No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 247 (เล่ม 26)

ตกอยู่ในอวิชชา ได้แก่ เข้าถึง คือ ประกอบด้วยอวิชชา. บทว่า
ปุริสปุคฺคโล บุรุษบุคคล ได้แก่ บุคคลคือบุรุษ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสสมมติกถา ด้วยคำทั้งสองนั้น. ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีกถา
(การกล่าว) อยู่ ๒ อย่าง คือ สมมติกถา ๑ ปรมัตถกถา ๑. ใน
กถาทั้ง ๒ นั้น กถาที่เป็นไปอย่างนั้นคือ สัตว์ นระ ปุริสะ ปุคคละ
ติสสะ นาคะ ชื่อว่า สมมติกถา. กถาที่เป็นไปอย่างนี้คือ ขันธ์ทั้งหลาย
ธาตุทั้งหลาย อายตนะทั้งหลาย ชื่อว่า ปรมัตถกถา. พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย เมื่อจะทรงกล่าวปรมัตถกถา ย่อมทรงกล่าวไม่ทิ้งสมมติทีเดียว.
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น เมื่อทรงกล่าวสมมติก็ดี เมื่อทรงกล่าวปรมัตถ์ก็ดี
ย่อมทรงกล่าวเรื่องจริงเท่านั้น. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเมื่อจะตรัส
(เรื่องใด ๆ) ได้ตรัสสัจจะ (ความจริง) ๒ คือ
สมมติสัจจะ ๑ ปรมัตถสัจจะ ๑. ใคร ๆ ย่อมไม่ได้
สัจจะที่ ๓ (เพราะไม่มี). การกล่าวถึงสิ่งที่รู้ ชื่อ
สมมติสัจจะ เพราะเหตุที่เป็นโลกสมมติ (สิ่งที่
ชาวโลกรู้). ส่วนการกล่าวถึงประโยชน์ อย่างยิ่ง
อันเป็นลักษณะจริงของธรรมทั้งหลาย ชื่อปรมัตถ-
สัจจะ"
บทว่า ปุญฺญญฺเจ สงฺขารํ ถ้าสังขารเป็นบุญ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร
อันต่างด้วยเจตนา ๑๓. บทว่า อภิสงฺขโรติ ปรุงแต่ง ได้แก่ กระทำ.
ข้อว่า ปุญฺญูปคํ โหติ วิญฺญาณํ วิญญาณย่อมเข้าถึงบุญ ได้แก่ กัมม-
วิญญาณย่อมเข้าถึง คือ ประกอบพร้อมด้วยกุศลกรรม. แม้วิปากวิญญาณ

247
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 248 (เล่ม 26)

ก็ย่อมเข้าถึง คือประกอบพร้อมด้วยกุศลวิบาก. บทว่า อปุญฺญญฺเจ สงฺขารํ
ถ้าสังขารที่เป็นบาป" ได้แก่ อปุญญาภิสังขารอันต่างด้วยเจตนา ๑๒.
บทว่า อาเนญฺชญฺเจ สงฺขารํ ถ้าสังขารที่เป็นอเนญชา ได้แก่ อเนญชา-
ภิสังขารอันต่างด้วยเจตนา ๔. บทว่า อาเนญฺชูปคํ โหติ วิญฺญาณํ
วิญญาณย่อมเข้าถึงอเนญชา ได้แก่ กัมมวิญญาณย่อมเข้าถึง คือ ประกอบ
พร้อมด้วยกรรมที่เป็นอเนญชา วิปากวิญญาณย่อมเข้าถึง ด้วยวิบากที่
เป็นอเนญชา. ปัจจยาการซึ่งมี ๑๒ บท ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงถือเอาแล้วแล เพราะค่าที่ได้ทรงถือเอากัมมาภิสังขาร ๓ ในพระสูตร
นี้. วัฏฏะเป็นอันทรงแสดงแล้วด้วยข้อความเพียงเท่านี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงวิวัฏฏะคือพระนิพพาน
จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล" เป็นอาทิ. ในพระบาลี
นั้น บทว่า อวิชฺชา แปลว่า ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔. บทว่า วิชฺชา
ได้แก่ อรหัตมรรคญาณ. และในพระบาลีนี้ มีอธิบายว่า "เมื่อละอวิชชา
ได้ก่อนแล้วนั่นแหละ วิชชาจึงเกิดขึ้น. เหมือนอย่างเมื่อมีความมืดอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ จะละความมืดได้ก็ด้วยการจุดประทีปให้ลุกโชติช่วง
ฉันใด เมื่อวิชชาเกิดขึ้น. ก็พึงทราบว่าเป็นอันละอวิชชาได้ ฉันนั้น.
บทว่า "ไม่ยึดมั่นอะไร ๆ ในโลก" ได้แก่ ไม่ยึดมั่น คือ ถือมั่นธรรม
อะไร ๆ ในโลก. บทว่า "เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ไม่สะดุ้งกลัว" อธิบายว่า
เมื่อไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ถือมั่น ก็ย่อมไม่สะดุ้งเพราะตัณหา ไม่สะดุ้งเพราะ
กลัว ความว่า ย่อมไม่อยาก ไม่กลัว. บทว่า "เฉพาะตัวเท่านั้น" ได้แก่
ย่อมปรินิพพานด้วยตนเองเท่านั้นแหละ ไม่ปรินิพพานเพราะอานุภาพ
ของผู้อื่น.

248
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 249 (เล่ม 26)

ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเริ่มคำนี้ว่า
ภิกษุนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา. ตอบว่า ทรงเริ่มเพื่อแสดงการพิจารณา
ของพระขีณาสพแล้วแสดงธรรมเครื่องอยู่เนืองนิจ. บทว่า "อันตนไม่
ยึดถือแล้วด้วยตัณหา" คือ อันตนไม่กล้ำกลืนเก็บยึดถือไว้ด้วยตัณหา.
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุใด จึงตรัสถึงทุกขเวทนา. ผู้ที่
เพลิดเพลินทุกขเวทนานั้นยังมีอยู่หรือไร. ตอบว่า ใช่ ยังมีอยู่ เพราะ
ผู้ที่เพลิดเพลินความสุขอยู่นั่นแหละ ชื่อว่าย่อมเพลิดเพลินทุกข์ เพราะ
ผู้ถึงทุกข์ปรารถนาความสุข และความสุขก็กลายเป็นทุกข์เพราะปรวนแปร.
บทว่า "ที่ปรากฏทางกาย" คือ กำหนดได้ด้วยกาย. อธิบายว่า กาย
คือทวาร ๕ ยังเป็นไปอยู่ตราบใด บุคคลย่อมเสวยเวทนาทางทวาร ๕
ที่เป็นไปแล้วอยู่ตราบนั้น. บทว่า "ที่ปรากฏทางชีวิต" ได้แก่
กำหนดได้ด้วยชีวิต. อธิบายว่า ชีวิตยังเป็นไปอยู่ตราบใด บุคคลย่อม
เสวยเวทนาทางมโนทวารที่เป็นไปแล้วอยู่ตราบนั้น.
บรรดาเวทนาทั้งสองนั้น เวทนาที่เป็นไปทางทวาร ๕ เกิด
ขึ้นที่หลัง แต่ดับก่อน. เวทนาที่เป็นไปทางมโนทวาร เกิดขึ้นก่อน แต่
ดับทีหลัง. ก็ในขณะปฏิสนธิ เวทนาที่เป็นไปทางมโนทวารนั้น ย่อมตั้ง
อยู่ในวัตถุรูปเท่านั้น. ในปวัตติกาล เวทนาที่เป็นไปทางทวาร ๕ เป็น
ไปอยู่ด้วยอำนาจทวาร ๕. ในเวลาที่คนมีอายุ ๒๐ ปี เป็นต้นในปฐมวัย
ย่อมมีกำลังแรงยิ่ง ด้วยอำนาจความรัก ความโกรธ และความหลง, ในเวลา
ที่คนมีอายุ ๕๐ ปีย่อมคงที่ จำเดิมแต่เวลาที่คนมีอายุ ๖๐ ปี ก็จะเสื่อมลง,
ครั้นถึงเวลาที่คนมีอายุได้ ๘๐-๙๐ ปี ก็จะอ่อนลง (ในที่สุด) ใน

249
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 250 (เล่ม 26)

ครั้งนั้น (คือในเวลาที่มีอายุ ๘๐-๙๐ ปี) เมื่อพวกชนกล่าวว่า พวก
เรานั่งนอนรวมกันเป็นเวลานาน สัตว์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราไม่รู้สึก
คือย่อมกล่าวถึงอารมณ์มีรูปเป็นต้นแม้มีประมาณยิ่งว่า เราไม่เห็น ไม่ได้
ยิน คือไม่รู้ว่า กลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็น ดีหรือไม่ดี แข็งหรืออ่อน.
เวทนาอันเป็นไปทางทวาร ๕ ของชนเหล่านั้นย่อมเป็นอันแตกแล้วอย่าง
นี้. ส่วนเวทนาที่เป็นไปทางมโนทวารยังเป็นไปอยู่. เวทนาแม้นั้น เมื่อ
เสื่อมไปโดยลำดับ ย่อมอาศัยที่สุดแห่งหทัยนั่นแหละเป็นไปในเวลา
มรณะ. อนึ่ง เวทนานั้น ยังเป็นไปอยู่ตราบใด ก็พูดได้ว่า สัตว์ยังมี
ชีวิตอยู่ตราบนั้น. เมื่อใด เวทนานั้นไม่เป็นไป เมื่อนั้น เรียกว่าสัตว์ตาย
คือดับ.
ความข้อนี้ พึงแสดง (เปรียบเทียบ) ด้วยสระ. เหมือนอย่าง
บุรุษก่อสร้างสระให้สมบูรณ์ด้วยทางน้ำ ๕ สาย. เมื่อฝนตกลงมาครั้งแรก
น้ำพึงไหลไปตามทางน้ำทั้ง ๕ สายจนเต็มบ่อภายในสระ ครั้งฝนตกอยู่
บ่อย ๆ น้ำพึงขังเต็มทางน้ำ ไหลลงสู่ทางประมาณคาวุตหนึ่งบ้าง กึ่งโยชน์
บ้าง น้ำที่หลากมาแต่ที่นั้น ๆ ครั้นเขาเปิดท่อสำหรับไขน้ำทำการงานในนา
น้ำก็ไหลออกไป. ในเวลาที่ข้าวกล้าแก่ น้ำก็ไหลออก. น้ำแห้งถึงการที่ควร
กล่าวว่า เราจะจับปลา. จากนั้นอีก ๒-๓ วัน น้ำก็ขังอยู่ในบ่อนั่นเอง.
และถ้าในบ่อยังมีน้ำขังอยู่ตราบใด ก็ย่อมจะนับได้ว่า ในสระใหญ่
มีน้ำอยู่ตราบนั้น. แต่ถ้าน้ำในบ่อนั้นแห้งเมื่อใด เมื่อนั้น ก็พูดได้ว่า
ในสระไม่มีน้ำ ฉันใด พึงทราบข้อเปรียบเทียบ ฉันนั้น. เวลาที่เวทนา
อันเป็นไปทางมโนทวาร ตั้งอยู่ในวัตถุรูปในขณะปฏิสนธิครั้งแรกนั่นเอง
เหมือนเวลาเมื่อฝนตกอยู่ครั้งแรก น้ำไหลเข้าไปตามทาง ๕ สาย บ่อก็

250
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 251 (เล่ม 26)

เต็ม. เมื่อเจตนาทางมโนทวารเป็นไปแล้ว ความเป็นไปแห่งเวทนาทาง
ทวาร ๕ เหมือนเวลาเมื่อฝนตกอยู่บ่อย ๆ ทาง ๕ สายก็เต็ม. ภาวะที่
เวทนาอันเป็นไปทางทวาร ๕ นั้นมีกำลังมากยิ่ง ด้วยอำนาจความรัก
เป็นต้นในเวลาที่คนมีอายุ ๒๐ ปี ในปฐมวัย เหมือนน้ำที่ท่วมท้นทาง
ตั้งคาวุตหนึ่งหรือกึ่งโยชน์ น้ำยังไม่ไหลออกจากสระตราบใด เวลาที่เวทนา
นั้นตั้งอยู่ในเวลาที่คนมีอายุ ๕๐ ปี เหมือนเวลาที่น้ำยังขังอยู่ในสระเก่า
ตราบนั้น. ความเสื่อมแห่งเวทนานั้น จำเดิมแต่เวลาที่คนมีอายุ ๖๐ ปี
เหมือนเวลาที่เขาเปิดท่อสำหรับไขน้ำทำการงานอยู่ น้ำก็ไหลออก. เวลา
ที่เวทนาอันเป็นไปทางทวาร ๕ อ่อนลง ในเวลาที่คนมีอายุ ๘๐- ๙๐ ปี
เหมือนเวลาเมื่อฝนตกแล้ว น้ำทรงอยู่โดยรอบในทางน้ำ. เวลาที่เวทนา
อันเป็นไปทางมโนทวาร อาศัยที่สุดแห่งหทยวัตถุเป็นไป เหมือน
เวลาที่น้ำทรงอยู่ในบ่อนั่นเอง. ความเป็นไปนั่นเหมือนเวลาเมื่อให้สระมี
น้ำอยู่แม้เพียงนิดหน่อย ก็ควรกล่าวว่า ในสระมีน้ำอยู่ตราบใด เมื่อ
เวทนาอันเป็นไปทางมโนทวารยังเป็นไปอยู่ ก็ย่อมกล่าวได้ว่า สัตว์ยังมี
ชีวิตอยู่ตราบนั้น. อนึ่ง เมื่อน้ำในบ่อแห้งขาดไป ย่อมกล่าวได้ว่า
ไม่มีน้ำในสระ ฉันใด เมื่อเวทนาอันเป็นไปทางมโนทวารไม่เป็นไปอยู่
สัตว์ก็เรียกว่า ตายแล้วฉันนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาเวทนา
นี้ (เวทนาที่เป็นไปทางมโนทวาร ) จึงตรัสว่า "ภิกษุเสวยเวทนาอันมี
ชีวิตเป็นที่สุดรอบ." คำว่า "กายสฺส เภทา เพราะความแตกแห่งกาย"
ได้แก่ เพราะความแตกแห่งกาย. บทว่า ชีวิตปริยาทานา อุทฺธํ ได้แก่
หลังจากการสิ้นชีวิต. บทว่า "อิเธว ในโลกนี้แล" คือในโลกนี้แหละ
เพราะมาข้างหน้าด้วยอำนาจปฏิสนธิ. บทว่า "สีตีภวิสฺสนฺติ จักเป็น

251
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 252 (เล่ม 26)

สิ่งที่เย็น" ความว่า เป็นสิ่งที่เว้นจากความดิ้นรนและความกระวนกระวาย
จึงชื่อว่า เป็นสิ่งที่เย็น คือ มีความไม่เป็นไปเป็นธรรมดา. บทว่า
สรีรานิ ได้แก่ สรีรธาตุ. บทว่า "อวสิสฺสนฺติ จักเหลืออยู่"
ได้แก่ จักเป็นสิ่งที่เหลืออยู่.
บทว่า "กุมฺภการปากา จากเตาเผาหม้อ ได้แก่ จากที่เป็นที่
เผาภาชนะของช่างหม้อ. บทว่า "ปติฏฺฐเปยฺย วางไว้" ได้แก่ ตั้งไว้.
บทว่า "กปลฺลานิ กระเบื้องหม้อ" ได้แก่ กระเบื้องหม้อที่เนื่องเป็น
อันเดียวกันพร้อมทั้งขอบปาก. บทว่า "อวสิสฺเสยฺยุํ พึงเหลืออยู่"
ได้แก่ พึงตั้งอยู่. ในคำว่า "เอวเมว โข" นี้ มีข้อเปรียบเทียบ
ด้วยอุปมาดังนี้ ภพ ๓ พึงเห็นเหมือนเตาเผาหม้อที่ไฟติดทั่วแล้ว. พระ
โยคาวจรเหมือนช่างหม้อ. อรหัตมรรคญาณเหมือนไม้ขอที่ใช้เกี่ยวภาชนะ
ของช่างหม้อออกมาจากเตาเผา. พื้นพระนิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
เหมือนภาคพื้นที่เรียบเสมอ. เวลาที่พระโยคาวจรผู้ปรารภวิปัสสนา เห็น
แจ้งหมวด ๗ แห่งรูปและหมวด ๗ แห่งอรูป เมื่อกัมมัฏฐานปรากฏ
คล่องแคล่วแจ่มแจ้งอยู่ ได้อุตุสัปปายะเป็นต้นเห็นปานนั้น นั่งอยู่บน
อาสนะเดียว เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตอันเป็นผลเลิศ ยกตนขึ้น
จากอบาย ๔ แล้วดำรงอยู่ในพระนิพพานอันเป็นอมตะ อันไม่มีปัจจัย
ปรุงแต่งด้วยอำนาจผลสมาบัติ พึงเห็นเหมือนเวลาที่ช่างหม้อเอาไม้ขอเกี่ยว
หม้อที่ร้อนมาแล้ว วางหม้อไว้บนพื้นที่เรียบเสมอ. ส่วนพระขีณาสพไม่
ปรินิพพานในวันบรรลุพระอรหัต เหมือนหม้อที่ยังร้อนฉะนั้น แต่เมื่อจะ
สืบต่อประเพณีแห่งศาสนาก็ดำรงอยู่ถึง ๕๐-๖๐ ปี ย่อมปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะความแตกแห่งอุปาทินนกขันธ์ เพราะถึง

252
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 253 (เล่ม 26)

จิตดวงสุดท้าย เมื่อนั้น สรีระที่ไม่มีใจครองของพระขีณาสพนั้น จักเหลือ
อยู่ เหมือนกระเบื้องหม้อแล. ก็คำว่า สรีรานิ อวสิสฺสนฺตีติ ปชานาติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อยกความพยายามของพระขีณาสพขึ้น.
บทว่า "วิญฺญาณํ ปญฺญาเยถ วิญญาณพึงปรากฏ" ได้แก่
ปฏิสนธิวิญญาณพึงปรากฏ. บทว่า "สาธุ สาธุ ดีละ ๆ" ได้แก่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชื่นชมการพยากรณ์ของพระเถระ. บทว่า
เอวเมตํ ความว่า คำว่า เมื่ออภิสังขาร ๓ อย่างไม่มี ปฏิสนธิวิญญาณ
ก็ไม่ปรากฏเป็นต้น. คำนั้นก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน. บทว่า อธิมุจฺจถ
ได้แก่ จงได้ความน้อมใจเชื่อ กล่าวคือความตกลงใจ. ข้อว่า "เอเสวนฺโต
ทุกฺขสฺส นั่นเป็นที่สุดทุกข์" ได้แก่ นี้แหละเป็นที่สุดทุกข์ในวัฏฏะ
คือ นี้เป็นข้อกำหนด ได้แก่ พระนิพพาน.
จบอรรถกถาปริวีมังสนสูตรที่ ๑
๒. อุปาทานสูตร
ว่าด้วยอุปาทาน
[๑๙๖ ] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล. . . พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนืองๆ
ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ

253
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 254 (เล่ม 26)

ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสก-
ปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อม-
มีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟกองใหญ่แห่งไม้สิบเล่มเกวียน
บ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง
พึงลุกโพลง บุรุษใส่หญ้าแห้ง ใส่โคมัยแห้ง และใส่ไม้แห้งในไฟ
กองนั้นทุก ๆ ระยะ ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ไฟกองใหญ่นั้น มีอาหารอย่างนั้น
มีเชื้ออย่างนั้น พึงลุกโพลงตลอดกาลนาน แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปา-
ทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้.
[๑๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับไป เพราะตัณหา
ดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติ
จึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
จึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟกองใหญ่แห่งไม้สิบเล่มเกวียน
บ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง
พึงลุกโพลง บุรุษไม่ใส่หญ้าแห้ง ไม่ใส่โคมัยแห้ง และไม่ใส่ไม้แห้งใน
กองไฟนั้นทุก ๆ ระยะ ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ไฟกองใหญ่นั้น
ไม่มีอาหาร พึงดับไป เพราะสิ้นเชื้อเก่า และเพราะไม่เติมเชื้อใหม่

254
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 255 (เล่ม 26)

แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเห็นโทษเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลาย
อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับฉันนั้นเหมือนกัน เพราะ
ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ.
จบอุปาทานสูตรที่ ๒
อรรถกถาอุปาทานสูตรที่ ๒
พึงทราบวินิจฉัยอุปาทานสูตรที่ ๒ ต่อไป.
บทว่า "อุปาทานีเยสุ อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน " ได้แก่ ใน
ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน ๔. บทว่า
" อสฺสาทานุปสฺสิโน เห็นความพอใจเนือง ๆ " คือ เห็นอยู่เนือง ๆ
ซึ่งความพอใจ. บทว่า "ตตฺร" คือ ในกองไฟนั้น. บทว่า " ตทาหาโร
มีอาหารอย่างนั้น." คือ มีปัจจัยอย่างนั้น. .คำว่า "มีเชื้ออย่างนั้น" เป็น
ไวพจน์ของปัจจัยนั้นนั่นเอง. ในคำว่า "เอวเมว โข" นี้ ภพ ๓
หรือที่เรียกว่า วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ บ้าง พึงเห็นว่าเหมือนกองไฟ.
ปุถุชนผู้โง่เขลา ซึ่งอาศัยวัฏฏะคือความเวียนว่ายตายเกิด เหมือนบุรุษบำเรอ
ไฟ. การทำกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทางทวาร ๖ ด้วยอำนาจตัณหา
เป็นต้น ของปุถุชนผู้เห็นความพอใจเนือง ๆ เหมือนการใส่โคมัยแห้งเป็น
ต้น. ความบังเกิดแห่งวัฏฏะทุกข์ในภพต่อๆไป เพราะปุถุชนผู้โง่เขลาลุกขึ้น
แล้วลุกขึ้นเล่า พยายามทำกรรมตามที่กล่าวแล้ว เหมือนเมื่อหญ้าและโคมัย
เป็นต้นหมดแล้ว กองไฟก็ยังลุกโพลงอยู่เรื่อยไป เพราะใส่หญ้าและโคมัย
เหล่านั้นเข้าไปบ่อย ๆ. ข้อว่า "น กาเลน กาลํ สุกฺขานิ เจว ติณานิ

255
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 256 (เล่ม 26)

ปกฺขิเปยฺย ไม่ใส่หญ้าแห้งทุก ๆ ระยะ" อธิบายว่า ก็ใคร ๆ ผู้หวัง
ประโยชน์ พึงกล่าวกะบุรุษนั้นอย่างนี้ว่า "ผู้เจริญ เหตุไรท่านจึงลุกขึ้น
แล้วลุกขึ้นเล่าเหยียบย่ำกระเบื้อง เอาหญ้าและไม้แห้งใส่กระบุงจนเต็ม
ใส่โคมัยแห้งเข้าไป ทำให้ไฟกองนี้ลุกโพลง เพราะการกระทำนี้เป็นเหตุ
ความเจริญไร ๆ ย่อมมีแก่ท่านบ้างหรือหนอ." บุรุษนั้นกล่าวว่า "ท่าน
ผู้เจริญ การกระทำเช่นนี้ มาตามวงศ์ (เป็นประเพณี) ของพวกเรา
แต่การกระทำเช่นนี้ ก็ไม่มีความเจริญแก่เราเลย ความเจริญจักมีแต่ที่ไหน.
เพราะเรามัวบำเรอไฟนี้อยู่ จึงไม่ได้อาบน้ำ ทั้งไม่ได้กิน ไม่ได้นอนเลย."
ผู้หวังประโยชน์ กล่าวว่า "ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น จะมีประโยชน์อะไร
แก่ท่าน กับการจุดไฟให้ลุกโพลงอันไร้ประโยชน์นี้ มาเถิดท่าน หญ้าเป็น
ต้นที่ท่านนำมาแล้วเหล่านี้ ที่ใส่เข้าไปในกองไฟนี้แล้ว จักลุกไหม้ขึ้นเอง
แหละ แต่ว่าท่านจงไปอาบน้ำที่สระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำเย็นอยู่ในที่โน้น
ตกแต่งตนด้วยเครื่องลูบไล้คือระเบียบและของหอม นุ่งห่มอย่างดี เข้าสู่
เมืองด้วยรองเท้าชั้นดี ขึ้นสู่ปราสาทอันประเสริฐ เปิดหน้าต่าง แล้วนั่ง
อิ่มเอิบอยู่กับความสุข มีอารมณ์เดียว รุ่งเรืองอยู่บนถนนใหญ่. เมื่อท่าน
นั่งในปราสาทนั้นแล้ว ไฟกองนั้นจักถึงภาวะที่ตั้งอยู่ไม่ได้เองโดยแท้
เพราะสิ้นเชื้อมีหญ้าเป็นต้นเสีย." บุรุษนั้น พึงกระทำอย่างนั้น. และ
เมื่อเขานั่งบนปราสาทนั้นอย่างนั้นแล้ว ไฟกองนั้นพึงถึงภาวะคือการตั้งอยู่
ไม่ได้ เพราะสิ้นเชื้อ. คำว่า " น กาเลน กาลํ " เป็นต้นนี้ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาความข้อนี้.
แต่ในคำว่า "เอวเมวโข" นี้ มีการเทียบเคียงด้วยข้ออุปมาดังนี้
วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ พึงเห็นเหมือนไฟกองใหญ่ที่ลุกโพลงอยู่ด้วยไม้

256