอารมณ์เดียว อิ่มเอิบด้วยความสุข เพราะมีกายที่ชำระ
และตกแต่งแล้วด้วยการอาบน้ำและเครื่องลูบไล้เป็นต้น. ส่วนความสงบ
อันยิ่งใหญ่แห่งวัฏฏะของพระขีณาสพ ผู้ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุ แล้วปรินิพ-
พานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะความแตกแห่งขันธ์ที่มีใจครอง
พึงเห็นเหมือนเวลาที่บุรุษนั้นนั่งบนปราสาทนั้นแล้ว กองไฟก็ถึงความ
ไม่มีบัญญัติ เพราะสิ้นเชื้อมีหญ้าเป็นต้น.
จบอรรถกถาอุปาทานสูตรที่ ๒

257
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 258 (เล่ม 26)

๓. ปฐมสังโยชนสูตร
ว่าด้วยความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์
[๒๐๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล. . .พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจ
เนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหาย่อมเจริญ
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประทีปน้ำมันพึงติด เพราะอาศัย
น้ำมันและไส้ บุรุษพึงเติมน้ำมันเละใส่ไส้ในประทีปน้ำมันทุก ๆ ระยะ
ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ประทีปน้ำมันนั้น มีอาหารอย่างนั้น มีเชื้ออย่างนั้น พึง
ลุกโพลงตลอดกาลนาน แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความ
พอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหาย่อม
เจริญฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะ
อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติ
เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนืองๆ ในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหาย่อมดับ เพราะตัณหาดับ

258
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 259 (เล่ม 26)

อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประทีปน้ำมันพึงติด เพราะอาศัย
น้ำมันและไส้ บุรุษไม่พึงเติมน้ำมัน ไม่ใส่ไส้ในประทีปน้ำมั่นนั้นทุก ๆ
ระยะ ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ประทีปน้ำมันนั้น ไม่มีอาหารพึงดับไป เพราะ
สิ้นเชื้อเก่า และเพราะไม่เติมเชื้อใหม่ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
ภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่
ตัณหาย่อมดับ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
จบปฐมสังโยชนสูตรที่ ๓
อรรถกถาปฐมสังโยชนสูตรที่ ๓
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสังโยชนสูตรที่ ๓ ต่อไป.
บทว่า "สญฺโญชนีเยสุ อันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์" คือ เป็น
ปัจจัยแห่งสังโยชน์ ๑๐. บทว่า "ฌาเยยฺย พึงติดไฟ" แปลว่า พึง
ลุกโพลง. ข้อว่า เตลํ อาสิญฺเจยฺย วฏฺฏึ อุปสํหเรยฺย ได้แก่ เพื่อ
ให้ประทีปติดตลอดไป จึงถือภาชนะน้ำมันและกระเบื้องไส้อันใหญ่ไปตั้ง
อยู่ในที่ใกล้เป็นนิจ เมื่อน้ำมันแห้งก็เติมน้ำมัน เมื่อไส้หมดก็ใส่เข้าไป.
คำที่เหลือใสสูตรนี้ พึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแหละ พร้อมกับการเทียบ
เดียงด้วยข้ออุปมา.
จบอรรถกถาปฐมสังโยชน์สูตร ๓

259
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 260 (เล่ม 26)

๔. ทุติยสังโยชนสูตร
ว่าด้วยธรรมเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์
[๒๐๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถ. ณ ที่นั้นแล . . . พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประทีปน้ำมันพึงติด เพราะ
อาศัยน้ำมันและไส้ บุรุษเติมน้ำมันและใส่ไส้ในประทีปน้ำมันนั้นทุก ๆ
ระยะ ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ประทีปน้ำมันนั้น มีอาหารอย่างนั้น มีเชื้อ
อย่างนั้น พึงลุกโพลงตลอดกาล แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็น
ความพอใจเนือง ๆในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหา
ย่อมเจริญฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ฯ ล ฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประทีปน้ำมันพึงติด เพราะอาศัย
น้ำมันและไส้ บุรุษไม่เติมน้ำมัน ไม่ใส่ไส้ในประทีปน้ำมันนั้นทุก ๆ ระยะ
ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น ประทีปน้ำมันนั้น ไม่มีอาหาร พึงดับไป เพราะสิ้น
เชื้อเก่า และเพราะไม่เติมเชื้อใหม่ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุ
เห็นโทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหา
ย่อมดับฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ฯ ล ฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้.
จบทุติยสังโยชนสูตรที่ ๔

260
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 261 (เล่ม 26)

อรรถกถาทุติยสังโยชนสูตรที่ ๔
ในทุติยสังโยชนสูตรที่ ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเปรียบเทียบ
ก่อน แล้วจึงตรัสเนื้อความในภายหลัง. คำที่เหลือก็เหมือนกันนั่นเอง.
จบอรรถกถาทุติยสังโยชนสูตรที่ ๔
๕. ปฐมมหารุกขสูตร
ว่าด้วยธรรมที่เป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน
[๒๐๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจ
เนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๐๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ มีรากหยั่งลงและแผ่
ไปข้าง ๆ รากทั้งหมดนั้นย่อมดูดโอชารสไปเบื้องบน เมื่อเป็นอย่างนี้
ต้นไม้ใหญ่นั้น มีอาหารอย่างนั้น มีเชื้ออย่างนั้น พึงเป็นอยู่ตลอดกาลนาน
แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรม
ทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๐๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรม

261
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 262 (เล่ม 26)

ทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับ เพราะตัณหาดับ
อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๐๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่อย่างนั้น ที่นั้น
บุรุษเอาจอบและภาชนะมา ตัดต้นไม้นั้นที่โคนต้นแล้ว ขุดลงไป ครั้น
ขุดลงไปแล้ว คุ้ยเอารากใหญ่เล็กแม้เท่าก้านแฝกขึ้น บุรุษนั้นพึงทอน
ต้นไม้นั้นเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่แล้วพึงผ่า ครั้นผ่าแล้วเกรียกให้เป็นชิ้น ๆ
แล้ว พึงผึ่งลม ตากแดด ครั้นผึ่งลม ตากแดดแล้ว พึงเอาไฟเผา
ครั้นเอาไฟเผาแล้ว พึงทำให้เป็นเขม่า ครั้นทำให้เป็นเขม่าแล้ว พึงโปรย
ที่ลมแรงหรือลอยในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้ใหญ่
นั้น ถูกตัดเอารากขึ้นแล้ว ถูกทำให้เป็นดังต้นตาลยอดด้วน ถึงความ
ไม่มี ไม่เกิดอีกต่อไป แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษ
เนือง ๆ ในธรรมทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับ
ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ
ภพจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้.
จบปฐมมหารุกขสูตรที่ ๕
อรรถกถาปฐมมหารุกขสูตรที่ ๕
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมมหารุกขสูตรที่ ๕ ต่อไป.
ข้อว่า "อุทฺธํ โอชํ อภิหรนฺติ นำโอชาขึ้นเบื้องบน" ได้แก่
นำรสดินและรสน้ำขึ้นเบื้องบน. เพราะโอชาได้ถูกดูดขึ้นเบื้องบน ต้นไม้

262
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 263 (เล่ม 26)

สูงตั้ง ๑๐๐ ศอก ก็มียางเหนียวจึงตั้งอยู่ได้ เหมือนหยาดน้ำที่ปลายหน่อ.
ในข้อนี้ มีการเทียบเคียงด้วยข้ออุปมาดังนี้ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓
เหมือนต้นไม่ใหญ่. อายตนะทั้งหลายเหมือนรากไม้. การก่อกรรมทาง
ทวาร ๖ เหมือนการดูดโอชาขึ้นทางราก. การตั้งอยู่ได้เป็นเวลานาน
ของปุถุชนผู้โง่เขลา ซึ่งอาศัยอยู่ในวัฏฏะ พยายามก่อกรรมทางทวาร ๖
อยู่ ด้วยอำนาจวัฏฏะในภพต่อ ๆ ไป มีความเจริญงอกงามเหมือนต้นไม้
ใหญ่ตั้งอยู่ได้ชั่วกัป เพราะโอชาเจริญงอกงาม. บทว่า กุทฺทาลปิฏกํ
แปลว่า จอบและกระบุง. ข้อว่า ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺเทยฺย ความว่า
ตัดให้เล็กให้ใหญ่ ได้แก่ให้เป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. ในข้อนี้ มีการเทียบ
เคียงด้วยอุปมาดังนี้ ก็ในพระสูตรนี้ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ เหมือน
ต้นไม้ใหญ่. พระโยคาวจรเหมือนบุรุษผู้ต้องการโค่นต้นไม้. ญาณคือความ
รู้เหมือนจอบ สมาธิเหมือนกระบุง ญาณเหมือนขวานสำหรับตัดต้นไม้
ปัญญาของพระโยคีผู้เรียนกัมมัฏฐานในสำนักอาจารย์แล้ว มนสิการอยู่
เหมือนเวลาที่ต้นไม้ถูกตัดที่ราก. เวลามนสิการมหาภูตรูป ๔ โดยย่อ
เหมือนเวลาที่ตัดเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. เวลามนสิการโดยพิสดาร ใน
โกฏฐาส ๔๒ เหมือนการผ่า. การกำหนดนามรูปด้วยอำนาจแห่งธรรม
เหล่านี้ คือ อุปาทายรูป และวิญญาณอันมีรูปขันธ์เป็นอารมณ์ เหมือน
เวลาเกรียก การแสวงหาปัจจัยของนามรูปนั่นแหละ เหมือนการถอนรากไม้.
การบรรลุผลอันเลิศ ( อรหัตผล ) ของพระโยคีผู้เจริญวิปัสสนาโดย
ลำดับ ได้สัปปายะอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เมื่อพระโยคีผู้เจริญวิปัสสนาโดย
อยู่ นั่งขัดสมาธิท่าเดียวกระทำสมณธรรมอยู่ เหมือนเวลาที่ผึ่งลม ตากแดด
แล้วเอาไฟเผา. เวลาที่พระโยคีไม่ปรินิพพานในวันที่ตนบรรลุพระอรหัต

263
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 264 (เล่ม 26)

นั่นเอง แต่ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุ เปรียบเหมือนมนสิการ. ความสงบแห่ง
วัฏฏะของพระขีณาสพ ผู้ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุเพราะ
ความแตกแห่งขันธ์ที่มีใจครอง พึงทราบเหมือนการโปรยเขม่าในลมแรง
และลอยไปในแม่น้ำ.
จบอรรถกถาทหารุกขสูตรที่ ๕
๖. ทุติยมหารุกขสูตร
ว่าด้วยต้นไม้มีอาหารกับภิกษุมีความพอใจในธรรม
[๒๑๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้ไม้ใหญ่มี
รากหยั่งลงและแผ่ไปข้าง ๆ รากทั้งหมดนั้นย่อมดูดโอชารสไปเบื้องบน
เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้ใหญ่นั้น มีอาหารอย่างนั้น มีเชื้ออย่างนั้น พึงเป็น
อยู่ตลอดกาลนาน แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนืองๆ
ในธรรมทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ ฉันนั้น
เหมือนกัน เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่อย่างนั้น ทีนั้น
บุรุษเอาจอบแต่ภาชนะ. มาตัดต้นไม้นั้นที่โคนต้นแล้ว ขุดลงไป ครั้น
ขุดลงไปแล้วคุ้ยเอารากใหญ่เล็กแม้เท่าก้านแฝกขึ้น ฯ ล ฯ หรือลอยใน
แม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว เมื่อเป็นอย่างนี้ต้นไม้ใหญ่นั้น ถูกตัดเอารากขึ้น
แล้ว ทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี ไม่เกิดอีกต่อไป แม้ฉันใด

264
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 265 (เล่ม 26)

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนื่อง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัย
แห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาดับ
อุปาทานจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้.
จบทุติยมหารุกขสูตรที่ ๖
อรรถกถาทุติยมหารุกขสูตรที่ ๖
ในทุติยมหารุกขสูตรที่ ๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเทียบก่อน
แล้วตรัสเนื้อความในภายหลัง ความต่างกันมีเพียงเท่านี้.
จบอรรถกถาทุติยมหารุกขสูตรที่ ๖
๗. ตรุณรุกขสูตร
ว่าด้วยต้นไม้อ่อนกับภิกษุมีความพอใจในธรรม
[๒๑๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็น
ความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหา
ย่อมเจริญ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ฯลฯ ความเกิดแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้อ่อนยืนต้นอยู่ บุรุษพึง
พรวนดินใส่ปุ๋ย รดน้ำเสมอ ๆ ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้อ่อนนั้น มีอาหาร
อย่างนั้น มีเชื้ออย่างนั้น พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ แม้ฉันใด

265
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 266 (เล่ม 26)

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็น
ปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหาย่อมเจริญ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหา
เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๒๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหาย่อมดับ เพราะตัณหาดับ
อุปาทานจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้.
[๒๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้อ่อนยืนต้นอยู่อย่างนั้น ทีนั้น
บุรุษเอาจอบและภาชนะ ฯ ล ฯ หรือลอยในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ก็เมื่อ
เป็นอย่างนี้ต้นไม้อ่อนนั้น ถูกตัดรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ถึงความไม่มี ไม่เกิดอีกต่อไป แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็น
โทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ตัณหา
ย่อมดับ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ฯ ล ฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนั้น.
จบตรุณรุกขสูตรที่ ๗
อรรถกถาตรุณรุกขสูตรที่ ๗
ในตรุณรุกขสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ตรุโณ ได้แก่ ยังไม่เผล็ดผล. บทว่า ปลิสชฺเชยฺย แปลว่า
พึงชำระ. ข้อว่า "ปํสุํ ทเทยฺย ใส่ปุ๋ย." ได้แก่ เอาปุ๋ยที่แข็งและหยาบออก
ใส่ปุ๋ยที่หวานเจือปนด้วยโคมัยอ่อนและฝุ่นละเอียดลงไป. บทว่า วุฑฺฒึ

266