(ฟืน) ๔๐ เล่มเกวียน. พระโยคาวจรผู้ยังอาศัยวัฏฏะอยู่ เหมือนบุรุษ
ผู้บำเรอไฟ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนบุรุษผู้หวังประโยชน์. เวลาที่พระ
ตถาคตตรัสกัมมัฏฐานในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ แก่ภิกษุนั้นว่า "ดูก่อน
ภิกษุ เธอจงหน่ายในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ เถิด เธอจักพ้นจาก
วัฏทุกข์อย่างนี้." เหมือนโอวาทที่บุรุษผู้หวังประโยชน์ให้แก่บุรุษผู้บำเรอ
ไฟนั้น. เวลาที่พระโยคีรับโอวาทของพระสุคตแล้วเข้าไปสู่สุญญาคาร
เริ่มตั้งวิปัสสนาในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ ได้อาหารสัปปายะเป็นต้น เห็น
ปานนั้นโดยลำดับ นั่งบนอาสนะเดียวแล้วตั้งอยู่ในผลอันเลิศ (อรหัตผล)
เหมือนเวลาที่บุรุษ (ผู้บำเรอไฟ) นั้น ปฏิบัติตามที่มีผู้สอนแล้วนั่งใน
ปราสาท. เวลาที่พระโยคีชำระมลทินคือกิเลสด้วยน้ำคือมรรคญาณที่สระ
โบกขรณีคืออริยมรรค นุ่งผ้าคือหิริโอตตัปปะ เข้าไปทาด้วยเครื่องลูบไล้
คือศีล ตกแต่งอัตภาพด้วยเครื่องตกแต่งคือพระอรหัต ประดับพวง
ดอกไม้คือวิมุตติ สวมรองเท้าคืออิทธิบาท เข้าไปสู่นครคือพระนิพพาน
ขึ้นสู่ปราสาทคือพระธรรม รุ่งเรืองอยู่บนถนนใหญ่คือสติปัฏฐาน แนบ
สนิทผลสมาบัติที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ เหมือนเวลาที่บุรุษนั้น นั่ง
บนปราสาทนั้น มีอารมณ์เดียว อิ่มเอิบด้วยความสุข เพราะมีกายที่ชำระ
และตกแต่งแล้วด้วยการอาบน้ำและเครื่องลูบไล้เป็นต้น. ส่วนความสงบ
อันยิ่งใหญ่แห่งวัฏฏะของพระขีณาสพ ผู้ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุ แล้วปรินิพ-
พานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะความแตกแห่งขันธ์ที่มีใจครอง
พึงเห็นเหมือนเวลาที่บุรุษนั้นนั่งบนปราสาทนั้นแล้ว กองไฟก็ถึงความ
ไม่มีบัญญัติ เพราะสิ้นเชื้อมีหญ้าเป็นต้น.
จบอรรถกถาอุปาทานสูตรที่ ๒