No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 227 (เล่ม 26)

[๑๖๗] เพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความ
ประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วยสำรอก
โดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับ
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะอาศัยหูและ
เสียง ฯลฯ เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุม
แห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วย
สำรอกโดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๖๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งยืนแอบฟังอยู่ใกล้ ้พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นภิกษุนั้นแล้ว ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอได้ฟังธรรมปริยายนี้หรือภิกษุนั้นทูลรับว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์
ได้ฟังอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุ เธอจงศึกษาเล่าเรียน
ทรงจำธรรมปริยายนี้ ธรรมปริยายนี้ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้น
แห่งพรหมจรรย์.
จบญาติกสูตรที่ ๕
อรรถกถาญาติกสูตรที่ ๕
ในญาติกสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ญาติเก ได้แก่ ใกล้บ้านแห่งหมู่พระญาติทั้ง ๒ ฝ่าย.
บทว่า คิญฺชกาวสเถ ได้แก่ ในมหาปราสาทที่สร้างด้วยอิฐ. บทว่า

227
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 228 (เล่ม 26)

ธมฺมปริยายํ ได้แก่ เหตุแห่งธรรม บทว่า อุปสฺสุติ ได้แก่ เข้าไป
ยืนแอบฟัง. อธิบายว่า ยืนอยู่ในที่ที่ตนเข้าไปแล้วสามารถได้ยินพระสุร-
เสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้. เล่ากันว่า ภิกษุนั้นมาเพื่อจะกวาด
บริเวณพระคันธกุฏี ได้ละทิ้งการงานของตนเสีย แล้วไปยืนฟังเสียง
ประกาศธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่. บทว่า อทฺทสา ความว่า
เล่ากันว่าในครั้งนั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการปัจจยาการแต่ต้น
ทรงรำพึงว่า "สิ่งนี้ย่อมมีเพราะปัจจัยนี้ สิ่งนี้ย่อมมีเพราะปัจจัยนี้"
สังขารได้ปรากฏเป็นกลุ่มเดียวกันจนถึงภวัคคพรหม. พระศาสดาทรงละ
มนสิการแล้ว เมื่อจะทรงกระทำการสาธยายด้วยพระวาจา ได้ทรงจบพระ
เทศนาลงตามอนุสนธิ เมื่อทรงพระรำพึงว่า มีใครได้ฟังธรรมปริยายนี้บ้าง
ไหมหนอ จึงได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
"พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วแล." บทว่า อสฺโสสิ
โน ได้แก่ ได้ฟังแล้วหรือหนอ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อสฺโสสิ โน
ความว่า ได้ฟังแล้วหรือไม่ได้ฟังเราผู้กำลังกล่าวอยู่. ในบทว่า อุคฺคณฺหาหิ
เป็นต้น มีอธิบายว่า ภิกษุฟังนิ่งอยู่ทำให้คล่อง ชื่อว่า ย่อมศึกษา. เมื่อสืบ
ต่อบทต่อบททำให้คุ้นเคยด้วยวาจา ชื่อว่า ย่อมเล่าเรียน. เมื่อกระทำความ
คล่องโดยประการทั้งสอง ให้บรรลุความทรงจำได้ ชื่อว่า ย่อมทรงจำไว้ได้.
บทว่า อตฺถสญฺหิโต ได้แก่ อาศัยเหตุ. บทว่า อาทิพฺรหฺมจริยโก ได้แก่
เป็นที่ประดิษฐานเบื้องต้นแห่งมรรคพรหมจรรย์. วัฏฏะ (ความเวียนว่าย
ตายเกิด) และวิวัฏฏะ (พระนิพพาน) เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้วในพระสูตรทั้ง ๓ นี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาญาติกสูตรที่ ๕

228
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 229 (เล่ม 26)

๖. อัญญตรสูตร
ว่าด้วยทำเหตุอย่างใดได้รับผลอย่างนั้น
[๑๖๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้หนึ่ง
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง.
[๑๗๐] พราหมณ์นั้น ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ คนนั้นทำเหตุ คนนั้นเสวยผล
หรือหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ โวหารนี้ว่า คนนั้น
ทำเหตุ คนนั้นเสวยผล เป็นส่วนสุดที่หนึ่ง พราหมณ์นั้นทูลถามว่า
พระโคดมผู้เจริญ ก็คนอื่นทำเหตุ คนอื่นเสวยผลหรือ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ โวหารนี้ว่า คนอื่นทำเหตุ คนอื่น
เสวยผล เป็นส่วนสุดที่สอง ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดย
สายกลางไม่เข้าใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึง
มีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ก็เพราะอวิชชาดับด้วย
สำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๗๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์
นั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรม

229
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 230 (เล่ม 26)

เทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้ง
ยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิด
ของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วย
หวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระองค์ทรงประกาศธรรม
โดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้
ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่าน
พระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบอัญญาตรสูตรที่ ๖
อรรถกถาอัญญาตรสูตรที่ ๖
ในอัญญตรสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
คำว่า อญฺญตโร คือพราหมณ์ผู้หนึ่งไม่ปรากฏชื่อ.
จบอรรถกถาอัญญตรสูตรที่ ๖
๗. ชาณุสโสณิสูตร
ว่าด้วยชาณุสโสณีพราหมณ์ทูลถามพระพุทธเจ้า
[๑๗๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พราหมณ์
ชาณุสโสณีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงประทับ ได้ปราศรัยกับพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง
ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.

230
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 231 (เล่ม 26)

[๑๗๓] ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ชาณุสโสณีพราหมณ์ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีอยู่หรือหนอแล.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ โวหารนี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ เป็นส่วนสุดที่หนึ่ง.
ชา. พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่หรือ.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ โวหารนี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่ เป็นส่วนสุด
ที่สอง. ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าใกล้ส่วน
สุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขาร
เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อม
มีด้วยประการอย่างนี้ ก็เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขาร
จึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์
ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๗๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ชาณุสโสณี-
พราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือน
บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือ
ตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระ
องค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและภิกษุ
สงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็น
อุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบชาณุสโสณิสูตรที่ ๓

231
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 232 (เล่ม 26)

อรรถกถาชาณุสโสณิสูตรที่ ๗
ในชาณุสโสณิสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
คำว่า ชาณุสฺโสณิ ได้แก่ มหาปุโรหิตผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ซึ่งได้ชื่อ
อย่างนั้นด้วยอำนาจฐานันดร.
จบอรรถกถาถชาณุสโสณิสูตรที่ ๗
๘. โลกายติกสูตร
ว่าด้วยโลกายตะ
[๑๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้
รอบรู้คัมภีร์โลกายตะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ
[๑๗๖] ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ ได้
ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าพระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีอยู่หรือหนอ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่นี้ เป็นทิฏฐิว่าด้วย
ความสืบต่อแห่งโลกที่หนึ่ง.
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่หรือ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่นี้ เป็นทิฏฐิว่า
ด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สอง.
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน
หรือ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียว

232
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 233 (เล่ม 26)

กันนี้ เป็นทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สาม.
โล. พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันหรือ.
ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันนี้ เป็นทิฏฐิ
ว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สี่ ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดย
สายกลาง ไม่เข้าใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะอวิชชาดับด้วย
สำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯ ล ฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๗๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว โลกายติก-
พราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนา
แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของ
ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ใน
ที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระองค์ทรงประกาศ
ธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระ-
องค์นี้ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอ
ท่านพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ
ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบโลกายติกสูตรที่ ๘

233
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 234 (เล่ม 26)

อรรถกถาโลกายติกสูตรที่ ๘
ในโลกายติกสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โลกายติโก ได้แก่ผู้กระทำความคุ้นเคยในทิฏฐิว่าด้วยความ
สืบต่อแห่งโลก อันหมู่ชนผู้คุ้นเคยกันคุยกันเล่นสนุก ๆ. บทว่า เชฏฺฐเมตํ
โลกายตํ ได้แก่ ทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกข้อที่ ๑. บทว่า โลกายตํ
ได้แก่ ความสืบต่อแห่งโลกนั่นเอง คือความสืบต่อแห่งโลกพาลปุถุชน
ได้แก่ทิฏฐิว่ามีเล็กน้อย อันบุคคลเข้าไปทรงจำว่าใหญ่ว่าลึก. ด้วยบทว่า
เอกตฺตํ นี้ พราหมณ์ชื่อ ชาณุสโสณี ถามถึงสิ่งที่มีสภาพเป็นอย่างเดียว
กันว่า เป็นสิ่งที่เที่ยงนั่นเอง. ด้วยบทว่า ปุถุตฺตํ ชาณุสโสณีพราหมณ์ถาม
ถึงสภาพที่ต่างจากภาพก่อน หมายเอาความขาดสูญว่า สิ่งทั้งปวงมีโดย
ภาวะเป็นเทวดาและมนุษย์เป็นต้นก่อน แต่ภายหลังย่อมไม่มีอีก. ในพระ
สูตรนี้ พึงทราบสัสตทิฏฐิ ๒ คือ สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ๑. สิ่งทั้งปวงมีสภาวะ
เป็นอย่างเดียวกัน ๑. พึงทราบอุจเฉททิฏฐิ ๒ คือ สิ่งทั้งปวงไม่มี ๑ สิ่ง
ทั้งปวงมีสภาวะต่างกัน ๑ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาโลกายติกสูตรที่ ๘
๙. ปฐมอริยสาวกสูตร
ว่าด้วยนามรูปมี ชรามรณะจึงมี
[๑๗๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล. . . พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับมิได้มี
ความสงสัยอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรมี อะไรจึงมีหรือหนอแล เพราะอะไรเกิด
ขึ้น อะไรจึงเกิดขึ้น เมื่ออะไรมี นามรูปจึงมี เมื่ออะไรมี สฬายตนะจึงมี

234
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 235 (เล่ม 26)

เมื่ออะไรมี ผัสสะจึงมี เมื่ออะไรมี เวทนาจึงมี เมื่ออะไรมี ตัณหาจึงมี
เมื่ออะไรมี อุปาทานจึงมี เมื่ออะไรมี ภพจึงมี เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี
เมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี.
[๑๗๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับย่อม
มีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อวิญญาณมี นามรูปจึงมี เมื่อนามรูป
มี สฬายตนะจึงมี เมื่อสฬายตนะมี ผัสสะจึงมี เมื่อผัสสะมี เวทนาจึงมี
เมื่อเวทนามี ตัณหาจึงมี เมื่อตัณหามี อุปาทานจึงมี เมื่ออุปาทานมี ภพ
จึงมี เมื่อภพมี ชาติจึงมี เมื่อชาติมี ชราและมรณะจึงมี อริยสาวกนั้น
ย่อมรู้จักอย่างนี้ว่า โลกนี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้.
[๑๘๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมไม่มีความ
สงสัยอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรไม่มี อะไรจึงไม่มีหรือหนอแล เพราะอะไรดับ
อะไรจึงดับ เมื่ออะไรไม่มี นามรูปจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี สฬายตนะจึง
ไม่มี เมื่ออะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี เมื่ออะไร
ไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี ภพ
จึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี ชราและมรณะจึง
ไม่มี.
[๑๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมมี
ญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี เมื่อนามรูป
ไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี ฯ ล ฯ อุปาทานจึงไม่มี. . . ภพจึงไม่มี. . .
ชาติจึงไม่มี เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี อริยสาวกนั้นย่อมรู้

235
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ – หน้าที่ 236 (เล่ม 26)

ประจักษ์อย่างนี้ว่า โลกนี้ย่อมดับอย่างนี้.
[๑๘๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล อริยสาวกรู้ทั่วถึง
เหตุเกิดและความดับไปแห่งโลกตามเป็นจริงอย่างนี้ ในกาลนั้น อริยสาวก
นี้ เราเรียกว่าเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิบ้าง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทัศนะบ้าง
เป็นผู้มาถึงสัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง เป็นผู้ประกอบด้วยญาณ
อันเป็นเสขะบ้าง เป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาอันเป็นเสขะบ้าง เป็นผู้บรรลุ
กระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นพระอริยะมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง ว่า
อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง.
จบปฐมอริยสาวกสูตรที่ ๙
อรรถกถาปฐมอริยสาวกสูตรที่ ๙
ในปฐมอริยสาวกสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ข้อว่า กึ นุโข เป็นการแสดอาการเกิดขึ้นแห่งความสงสัย. บทว่า
สมุทยติ แปลว่า เกิดขึ้น.
จบอรรถกถาปฐมอริยสาวกสูตรที่ ๙
๑๐. ทุติยอริยสาวกสูตร
ว่าด้วยสังขารมี ชรามรณะจึงมี
[๑๘๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล. . .พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับมิได้มีความ

236