No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 237 (เล่ม 26)

สงสัยอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรมี อะไรจึงมีหรือหนอแล เพราะอะไรเกิดขึ้น อะไร
จึงเกิดขึ้น เมื่ออะไรมี สังขารจึงมี เมื่ออะไรมี วิญญาณจึงมี เมื่ออะไรมี
นามรูปจึงมี เมื่ออะไรมี สฬายตนะจึงมี เมื่ออะไรมี ผัสสะจึงมี เมื่อ
อะไรมี เวทนาจึงมี เมื่ออะไรมี ตัณหาจึงมี เมื่ออะไรมี อุปาทานจึงมี
เมื่ออะไรมี. ภพจึงมี เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี เมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี.
[๑๘๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อม
มีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะ
สิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่ออวิชชามี สังขารจึงมี เมื่อสังขารมี
วิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณมี นามรูปจึงมี เมื่อนามรูปมี สฬายตนะจึงมี
เมื่อสฬายตนะมี ผัสสะจึงมี เมื่อผัสสะมี เวทนาจึงมี เมื่อเวทนามี ตัณหา
จึงมี เมื่อตัณหามี อุปาทานจึงมี เมื่ออุปาทานมี ภพจึงมี เมื่อภพมี
ชาติจึงมี เมื่อชาติมี ชราและมรณะจึงมี อริยสาวกนั้นย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้
ว่า โลกนี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้.
[๑๘๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมไม่มีความ
สงสัยอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรไม่มี อะไรจึงไม่มีหรือหนอแล เพราะอะไร
ดับ อะไรจึงดับ เมื่ออะไรไม่มี สังขารจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี วิญญาณ
จึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี นามรูปจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี
ตัณหาจึงไม่มี. อุปาทาน. . . ภพ . . . ชาติ. . . เมื่ออะไรไม่มี ชรามรณะ
จึงไม่มี.
[๑๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ อริยสาวกผู้สดับ ย่อมมี
ญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี

237
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 238 (เล่ม 26)

เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี เมื่อสังขาร
ไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี เมื่อนามรูปไม่มี
สฬายตนะจึงไม่มี ฯลฯ เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี อริยสาวกนั้น
ย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ว่า โลกนี้ย่อมดับอย่างนี้.
[๑๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล อริยสาวกรู้ทั่วถึง
เหตุเกิด ความดับไปแห่งโลกตามเป็นจริงอย่างนี้ ในกาลนั้น อริยสาวก
นี้ เราเรียกว่าเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิบ้าง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทัสนะบ้าง
เป็นผู้มาถึงสัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง เป็นผู้ประกอบด้วยญาณ
อันเป็นเสขะบ้าง เป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาอันเป็นเสขะบ้าง เป็นผู้บรรลุ
กระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นพระอริยะมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง ว่า
อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง.
จบทุติยอริยสาวกสูตรที่ ๑๐
คหปติวรรคที่ ๕ จบ
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปฐมปัญจเวรภยสูตร ๒. ทุติยปัญจเวรภยสูตร
๓. ทุกขนิโรธสูตร ๔. โลกนิโรธสูตร
๕. ญาติกสูตร ๖. อัญญตรสูตร
๗. ชาณุสโสณิสูตร ๘. โลกายติกสูตร
๙. ปฐมอริยสาวกสูตร ๑๐. ทุติยอริยสาวกสูตร

238
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 239 (เล่ม 26)

อรรถกถาทุติยอริยสาวกสูตรที่ ๑๐
ในอริยสาวกสูตรที่ ๑๐ นัยแม้ทั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
โดยความเป็นอันเดียวกัน. ความที่ต่างจากสูตรก่อนมีเพียงเท่านี้. ส่วน
ข้อที่เหลือก็เป็นเช่นนั้นแล.
จบอรรถกถาทุติยอริยสาวกสูตรที่ ๑๐
จบอรรถกถาคหปติวรรคที่ ๕

239
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 240 (เล่ม 26)

ทุกขวรรคที่ ๖
๑. ปริวีมังสนสูตร
ว่าด้วยการพิจารณาเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
[๑๘๘] ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุเท่าไรหนอแล ภิกษุเมื่อพิจารณา พึง
พิจารณาเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง ภิกษุเหล่านั้น
ทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเป็นที่ตั้ง มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเป็นที่พึ่ง ได้โปรดเถิดพระพุทธเจ้าข้า ขอเนื้อความแห่ง
ภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิดภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
[๑๘๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า ทุกข์คือชราและมรณะมี
ประการต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นในโลก ทุกข์นี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไร

240
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 241 (เล่ม 26)

เป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด อะไรเป็นแดนเกิดหนอแล เมื่ออะไรมี
ชราและมรณะจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี ภิกษุนั้นพิจารณา
อยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า ทุกข์คือชราและมรณะมีประการต่าง ๆ มากมาย
เกิดขึ้นในโลก ทุกข์นี้แลมีชาติเป็นเหตุ มีชาติเป็นสมุทัย มีชาติเป็น
กำเนิด มีชาติเป็นแดนเกิด เมื่อชาติมี ชราและมรณะจึงมี เมื่อชาติไม่มี
ชราและมรณะจึงไม่มีภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชราและมรณะ ย่อมรู้ประจักษ์
เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ และ
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดย
ประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งชราและมรณะ.
[๑๙๐] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า ก็
ชาตินี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็น
แดนเกิด เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี ภิกษุนั้น
พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า ชาติมีภพเป็นเหตุ มีภพเป็นสมุทัย มีภพ
เป็นกำเนิด มีภพเป็นแดนเกิด เมื่อภพมี ชาติจึงมี เมื่อภพไม่มี ชาติจึง
ไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชาติ ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งชาติ ย่อม
รู้ประจักษ์ความดับแห่งชาติ ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึง
ความดับแห่งชาติ และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรม
อันสมควร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อ
ความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับแห่งชาติ.
[๑๙๑] อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณาว่า

241
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 242 (เล่ม 26)

ก็ภพนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ก็อุปาทานนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ก็ตัณหานี้มี
อะไรเป็นเหตุ ฯล ฯ ก็เวทนานี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ก็ผัสสะนี้มีอะไรเป็น
เหตุ ฯลฯ ก็สฬายตนะนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ก็นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็วิญญาณนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ก็สังขารนี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมีสังขารจึงมีเมื่ออะไรไม่มี
สังขารจึงไม่มี ภิกษุนั้นเมื่อพิจารณา ย่อมรู้ประจักษ์ว่า สังขารมีอวิชชาเป็น
เหตุ มีอวิชชาเป็นสมุทัย มีอวิชชาเป็นกำเนิด มีอวิชชาเป็นแดนเกิด เมื่อ
อวิชชามี สังขารจึงมี เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์
สังขาร ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งสังขาร ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่ง
สังขาร ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควรที่ให้ถึงความดับแห่งสังขาร และ
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควรภิกษุนี้เราเรียกว่า
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง เพื่อความดับ
แห่งสังขาร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลตกอยู่ในอวิชชา ถ้าสังขารที่เป็นบุญ
ปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงบุญ ถ้าสังขารที่เป็นบาปปรุงแต่ง วิญญาณ
ก็เข้าถึงบาป ถ้าสังขารที่เป็นอเนญชาปรุงแต่ง วิญญาณก็เข้าถึงอเนญชา.
[๑๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด ภิกษุละอวิชชาได้แล้ว
วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ในกาลนั้น ภิกษุนั้นก็ไม่ทำกรรมเป็นบุญ ไม่ทำกรรม
เป็นบาป ไม่ทำกรรมเป็นอเนญชา เพราะสำรอกอวิชชาเสีย เพราะมี
วิชชาเกิดขึ้น เมื่อไม่ทำ เมื่อไม่คิด ก็ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่
ถือมั่น ก็ไม่สะดุ้งกลัว เมื่อไม่สะดุ้งกลัว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน ย่อม
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ภิกษุนั้นถ้าเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า

242
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 243 (เล่ม 26)

สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลิน
แล้วด้วยตัณหา ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า ทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยง
อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา ถ้าเสวย
อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง อันตนไม่ยึด
ถือแล้วด้วยตัณหา อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา ภิกษุนั้นถ้าเสวย
สุขเวทนา ก็วางใจเฉยเสวยไป ถ้าเสวยทุกขเวทนาก็วางใจเฉยเสวยไป ถ้า
เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็วางใจเฉยเสวยไป ภิกษุนั้นเมื่อเสวยเวทนาที่
ปรากฏทางกาย ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย เมื่อเสวยเวทนา
ที่ปรากฏทางชีวิต ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต รู้ชัดว่า
เวทนาทั้งปวงอันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็น สรีรธาตุจักเหลือ
อยู่ในโลกนี้เท่านั้น เบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต เพราะความแตกแห่งกาย.
[๑๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตา
เผาหม้อวางไว้ที่พื้นดินอันเรียบ ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงหายไป กระเบื้องหม้อ
ยังเหลืออยู่ที่พื้นดินนั้นนั่นแหละ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเสวย
เวทนาที่ปรากฏทางกาย ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย เมื่อ
เสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต
รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็น สรีรธาตุ
จักเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น เบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต เพราะความแตกแห่ง
กายฉันนั้นเหมือนกัน.
[๑๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉน ภิกษุผู้ขีณาสพพึงทำกรรมเป็นบุญบ้าง ทำกรรมเป็นบาปบ้าง ทำ
กรรมเป็นอเนญชาบ้างหรือหนอ.

243
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 244 (เล่ม 26)

ภิกษุทั้งหลายทูลว่า ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสังขารไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
สังขารดับ วิญญาณพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. อีกอย่างหนึ่งเมื่อวิญญาณไม่มีโดยประการทั้งปวงเพราะวิญญาณ
ดับ นามรูปพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อนามรูปไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
นามรูปดับ สฬายตนะพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสฬายตนะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
สฬายตนะดับ ผัสสะพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อผัสสะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
ผัสสะดับ เวทนาพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
เวทนาดับ ตัณหาพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
ตัณหาดับ อุปาทานพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.

244
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 245 (เล่ม 26)

พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่ออุปาทานไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
อุปาทานดับ ภพจึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อภพไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะภพดับ
ชาติพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับ
ชราและมรณะพึงปรากฏหรือหนอ.
ภิ. ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๑๙๕] ดีละ ๆ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อ
นั้นไว้อย่างนั้นเถิด พวกเธอจงน้อมใจไปสู่ข้อนั้นอย่างนั้นเถิด จงหมด
ความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนั้นเถิด นั่นเป็นที่สุดทุกข์.
จบปริวีมังสนสูตรที่ ๑
ทุกขวรรคที่ ๖
อรรถกถาปริวีมังสนสูตรที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัยในปริวีมังสนสูตรที่ ๑ แห่งทุกขวรรคต่อไป.
บทว่า ปริวีมํสมาโน แปลว่า เมื่อพิจารณา. บทว่า ชรามรณํ ชราและ
มรณะ ความว่า หากถามว่า "เพราะเหตุไร ชราและมรณะข้อเดียวเท่านั้น
จึงมีประการต่าง ๆ หลายอย่าง. ตอบว่า "เพราะเมื่อจักชรามรณะนั้น
ได้แล้ว ก็จะเป็นอันจับทุกข์ทั้งปวงได้" เหมือนอย่างว่า เมื่อบุรุษถูกกับที่
ผมจุก บุรุษนั้นย่อมชื่อว่าถูกจับโดยแท้ ฉันใด เมื่อจับชราและ
มรณะได้แล้ว ธรรมที่เหลือย่อมชื่อว่าเป็นอันจับได้โดยแท้ ฉันนั้น.
เมื่อจักชราและมรณะได้แล้วเช่นนี้ ทุกข์ทั้งปวงย่อมชื่อว่าเป็นอันจับ

245
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 246 (เล่ม 26)

ได้โดยแท้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทุกข์นี้มี
ประการต่าง ๆ หลายอย่างเกิดขึ้นในโลก ดังนี้ ทรงแสดงทุกข์ทั้งปวง
เหมือนบุรุษผู้อาบน้ำแล้วยืนอยู่ ชื่อว่า ทรงจับชราและมรณะ เหมือนจับ
บุรุษนั้นที่ผมจุก. บทว่า ชรามรณนิโรธสารุปฺปคามินี ความว่า ปฏิปทา
ชื่อว่าเป็นเช่นกันนั้นเทียว เพราะความไม่มีกิเลส คือ บริสุทธิ์ เป็นเครื่อง
ให้ถึงโดยภาวะสมควรแก่ความดับแห่งชราและมรณะ. บทว่า ตถา
ปฏิปนฺโน จ โหติ ความว่า ภิกษุอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็น
ผู้ปฏิบัติตามนั้นอย่างใด ก็ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น. บทว่า อนุธมฺมจารี
เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร ความว่า ประพฤติ คือ บำเพ็ญธรรม
อันเป็นข้อปฏิบัติที่ไปตามธรรม คือ พระนิพพาน. บทว่า ทุกฺขกฺขยาย
ปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ ได้แก่ เป็นผู้ทำศีลให้เป็นเบื้องต้น
แล้วปฏิบัติเพื่อความดับแห่งทุกข์คือชราและมรณะ. บทว่า สงฺขารนิโรธาย
เพื่อความดับแห่งสังขาร ได้แก่เพื่อความดับแห่งทุกข์คือสังขาร. พระเทศนา
จนถึงพระอรหัต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยข้อความเพียงเท่านี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงการพิจารณาอรหัตผล
และธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิจแล้วจึงกลับเทศนาอีก. ถามว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าไม่ทรงกระทำอย่างนั้น แต่ทรงถือเอาคำว่า อวิชฺชาคโต
บุคคลตกอยู่ในอวิชชานี้ เพราะเหตุไร. ตอบว่า ทรงถือเอาเพื่อทรง
แสดงวัฏทุกข์อันพระขีณาสพก้าวล่วงแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงปรารภวัฏฏะตรัสถึงวิวัฏฏะ (พระนิพพาน) อยู่ ก็จะ
มีสัตว์ผู้จะตรัสรู้อยู่ในเรื่องนี้. พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือ
เอาคำนี้ด้วยอำนาจอัธยาศัยของสัตว์นั้น. ในพระบาลีนั้น บทว่า อวิชฺชาคโต

246