ตกอยู่ในอวิชชา ได้แก่ เข้าถึง คือ ประกอบด้วยอวิชชา. บทว่า
ปุริสปุคฺคโล บุรุษบุคคล ได้แก่ บุคคลคือบุรุษ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสสมมติกถา ด้วยคำทั้งสองนั้น. ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีกถา
(การกล่าว) อยู่ ๒ อย่าง คือ สมมติกถา ๑ ปรมัตถกถา ๑. ใน
กถาทั้ง ๒ นั้น กถาที่เป็นไปอย่างนั้นคือ สัตว์ นระ ปุริสะ ปุคคละ
ติสสะ นาคะ ชื่อว่า สมมติกถา. กถาที่เป็นไปอย่างนี้คือ ขันธ์ทั้งหลาย
ธาตุทั้งหลาย อายตนะทั้งหลาย ชื่อว่า ปรมัตถกถา. พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย เมื่อจะทรงกล่าวปรมัตถกถา ย่อมทรงกล่าวไม่ทิ้งสมมติทีเดียว.
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น เมื่อทรงกล่าวสมมติก็ดี เมื่อทรงกล่าวปรมัตถ์ก็ดี
ย่อมทรงกล่าวเรื่องจริงเท่านั้น. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเมื่อจะตรัส
(เรื่องใด ๆ) ได้ตรัสสัจจะ (ความจริง) ๒ คือ
สมมติสัจจะ ๑ ปรมัตถสัจจะ ๑. ใคร ๆ ย่อมไม่ได้
สัจจะที่ ๓ (เพราะไม่มี). การกล่าวถึงสิ่งที่รู้ ชื่อ
สมมติสัจจะ เพราะเหตุที่เป็นโลกสมมติ (สิ่งที่
ชาวโลกรู้). ส่วนการกล่าวถึงประโยชน์ อย่างยิ่ง
อันเป็นลักษณะจริงของธรรมทั้งหลาย ชื่อปรมัตถ-
สัจจะ"
บทว่า ปุญฺญญฺเจ สงฺขารํ ถ้าสังขารเป็นบุญ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร
อันต่างด้วยเจตนา ๑๓. บทว่า อภิสงฺขโรติ ปรุงแต่ง ได้แก่ กระทำ.
ข้อว่า ปุญฺญูปคํ โหติ วิญฺญาณํ วิญญาณย่อมเข้าถึงบุญ ได้แก่ กัมม-
วิญญาณย่อมเข้าถึง คือ ประกอบพร้อมด้วยกุศลกรรม. แม้วิปากวิญญาณ